ถ้ามีเวลาไม่มากบนโลกใบนี้ คุณจะเลือกมีความรักไหม?

บางที...ในวันที่อะไรมันสาย อาจเป็นวันที่เรา... ได้เข้าใจทุกอย่าง

เรื่องที่ผมจะเล่าคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผมเอง เป็นเรื่องราวของผู้หญิงคนหนึ่ง ที่ทำให้ผมไม่เคยลืมเธอ จนถึงทุกวันนี้

"แต้ว" เป็นเพื่อนสมัยเรียนของผม เธอหน้าตาน่ารัก เรียนเก่งและมีเพื่อนเยอะ ด้วยความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี มันทำให้เธอดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เราทั้งคู่เจอกันครั้งแรกตอนเข้าค่ายธรรมะ สมัยที่ยังเรียนกันคนละที่ ทั้งที่ในเวลานั้น มีคนที่น่ารักอยู่มากมาย แต่ผมกลับไม่เคยละสายตาจากเธอคนนี้ มันไม่ใช่เพราะความหน้าตาดีของเธอ แต่มันเหมือน ผมรู้สึกปลอดภัยทุกครั้งเมื่อได้มอง หรือได้อยู่ใกล้กับเธอ มันรู้สึกดีมาจากจิตใจข้างใน คล้ายมีแรงดึงดูด ซึ่งผมก็อธิบายไม่ค่อยถูกเหมือนกัน ลองเดากันดูแล้วกันครับ บุพเพฯ?

และเมื่อเธอเริ่มรู้สึกได้ว่าผมแอบมองเธอ เธอก็เริ่มมองผมกลับเช่นกัน ซึ่งในช่วงระหว่างอยู่ในค่ายฯนั้น ผมพยายามทำตัวให้โดดเด่นเข้าไว้ เผื่อเธอจะมองเห็นผมในสายตาบ้าง ผมจึงรีบอาสาเป็นผู้นำ ในแต่ละกิจกรรมให้ได้มากที่สุด เพื่อให้เป็นจุดสนใจ
และแล้วผมก็อยู่ในสายตาของเธอจนได้ เมื่อผมได้เป็นผู้นำในการทำกิจกรรมหลักบ่อยๆ หลังจากนั้นเราก็พยายามทักทาย ได้ทำความรู้จักกันกันมากขึ้น ซึ่งปกติผมจะขี้อายหน่อยๆเวลาคุยกับผู้หญิง แต่กับคนนี้มันกลับรู้สึกเป็นธรรมชาติ เหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อนอะไรแบบนั้น

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกันในค่ายธรรมะ เราก็ได้มีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง และได้เข้าเรียนที่เดียวกัน ในขณะที่กลุ่มเพื่อนๆ ก็ทำให้ผมและเธอได้อยู่กลุ่มเดียวกันจนได้ โดยช่วงนั้นพวกเราก็เริ่มสนิทสนมกันกว่าเดิม โดยมีโอกาสได้กินข้าว ทำงานกลุ่มร่วมกันมากขึ้น มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมาก ในช่วงวัยรุ่นเลยก็ว่าได้ และพวกเราก็ได้แลกเบอร์โทรศัพท์กัน แบบครบทุกคนโดยอัตโนมัติ

ผมกับแต้ว ก็เริ่มมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากขึ้น จากการคุยโทรศัพท์กันบ่อยครั้ง ในช่วงนั้นก็คุยกันแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ครับ ไปเรียนก็เจอกันเลิกเรียนก็คุยโทรศัพท์กัน ถึงขนาดว่าการเรียนผมดีขึ้นเลยทีเดียวครับ เพราะเธอเป็นคนเรียนเก่งและตั้งใจเรียนมาก อีกทั้งไม่ยอมทิ้งเพื่อนๆคนไหนเลย เธอตามช่วยตลอด หลังๆผมกับแต้วเราต่างก็เริ่มเรียนรู้ ซึ่งกันและกันมากขึ้น อย่างว่าแหละครับ คนเราสื่อสารกันทางจิตอยู่แล้ว ยิ่งได้สัมผัสมันทำให้ผมยิ่งเข้าใจ ว่าเธอมีพลังงานที่ดีมาก อีกทั้งเป็นคนมองโลกในแง่ดี และมีจิตใจที่ดีงาม โดยในช่วงเวลานั้น เธอมัก ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ในการเรียนก็คอยเป็นห่วงเพื่อนๆทุกคน ก่อนคิดถึงตัวเองเสมอไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ตรงนี้เป็นจุดที่เธอมีเสน่ห์มาก

