มนุษย์กับผีนั้นอยู่กันคนละโลก
คนละภพภูมิ ไม่สามารถที่จะยุ่งเกี่ยวข้องแวะกันได้ หากไม่มีกรรมร่วมกันมา
แต่ก็ยังมีบุคคลประเภทหนึ่ง ที่ยกตนว่ามีคาถาอาคมขลัง สามารถทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เหนือกว่าที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ เพียงแต่บางครั้ง สิ่งที่กระทำลงไปนั้นอาจเป็นอะไรที่เกินตัว บ้าบิ่นผิดแผก จนนำมาซึ่งมรณะกรรมแก่ตน
เอาล่ะครับ อย่าเสียเวลากันดีกว่า
ขอเชิญทุกท่านมาสังสรรค์เฮฮา
เปลืองลูกตากับเรื่องสั้นที่กลั่นกลองจากสมองอันน้อยนิดของผู้ชายที่ชื่อ
"ตรัยโศก"คนนี้กันเลยครับ กับท้องเรื่อง
"ลุงศักดิ์..หงักๆ"
"ให้อักษรภาษาไทยโดยพันทิป"
........................................
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น เนื่องจากสายฝนโปรยปรายตั้งแต่ช่วงดึกของเมื่อคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาเม็ดลง อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เวลาเพลแล้ว
แต่ผมยังไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก เนื่องจากเมื่อเช้าพ่อกับแม่มาใส่บาตร จัดของชอบให้ผมแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ ผมจึงสนองศรัทธาแบบไม่เกรงใจประคตรัดเอว ถ้าหากท้องมันพูดได้คงร้องครวญครางว่า พอเถ๊อะ กินแบบนี้หนังหน้าท้องขยายไม่ทัน
ผมนั่งเหม่อมองสายฝนที่ยังคงตกแบบไม่ลืมหูลืมตา บรรยากาศแบบนี้ ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงความฝันในวันนั้น ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน ผมคิดถึงประไพร คนรักแต่ชาติปางก่อนของผม แม้จะเป็นแค่ความฝัน แต่รสสัมผัสอันอ่อนนุ่มจากริมฝีปาก กลิ่นกายที่ยั่วเย้า ร่างกายที่นุ่มนิ่มและอบอุ่น เสียงที่สดใสน่ารัก ดวงหน้าที่งามอย่างยากจะหาที่ใดมาเปรียบ ทุกอย่างยังคงตราตรึงในห้วงคำนึงของผมราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
ตอนนี้เธอจะเป็นเช่นไรบ้าง ไปเกิดหรือยัง เธอจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า
"หลวงพี่ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรอยู่คนเดียว ไปหมดละมั๊งสมงสมอง" จู่ๆเสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศอันแสนหวานของผมลง เสียงของลูกพี่เต้นั่นเอง หลังจากที่พูดจาสัพยอกผมนิดหน่อยให้พอได้เจ็บๆคันๆรูหู มันก็วางสิ่งของที่ถือมาอย่างพะรุงพะรังลงกับพื้น
"อ้าว ทำไมเอากับข้าวมาซะเยอะเลย"
ผมถามอย่างแปลกใจที่มองเห็นว่าของที่มันถือมานั้นคือกับข้าวหลากหลายอย่าง อีกทั้งยังมีของหวานมากมาย ถ้าบอกว่าวันนี้ฝนตกเอามาให้ผมกินถึงที่ห้องก็พอจะเข้าใจได้ เพราะหลายวันที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ แต่จากจำนวนมันเยอะเกินกว่าที่ผมกับไอ้เต้ 2 คนจะกินหมด
"วันนี้ร้านนิ่มโภชนา มีแขกน่ะหลวงพี่"
ไอ้เต้กล่าวพลางทำการแกะกับข้าวใส่จาน
"ใครวะ" ผมถามขณะลงมือช่วยมันอีกแรง
พวกเราเอง สามหนุ่มสบงพริ้วเรนเจอร์!!"
ผมตกใจจนแทบทำถุงแกงหลุดมือ
สามสหายธรรมบันดาลนั่นเอง
"มากันทำไมน่ะหลวงพี่ ฝนก็ตกโว๊ะ!!"
