จะเป็นอย่างไร.. ถ้าคุณลืมตาขึ้นมา แล้วปรากฏภาพสถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งทุกอย่างยังคงสภาพไว้เหมือนเมื่อ 47 ปีก่อน เก้าอี้ทุกตัว แผ่นภาพโปสเตอร์โฆษณา ร้านอาหาร ร้านขายของ เอกสารสำคัญและสิ่งของบางอย่างยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ขาดแต่เพียงผู้คนที่หายลับไป และแม้จะทรุดโทรมไปตามกาลเวลา แต่กลิ่นอายแห่งอดีตยังคงวนเวียนอยู่ ที่แห่งนั้น คือ สนามบินนานาชาติกรุงนิโคเซีย ประเทศไซปรัส สถานที่ซึ่งเป็นรอยอดีตแห่งความรุ่งเรืองและตกต่ำของเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้..
หากย้อนเวลากลับไปหลังจากไซปรัสได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1960 เกาะแห่งนี้ก็กลายเป็นเกาะสวาทหาดสวรรค์ที่เติมเต็มความอบอุ่นให้แก่ชาวยุโรปจากอากาศที่หนาวเหน็บ บุคคลมีชื่อเสียง ดารา เซเล็บ หลายคน เช่น Elizabeth Taylor, Richard Burton และนางแบบ Brigitte Bardot ต่างมุ่งหน้ามาหาความสุขจากเกาะเล็กๆแห่งนี้ และเมื่อคนดังมาเยือน เกาะแห่งนี้ก็ได้รับความนิยมเป็นพลุแตกในทันที จนไซปรัสกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมอันดับต้นๆของโลก


เมื่อไซปรัสมีความสำคัญมากขึ้น สนามบินซึ่งเป็นหน้าด่านในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวก็ย่อมเป็นสถานที่ๆต้องได้รับการพัฒนา สนามบินนานาชาตินิโคเซียมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน ถูกสร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1930’s ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สนามบินถูกใช้เป็นฐานทัพอากาศของฝ่ายสัมพันธมิตร จนภายหลังสงครามจบลง เมื่อการท่องเที่ยวเติบโตขึ้น สนามบินถูกพัฒนาให้กลายเป็นหน้าด่านของเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก ในปี 1968 อาคารผู้โดยสารหลังใหม่ที่สวยงาม และทันสมัยที่สุดในภูมิภาคก็เปิดตัวขึ้น นอกจากจะรองรับเครื่องบินได้สูงสุดถึง 11 ลำ และบริการผู้โดยสารได้สูงสุดถึง 800,000 คนต่อปีแล้ว ความล้ำยุคแบบสุดๆ คือ สนามบินแห่งนี้มีการติดตั้งระบบ Censored สำหรับเปิดประตูทางเข้าอัตโนมัติเป็นสนามบินแรกของโลกอีกด้วย
หากแต่ความรุ่งเรืองของสนามบินแห่งนี้กลับอยู่ได้เพียง 6 ปีเท่านั้น!! ก่อนที่เงามืดที่ซ่อนอยู่ใต้พรมของประเทศไซปรัสจะปรากฏกลายขึ้นมา..
แม้จะเป็นเกาะขนาดเล็กที่สวยงาม แต่สภาพทางภูมิศาสตร์ของไซปรัสก็ทำให้ประวัติศาสตร์ของเกาะต้องยุ่งเหยิง ไซปรัสตั้งอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก คั่นกลางระหว่างตุรกี กรีซ และอียิปต์ แน่นอน.. อะไรที่มันเป็นกลางๆ ย่อมเป็นศูนย์รวมแห่งความหลากหลาย หากแต่ความหลากหลายถ้าอยู่ร่วมกันได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้หล่ะ? ปัญหาก็ย่อมเกิดขึ้น..