และวันนึงเธอก็เริ่มไว้ใจ เล่าเรื่องส่วนตัวของเธอกับผมมากขึ้น ซึ่งมันทำให้ผมหลุดปากบอกชอบเธอก่อน โดยที่ผมไม่ได้ใช้สมองคิดเลยครับ แต่เธอก็ไม่ได้ปฏิเสธผม หรืออะไรทั้งนั้นเลยนะ ซึ่งโดยปกติเห็นตามเพลงฮิตๆมักจะแห้วเวลาบอกรักเพื่อนใช่ไหม แต่เคสของผมคือ เธอยิ้มและเขินปกติครับ ด้วยความเขินเธอก็ยิงคำถามใส่ผมใหญ่ ว่าชอบเพราะอะไร เธอชอบอะไรเรา บลาๆ ผมก็ตอบคำถามอยู่พักใหญ่

หลังจากนั้นก็มีการ ส่งเพลงให้กันฟัง แนวๆของเพื่อนรัก รักเพื่อน เพลงสบตา อะไรแนวๆนี้ โอ้ยน้ำตาผมจะไหล คือผมต้องเขียนให้จบสินะ ฮึ้บไว้ แล้ววันนึงเธอก็บอกว่าชอบผมเหมือนกันครับ ทุกวันเกิดของผมในทุกปี เธอจะส่งของขวัญที่ทำด้วยมือตัวเอง เช่นวาดภาพสวยๆ เขียนชื่อผม เป็นพันๆตัวอักษร แล้วทำให้เป็นงานศิลปะ สวยมากคือผมรู้สึกถึงความตั้งในของเธอจริงๆ ความรู้สึกในใจ คือมันเอ่อล้นมากครับ ท่านผู้อ่านพอเข้าใจนะว่าช่วงเวลาที่มีความสุขของความรัก มันเป็นอย่างไร ^^ แต้วทำให้ผมได้มีโอกาสเข้าโรงหนัง ดูหนังเป็นครั้งแรก โอ้ยไม่อยากเฉลยว่าเรื่องอะไร เดี๋ยวรู้อายุผม 555 มีคำว่ารัก ใบ้ให้แค่นี้ครับ

และแล้วช่วงเวลาแห่งความสุขก็มักจบลงเสมอครับ (ทุกข์และสุขมันมาพร้อมกันเสมอ) คือที่ผ่านมาเรารู้สึกต่อกันแค่ในใจครับ แต่ไม่เคยได้พูด หรือ ได้นิยามในความรู้สึกของเราเลย ว่าคืออะไร พูดง่ายๆก็คือ เราไม่ได้เป็นแฟนกันครับ ทั้งที่ผมพยายามขอเธอเป็นแฟนหลายครั้ง แต่ผมก็ผิดหวังเรื่อยๆ ทั้งๆที่แต้ว เธอไม่มีใครในใจเลย และเธอก็ส่งของขวัญวันเกิดให้ผมทุกปี ส่งนู้นนี่นั่นให้ผมเสมอ และยังส่งเพลงรักเดิมๆให้ผมตลอด
ซึ่งในตอนนั้นผมเศร้าอยู่นะ เธอมักพูดว่า เราชอบเธอนะ แต่เราเป็นแฟนเธอไม่ได้จริงๆ "เราไม่อยากทำให้เธอเสียใจ" ซึ่ง ณ ตอนนั้นผมก็บอกเธอไปว่า "เธอทำให้เราเสียใจ! เพราะไม่ยอมเป็นแฟนกับเรานี่แหละ" ในช่วงนั้นในหัวมันมีแต่คำถามๆ ที่เจ็บสุดคือ ตอนเธอพูดว่า เป็นเพื่อนกันแหละดีที่สุดแล้ว T^T คือนางใจร้ายมากอ่ะครับ