ผมเอ่ยถามทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
"วันนี้พวกเรานึกอยากปิกนิก อยากฉันข้าวนอกสถานที่บ้าง เลยเลือกเอาที่นี่เป็นเป้าหมาย"
หลวงพี่เพ็ญเอ่ย พลางพากันเข้ามาด้านในเพื่อหลบละอองฝน
หลังจากจัดการกับอาหารก่อนกลางวันกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้ง 4 คือ 3 พระกับ 1 เด็กวัดก็ไม่ได้ไปไหน พากันยึดห้องผมเป็นที่พักชั่วคราว นอนเอกเขนกตีพุงคุยกันสบายใจเฉิบไม่ได้เกรงใจผมกันเลยซักนิดเดียว
"เออใช่ ช่วงนี้ไอ้เต้ไม่เห็นอะไรแปลกๆมาพักใหญ่แล้วนิคลื่นความถี่เอ็งประสิทธิภาพตกเรอะ"
หลวงพี่บอลเอ่ยขึ้นลอยๆ ขณะนอนหงายเอามือหนุนแทนหมอน
"ไม่เห็นแหละดีแล้วหลวงพี่ เดี๋ยวหลวงพี่นิ่มจะถึงแก่มรณะกรรมเนื่องจากอาการช็อกซะเปล่าๆ"
ไอ้เต้ตอบออกมาพลางหัวเราะคิกคัก
คำตอบของมันทำเอาทุกคนพากันหัวเราะครืนไม่เว้นแม่แต่ผม
"เอ็งอย่าดูถูกไป ตอนที่หลวงตาเอี่ยมเข้าเอ็งจนอาการร่อแร่ ท่านนิ่มนี่เลือดขึ้นหน้า จะเผากุฏิหลวงตาเอี่ยมเลยนา คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นหน้ามึนๆ พอโมโหขึ้นมานี่ หยั่งกะคนบ้า น่ากลัว"
หลวงพี่บอลเอ่ยขึ้นพลางเหล่ตามองผมแล้วยิ้มมุมปาก
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ด้วยอากาศที่เย็นสบายจนเกือบเบนไปทางหนาว
พวกเราก็พากันหลับไหลอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงเม็ดฝนที่โปรยปรายลงบนหลังคาดัง เป๊าะแป๊ะ เป๊าะแป๊ะ
ช่วยด้วย....เป๊าะแป๊ะ ช่วยด้วย.......
"หืม?" ผมลืมตาขึ้นมาทันที
เหมือนจะได้ยินเสียงอย่างอื่นนอกจากเสียงฝน ผมพยายามเงี่ยหูฟังจับใจความหาที่มา
"ช่วยด้วย........" ชัดเจนเลย มันดังอยู่ในห้องผมนี่เอง กลางวันแสกๆ เสียงนั้นฟังดูเย็นยะเยือกชวนหลอนเป็นที่สุด พร่ำแต่คำเดิมๆซ้ำๆ
นี่ผมอยู่ใกล้ไอ้เต้จนสักยภาพการรับรู้เรื่องราวขนหัวลุกของมันซึมเข้ามาในตัวผมแล้วหรือ โอ้ไม่นะ ในขณะที่เสียงปริศนาชวนหลอนยังคงดังต่อเนื่อง หลวงพี่เพ็ญก็ควักโทรศัพท์ออกมากดรับสาย
"ฮัลโหล..." เสียงครวญครางนั้นหายไปทันที ปัดโธ่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์หลวงพี่เองหรอกเรอะ
หลวงพี่เพ็ญพระผู้มีพรรษาแก่กว่า
และเกือบจะทำผมหัวใจวายตายเมื่อครู่จากเสียงเรียกเข้าชวนหลอน คุยธุระอยู่ครู่เดียวก็วางสายแสดงสีหน้าเป็นกังวล
ลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองหน้าผมอย่างแปลกใจ
"อ้าวเป็นอะไรรึท่าน หน้าซีดเชียว มีไข้รึเปล่า"
"หลวงพี่เปลี่ยนเสียงโทรศัพท์ ณ บัดนาว!!"