เกาะไซปรัสเป็นที่อยู่ของประชากรกลุ่มใหญ่ๆ 2 กลุ่มด้วยกัน และทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คือ 1) ประชากรเชื้อสายกรีก นับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกส์ ที่คิดเป็นประมาณ 77% ของประชากร และ 2) ประชากรชาวมุสลิม เชื้อสายตุรกี ที่คิดเป็นประมาณ 18% ของประชากร โดยประชากรทั้ง 2 ส่วน ต่างยึดติดอยู่กับประเทศต้นกำเนิดของตัวเองอย่างแนบแน่น และด้วยสภาพภูมิศาสตร์ที่อยู่ในจุดสำคัญ ทั้งประเทศกรีซและตุรกีมีความต้องการลึกๆที่จะเคลมไซปรัสที่ตอนนี้ได้รับเอกราชปกครองตัวเองจากอังกฤษเป็นที่เรียบร้อยให้มาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเอง
ภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษได้มีการตกลงให้ไซปรัสมีปกครองแบบ confessionalism คือ กำหนดให้มีตำแหน่งการปกครองตามสัดส่วนของศาสนาและเชื้อชาติ โดยชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกจะได้เป็นประธานาธิบดี ส่วนชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกีจะได้เป็นรองประธานาธิบดี จนกระทั่งวันที่ 15 กรกฎาคม 1974 ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนแปลงไป เมื่อความขัดแย้งระหว่างชาวไซปรัสเชื้อสายกรีกและชาวไซปรัสเชื้อสายตุรกีปะทุขึ้น
โดยคณะนายทหารที่มีรัฐบาลกรีซหนุนหลังได้ทำการรัฐประหารเพื่อจัดตั้งรัฐบาลชาตินิยม โดยมีแผนที่จะรวมเกาะไซปรัสเข้ากับกรีซ แน่นอน! ตุรกีไม่ยอม หลังจากนั้นอีก 5 วัน รัฐบาลตุรกีจัดส่งกองทัพเข้ามาแทรกแซง ความโกลาหลเกิดขึ้นไปทั่ว บรรดานักท่องเที่ยว นักธุรกิจ รวมถึงบรรดาผู้มีอันจะกินทั้งหลายต่างพากันตื่นกลัวกับเหตุการณ์นี้ ทุกคนมุ่งหน้าหนีออกไปจากไซปรัสโดยรีบด่วน
(บรรดานักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติพยายามหนีออกจากเกาะไซปรัสจนแน่นสนามบิน)
ผลจากการปะทะทำให้เกิดความเสียหายไปทั่ว สนามบินนิโคเซียถูกโจมตีทางอากาศจนได้รับความเสียหายจากกองทัพตุรกีที่บุกมาตอบโต้ ไม่ต่างจากบริเวณอื่นๆของประเทศ ซึ่งส่งผลให้สนามบินถูกปิดตัวลง และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องผละออกจากสนามบินโดยไม่ได้เตรียมตัวใดๆ ความขัดแย้งดำเนินไปอย่างไม่มีทีท่าจะจบสิ้น จนกระทั่งกลางเดือนสิงหาคม 1974 อีก 1 เดือนให้หลัง กองกำลังสหประชาชาติจึงต้องเข้ามาให้ความช่วยเหลือระงับศึกไม่ให้เสียหายบานปลายไปมากกว่านี้ เส้นแบ่งเขตความขัดแย้ง หรือ Green Buffer Zone ถูกขีดขึ้นเพื่อแบ่งแยกเขตยึดครองของทั้ง 2 ชาติ ไม่ให้รุกล้ำเข้ามาหาเรื่องกันได้ และสนามบินนิโคเซียก็ตั้งอยู่ใจกลางโซนสีเขียวแห่งนี้ มีผลทำให้กองกำลังของทั้ง 2 ชาติ รวมทั้งพลเรือนที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่ใกล้กว่า 500 เมตรจากเขตสนามบิน ภายหลังจากนั้นประเทศไซปรัสจึงจำเป็นต้องสร้างสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ขึ้นที่เมืองลาร์นากาและใช้มาจนทุกวันนี้


ภายหลังที่มีการแบ่งเขต กองกำลังของ UN ได้ใช้สนามบินนิโคเซียเป็นฐานที่มั่นในการส่งกำลังพล ยุทโธปกรณ์ และยุทธปัจจัยของตัวเอง รวมทั้งใช้เพื่อเป็นสถานที่เจรจาสงบศึกในหลายครั้งหลายครา แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่สามารถจบสิ้นลงตราบจนทุกวันนี้ ทำให้สนามบินนิโคเซียแห่งนี้ยังคงเป็นดินแดนสนธยารอคอยผู้คนให้กลับมาทวงคืนอดีตของมันอย่างสงบเงียบต่อไป.. สภาพสนามบินที่ไม่มีใครจับต้องมาเกือบ 50 ปี ได้กลายเป็นสถานที่ลึกลับที่นักถ่ายภาพอยากจะเข้ามาดูอดีตกาลที่ยังคงอยู่ และนี่ คือ ภาพสนามบินในปัจจุบันนี้
(Counter เช็คอินท์ยังคงเรียงรายอยู่)
(ช่องทางศุลกากรและด่าน Health Control)
(แผ่นป้ายโฆษณาแผ่นเดิมเมื่อเกือบ 50 ปีก่อนยังคงติดอยู่ในกรอบ)
(เก้าอี้ในโถงผู้โดยสารยังคงตั้งอยู่ที่เดิม)
(หอบังคับการบินที่อุปกรณ์ โต๊ะ และพัดลมยังคงอยู่ที่เดิม)
(สภาพภายในกับของตกแต่งและเครื่องบินบนรันเวย์ที่ยังนอนสงบนิ่ง)
Nicosia Airport (( สนามบินทะลุมิติ )) เมื่อวันเวลาถูกแช่แข็งไว้เกือบ 50 ปี