ในตอนนั้นในความรู้สึกของผม คือเจ็บปวดมาก จากนั้นผมก็เริ่ม ถอยออกมาจากชีวิตเธอ อ่อ แล้วมีอีกคำๆนึง ที่เธอชอบพูดบ่อยๆก็คือ "เราจะไม่ลืมเธอเลย" เป็นประโยคนึงที่สะเทือนใจผมมาถึงทุกวันนี้ครับ
หลังจากนั้นเราก็อยู่กันคนละมหาลัย ผมกับเธอก็เริ่มคุยกันน้อยลงๆเรื่อยๆ จนผมมีโอกาสได้มีแฟน 1 คน และภายใน 1 ปีก็เลิกรากันไป และด้วยพิษรักที่แฟนเก่าได้ฝากไว้ มันทำให้ผมต้องไปบวชเลยครับ 1 ปีเต็มๆ ใช้ธรรมะรักษาจิตใจ

พอหายดีแล้วก็สึกออกมาได้ ประมาณ 2 วัน เพื่อนๆก็ส่งข่าวมาบอกว่า "แต้วป่วยหนัก" ผมรีบไปเยี่ยมโดยไม่รอช้าในสภาพหัวเกรียนๆเลยครับ แต่ภาพที่ผมได้เห็นคือ แต้วใส่เครื่องช่วยหายใจครับ ผมพูดอะไรไม่ออกเลย รู้จากแม่และน้องของแต้วว่า แต้วเธอเป็นโรค SLE โรคแพ้ภูมิตัวเอง และ เธอล้มป่วยเพราะเรียนแบบหักโหม ในตอนนั้นเธออายุเพียง ยีสิบต้นๆ

ผมไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ ผมทำตัวไม่ถูกครับยืนตัวสั่นเลย แล้วก็พยายามจับที่ข้อเท้าของเธอ แล้วเหมือนแต้ว พยายามดิ้นไม่อยากให้เราจับ คล้ายๆจะร้องไห้ แล้วหมอก็บอกให้ญาติออกไปรอข้างนอกครับ ผ่านมา 1 วันก็ได้ยินข่าวว่า "แต้วเสียแล้ว" ผมและเพื่อนๆทุกคนเศร้ามาก ซึ่งตรงนี้ผมจะไม่อธิบายเยอะนะครับ มันค่อนข้างสะเทือนใจ เธอเหมือนนอนหลับไปเฉยๆ ท่ามกลางเสียงร้องไห้ของทุกคน หลับให้สบายนะแต้ว...

"เมื่อความรักฉันเป็นเหมือนอากาศ
ที่คอยเคียงข้างเทอเรื่อยไป
ไม่เคยเห็นเลยใช้ไหม..ว่าใครรักเทอ"

และในที่สุดผมก็ได้เข้าใจทุกอย่าง ในความหมายที่เธอพยายามจะสื่อถึงผม ด้วยความหมายของเพลงที่แต้วเคยส่ง บอกชัดเจนครับว่ารู้สึกยังไง และ คำพูดต่างๆของเธอ คือคำตอบที่ว่า เราเป็นแฟนกันไม่ได้เพราะอะไร
เราชอบเธอนะ แต่ "เราไม่อยากทำให้เธอเสียใจ" และ "เราจะไม่ลืมเธอเลย" คำตอบทุกอย่างมันตอบผมพร้อมๆกัน ในวันสุดท้าย ก่อนที่เธอจะจากผมไปตลอดกาล... "ขอบคุณสำหรับคำตอบนะแต้ว" และขอโทษที่เคยเข้าใจเธอผิด

แล้วเพื่อนๆล่ะครับ ถ้ามีเวลาไม่มากบนโลกใบนี้ จะเลือกที่จะมีความรักไหม?

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่