ผมกัดกรามกรอดตอบออกไป
จากที่ผมสาระแนถามเรื่องราวกับหลวงพี่เพ็ญ ว่าใครโทรมาหรือ เห็นคุยหน้าเครียด แกก็ถอนหายใจแล้วตอบผมสั้นๆ
"ลุงศักดิ์จะมานอนที่วัดน่ะ"
ผมได้ยินดังนั้นก็ยิ่งแปลกใจ
ลุงศักดิ์เป็นใคร มานอนที่วัดแล้วยังไง
ที่ออกกว้างขวางเป็นร้อยเอเคอร์ ไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้น
"แล้วยังไอ่ะหลวงพี่ ไม่เห็นต้องเครียดถ้าไม่มีที่นอนก็นอนห้องผมก็ได้"
ผมบอกไปพลางเอามือนวดบริเวณหัวเข่าที่ปวดหนึบๆ เนื่องจากอากาศเย็น
หลวงพี่เพ็ญมองหน้าผมแล้วเอ่ยตอบเบาๆ
"ลุงศักดิ์แกเลี้ยงผี" คำตอบเบาๆที่หนักหน่วงนั้นทำเอาผมหยุดกึก หันไปมองหน้าแกทันที
"เลี้ยงผี!! วอท!! ผีที่ว่านี่คือ เรียลผีอ่ะนะ ผีที่หลอกคนได้น่ะนะ"
ผมถามออกไป หลวงพี่เพ็ญไม่พูด
แต่ยืนยันสถานะคำตอบด้วยการพยักหน้าช้าๆ
ลุงศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของหลวงพี่เพ็ญ
ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าความจริงแล้วหลวงพี่แกเป็นคนสุรินทร์ ตัวลุงศักดิ์เองแกท่องเที่ยวไปทั่ว ที่ไหนที่ว่ามีผีดุผีเฮี้ยน แกจะเข้าไปนอนหน้าตาเฉย ถ้าผีตนนั้นแรงจริง แกจะใช้อาคมมัดเอาไว้ เลี้ยงเพื่อใช้งานต่างๆ แน่นอนแกสามารถทำหรือแก้คุณไสยได้อย่างเชี่ยวชาญ
เมื่อปีก่อนตอนที่แกมานอนที่วัดก็มีลูกศิษย์ลูกหาตามมาให้แกช่วยเหลือจนรถแน่นวัด สุดท้ายหลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงขอร้องให้แกไปพักที่อื่น เพราะความโด่งดังของแกทำลายความสงบของวัด
พระหนุ่มเณรน้อยอยู่ไม่สุขผ้าเหลืองร้อนผ่าว เพราะลูกศิกษย์ของลุงศักดิ์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผู้หญิงที่ทำงานเป็นนักร้องร้านอาหาร หรือไม่ก็แม่ค้าสาวสวยที่มักจะมาให้แกทำเสน่ห์ให้ แน่นอนแต่ละครั้งที่มา นวลนางเหล่านั้นย่อมแต่งตัวด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น อวดร่างที่ขาวอวบล้นทะลักบะลั๊กกั๊ก จนใครก็ตามที่เห็นต้องตาลุกวาว แต่ที่เป็นปัญหาสำคัญจริงๆไม่ใช่ชื่อเสียงอันโด่งดังของแก หากแต่เป็นสิ่งที่แกเลี้ยงเอาไว้ ผีครับ ผีที่ไม่ว่าจะเฮี้ยนแค่ไหนแกก็จับเอามาเลี้ยงไว้หมด ทั้งผีเด็ก ผีแก่ แกล้วนมีไว้ในครอบครอง
เรียกว่าเป็นคอลเล็กชั่นผีเดินได้กันเลยทีเดียว
ครั้งเมื่อผมบวช ตอน ลุงศักดิ์
คนละภพภูมิ ไม่สามารถที่จะยุ่งเกี่ยวข้องแวะกันได้ หากไม่มีกรรมร่วมกันมา
แต่ก็ยังมีบุคคลประเภทหนึ่ง ที่ยกตนว่ามีคาถาอาคมขลัง สามารถทำสิ่งที่เหนือธรรมชาติ เหนือกว่าที่ผู้คนธรรมดาทั่วไปจะทำได้ เพียงแต่บางครั้ง สิ่งที่กระทำลงไปนั้นอาจเป็นอะไรที่เกินตัว บ้าบิ่นผิดแผก จนนำมาซึ่งมรณะกรรมแก่ตน
เอาล่ะครับ อย่าเสียเวลากันดีกว่า
ขอเชิญทุกท่านมาสังสรรค์เฮฮา
เปลืองลูกตากับเรื่องสั้นที่กลั่นกลองจากสมองอันน้อยนิดของผู้ชายที่ชื่อ
"ตรัยโศก"คนนี้กันเลยครับ กับท้องเรื่อง
"ลุงศักดิ์..หงักๆ"
"ให้อักษรภาษาไทยโดยพันทิป"
........................................
วันนี้อากาศค่อนข้างเย็น เนื่องจากสายฝนโปรยปรายตั้งแต่ช่วงดึกของเมื่อคืน จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาเม็ดลง อีกไม่ถึงชั่วโมงก็ได้เวลาเพลแล้ว
แต่ผมยังไม่รู้สึกหิวเท่าใดนัก เนื่องจากเมื่อเช้าพ่อกับแม่มาใส่บาตร จัดของชอบให้ผมแบบชุดใหญ่ไฟกระพริบ ผมจึงสนองศรัทธาแบบไม่เกรงใจประคตรัดเอว ถ้าหากท้องมันพูดได้คงร้องครวญครางว่า พอเถ๊อะ กินแบบนี้หนังหน้าท้องขยายไม่ทัน
ผมนั่งเหม่อมองสายฝนที่ยังคงตกแบบไม่ลืมหูลืมตา บรรยากาศแบบนี้ ทำให้ผมคิดย้อนไปถึงความฝันในวันนั้น ผมคิดถึงเธอเหลือเกิน ผมคิดถึงประไพร คนรักแต่ชาติปางก่อนของผม แม้จะเป็นแค่ความฝัน แต่รสสัมผัสอันอ่อนนุ่มจากริมฝีปาก กลิ่นกายที่ยั่วเย้า ร่างกายที่นุ่มนิ่มและอบอุ่น เสียงที่สดใสน่ารัก ดวงหน้าที่งามอย่างยากจะหาที่ใดมาเปรียบ ทุกอย่างยังคงตราตรึงในห้วงคำนึงของผมราวกับทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง
ตอนนี้เธอจะเป็นเช่นไรบ้าง ไปเกิดหรือยัง เธอจะคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า
"หลวงพี่ นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อะไรอยู่คนเดียว ไปหมดละมั๊งสมงสมอง" จู่ๆเสียงหนึ่งก็เอ่ยขึ้นทำลายบรรยากาศอันแสนหวานของผมลง เสียงของลูกพี่เต้นั่นเอง หลังจากที่พูดจาสัพยอกผมนิดหน่อยให้พอได้เจ็บๆคันๆรูหู มันก็วางสิ่งของที่ถือมาอย่างพะรุงพะรังลงกับพื้น
"อ้าว ทำไมเอากับข้าวมาซะเยอะเลย"
ผมถามอย่างแปลกใจที่มองเห็นว่าของที่มันถือมานั้นคือกับข้าวหลากหลายอย่าง อีกทั้งยังมีของหวานมากมาย ถ้าบอกว่าวันนี้ฝนตกเอามาให้ผมกินถึงที่ห้องก็พอจะเข้าใจได้ เพราะหลายวันที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ แต่จากจำนวนมันเยอะเกินกว่าที่ผมกับไอ้เต้ 2 คนจะกินหมด
"วันนี้ร้านนิ่มโภชนา มีแขกน่ะหลวงพี่"
ไอ้เต้กล่าวพลางทำการแกะกับข้าวใส่จาน
"ใครวะ" ผมถามขณะลงมือช่วยมันอีกแรง
พวกเราเอง สามหนุ่มสบงพริ้วเรนเจอร์!!"
ผมตกใจจนแทบทำถุงแกงหลุดมือ
สามสหายธรรมบันดาลนั่นเอง
"มากันทำไมน่ะหลวงพี่ ฝนก็ตกโว๊ะ!!"
ผมเอ่ยถามทั้งที่ก็รู้คำตอบอยู่แล้ว
"วันนี้พวกเรานึกอยากปิกนิก อยากฉันข้าวนอกสถานที่บ้าง เลยเลือกเอาที่นี่เป็นเป้าหมาย"
หลวงพี่เพ็ญเอ่ย พลางพากันเข้ามาด้านในเพื่อหลบละอองฝน
หลังจากจัดการกับอาหารก่อนกลางวันกันเป็นที่เรียบร้อย ทั้ง 4 คือ 3 พระกับ 1 เด็กวัดก็ไม่ได้ไปไหน พากันยึดห้องผมเป็นที่พักชั่วคราว นอนเอกเขนกตีพุงคุยกันสบายใจเฉิบไม่ได้เกรงใจผมกันเลยซักนิดเดียว
"เออใช่ ช่วงนี้ไอ้เต้ไม่เห็นอะไรแปลกๆมาพักใหญ่แล้วนิคลื่นความถี่เอ็งประสิทธิภาพตกเรอะ"
หลวงพี่บอลเอ่ยขึ้นลอยๆ ขณะนอนหงายเอามือหนุนแทนหมอน
"ไม่เห็นแหละดีแล้วหลวงพี่ เดี๋ยวหลวงพี่นิ่มจะถึงแก่มรณะกรรมเนื่องจากอาการช็อกซะเปล่าๆ"
ไอ้เต้ตอบออกมาพลางหัวเราะคิกคัก
คำตอบของมันทำเอาทุกคนพากันหัวเราะครืนไม่เว้นแม่แต่ผม
"เอ็งอย่าดูถูกไป ตอนที่หลวงตาเอี่ยมเข้าเอ็งจนอาการร่อแร่ ท่านนิ่มนี่เลือดขึ้นหน้า จะเผากุฏิหลวงตาเอี่ยมเลยนา คนเรานี่รู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นหน้ามึนๆ พอโมโหขึ้นมานี่ หยั่งกะคนบ้า น่ากลัว"
หลวงพี่บอลเอ่ยขึ้นพลางเหล่ตามองผมแล้วยิ้มมุมปาก
เวลาผ่านไปเพียงไม่นาน ด้วยอากาศที่เย็นสบายจนเกือบเบนไปทางหนาว
พวกเราก็พากันหลับไหลอย่างมีความสุขท่ามกลางเสียงเม็ดฝนที่โปรยปรายลงบนหลังคาดัง เป๊าะแป๊ะ เป๊าะแป๊ะ
ช่วยด้วย....เป๊าะแป๊ะ ช่วยด้วย.......
"หืม?" ผมลืมตาขึ้นมาทันที
เหมือนจะได้ยินเสียงอย่างอื่นนอกจากเสียงฝน ผมพยายามเงี่ยหูฟังจับใจความหาที่มา
"ช่วยด้วย........" ชัดเจนเลย มันดังอยู่ในห้องผมนี่เอง กลางวันแสกๆ เสียงนั้นฟังดูเย็นยะเยือกชวนหลอนเป็นที่สุด พร่ำแต่คำเดิมๆซ้ำๆ
นี่ผมอยู่ใกล้ไอ้เต้จนสักยภาพการรับรู้เรื่องราวขนหัวลุกของมันซึมเข้ามาในตัวผมแล้วหรือ โอ้ไม่นะ ในขณะที่เสียงปริศนาชวนหลอนยังคงดังต่อเนื่อง หลวงพี่เพ็ญก็ควักโทรศัพท์ออกมากดรับสาย
"ฮัลโหล..." เสียงครวญครางนั้นหายไปทันที ปัดโธ่เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์หลวงพี่เองหรอกเรอะ
หลวงพี่เพ็ญพระผู้มีพรรษาแก่กว่า
และเกือบจะทำผมหัวใจวายตายเมื่อครู่จากเสียงเรียกเข้าชวนหลอน คุยธุระอยู่ครู่เดียวก็วางสายแสดงสีหน้าเป็นกังวล
ลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วมองหน้าผมอย่างแปลกใจ
"อ้าวเป็นอะไรรึท่าน หน้าซีดเชียว มีไข้รึเปล่า"
"หลวงพี่เปลี่ยนเสียงโทรศัพท์ ณ บัดนาว!!"
ผมกัดกรามกรอดตอบออกไป
จากที่ผมสาระแนถามเรื่องราวกับหลวงพี่เพ็ญ ว่าใครโทรมาหรือ เห็นคุยหน้าเครียด แกก็ถอนหายใจแล้วตอบผมสั้นๆ
"ลุงศักดิ์จะมานอนที่วัดน่ะ"
ผมได้ยินดังนั้นก็ยิ่งแปลกใจ
ลุงศักดิ์เป็นใคร มานอนที่วัดแล้วยังไง
ที่ออกกว้างขวางเป็นร้อยเอเคอร์ ไม่เห็นต้องซีเรียสขนาดนั้น
"แล้วยังไอ่ะหลวงพี่ ไม่เห็นต้องเครียดถ้าไม่มีที่นอนก็นอนห้องผมก็ได้"
ผมบอกไปพลางเอามือนวดบริเวณหัวเข่าที่ปวดหนึบๆ เนื่องจากอากาศเย็น
หลวงพี่เพ็ญมองหน้าผมแล้วเอ่ยตอบเบาๆ
"ลุงศักดิ์แกเลี้ยงผี" คำตอบเบาๆที่หนักหน่วงนั้นทำเอาผมหยุดกึก หันไปมองหน้าแกทันที
"เลี้ยงผี!! วอท!! ผีที่ว่านี่คือ เรียลผีอ่ะนะ ผีที่หลอกคนได้น่ะนะ"
ผมถามออกไป หลวงพี่เพ็ญไม่พูด
แต่ยืนยันสถานะคำตอบด้วยการพยักหน้าช้าๆ
ลุงศักดิ์เป็นลุงแท้ๆของหลวงพี่เพ็ญ
ผมก็เพิ่งจะรู้ว่าความจริงแล้วหลวงพี่แกเป็นคนสุรินทร์ ตัวลุงศักดิ์เองแกท่องเที่ยวไปทั่ว ที่ไหนที่ว่ามีผีดุผีเฮี้ยน แกจะเข้าไปนอนหน้าตาเฉย ถ้าผีตนนั้นแรงจริง แกจะใช้อาคมมัดเอาไว้ เลี้ยงเพื่อใช้งานต่างๆ แน่นอนแกสามารถทำหรือแก้คุณไสยได้อย่างเชี่ยวชาญ
เมื่อปีก่อนตอนที่แกมานอนที่วัดก็มีลูกศิษย์ลูกหาตามมาให้แกช่วยเหลือจนรถแน่นวัด สุดท้ายหลวงพ่อเจ้าอาวาสจึงขอร้องให้แกไปพักที่อื่น เพราะความโด่งดังของแกทำลายความสงบของวัด
พระหนุ่มเณรน้อยอยู่ไม่สุขผ้าเหลืองร้อนผ่าว เพราะลูกศิกษย์ของลุงศักดิ์ส่วนใหญ่จะเป็นพวกผู้หญิงที่ทำงานเป็นนักร้องร้านอาหาร หรือไม่ก็แม่ค้าสาวสวยที่มักจะมาให้แกทำเสน่ห์ให้ แน่นอนแต่ละครั้งที่มา นวลนางเหล่านั้นย่อมแต่งตัวด้วยอาภรณ์น้อยชิ้น อวดร่างที่ขาวอวบล้นทะลักบะลั๊กกั๊ก จนใครก็ตามที่เห็นต้องตาลุกวาว แต่ที่เป็นปัญหาสำคัญจริงๆไม่ใช่ชื่อเสียงอันโด่งดังของแก หากแต่เป็นสิ่งที่แกเลี้ยงเอาไว้ ผีครับ ผีที่ไม่ว่าจะเฮี้ยนแค่ไหนแกก็จับเอามาเลี้ยงไว้หมด ทั้งผีเด็ก ผีแก่ แกล้วนมีไว้ในครอบครอง
เรียกว่าเป็นคอลเล็กชั่นผีเดินได้กันเลยทีเดียว