คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ตราบใดที่ยังมีโควิดเวอร์ชั่นกลายพันธุ์โผล่มาเรื่อย ๆ มันคงยากที่จะยับยั้ง เพราะวัคซีนที่คิดค้นกันมาแทบใช้ไม่ได้ผล ก็ลองดูประสิทธิภาพของวัคซีนของแต่ละที่ว่ามันใช้ได้ผลกับเวอร์ชั่นกลายพันธุ์ใหม่ ๆ ขนาดไหน
ถ้าวัคซีนได้ผลน้อยก็คงไม่ต้องถามหาภึงภูมิคุ้มกันหมู่ เนื่องจากวัคซีนที่ประสิทธิภาพต่ำกว่า 70% ภูมิคุ้มกันหมู่จะไม่เกิด เพราะมันแปลว่า threshold ที่กำหนดให้ฉีดตามอัตราประชากรมันจะต้องเกินกว่า 100% ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว อีกอย่าง วัคซีนตามปกติจะต้องหยุดการแพร่ของเชื้อ แต่วัคซีนที่เพิ่งผลิตออกมามันไม่มีคุณสมบัติแบบนั้น มันอาจจะช่วยให้ฤทธิ์ของการแพร่เชื้อต่ำกว่าเดิมหน่อย ถือว่าชะลอได้ในระดับนึง แต่มันไม่ได้หยุดการระบาด เพราะงั้นหน้ากากก็ยังต้องใส่ มือก็ยังต้องล้าง ระยะห่างก็ยังต้องเว้น ดังนั้น พฤติกรรมการป้องกันมันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมอะไร ยังยึด New Normal เหมือนเดิม จะเห็นว่าหลาย ๆ ประเทศก็ยังมีกฎกักตัวสำหรับคนที่เข้าประเทศอยู่ ถึงแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนหรือมี vaccine passport แล้วก็ตาม เหตุผลเดียวคือเค้าไม่ไว้ใจประสิทธิภาพของวัคซีน นอกจากคนที่ผ่านการฉีดจะสามารถแพร่เชื้อหรือรับเชื้อได้วนไปแล้ว ตัว antibody ก็ยังไม่เสถียร ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะคงอยู่นานแค่ไหน แน่นอนว่าระยะเวลา antibody ที่เกิดจากวัคซีนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก ส่วนสื่อบางสื่อที่บอกว่าเกินปีเนี่ยอย่าเพิ่งเชื่อ ไปรับงานมาโฆษณาให้บริษัทผลิตวัคซีนรึเปล่าก็ไม่รู้ ทีนี้ ปัญหาคือจะต้องฉีดอีกกี่เข็ม booster shot ที่คิดค้นสำหรับเวอร์ชั่นกลายพันธุ์ใหม่ ๆ จะตามมาให้ฉีดเท่าไหร่ถ้าเผื่อมันลามไปทั่วโลก งบประมาณพอมั้ย เงินก็ต้องหา ผลข้างเคียงก็ต้องกลัว สรุป (ในความคิดเรานะ) ไม่ควรหวังภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีน แต่ให้หวังแค่ฉีดแล้วมันไปลดอาการป่วยหนักก็พอ ส่วนผลข้างเคียงก็แล้วแต่จะพิจารณาว่าควรฉีดมั้ย ดูตามสถานการณ์ คือถ้าอยู่ในที่ ๆ ระบาดเป็น 0 หรือระบาดน้อยมาก ๆ จะไปฉีดให้เสี่ยงเป็นโรคอย่างอื่นเพิ่มเพื่ออะไรอ่ะ ในเมื่อผลข้างเคียงระยะยาวยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้เลย เราคิดงี้นะ

ถ้าวัคซีนได้ผลน้อยก็คงไม่ต้องถามหาภึงภูมิคุ้มกันหมู่ เนื่องจากวัคซีนที่ประสิทธิภาพต่ำกว่า 70% ภูมิคุ้มกันหมู่จะไม่เกิด เพราะมันแปลว่า threshold ที่กำหนดให้ฉีดตามอัตราประชากรมันจะต้องเกินกว่า 100% ซึ่งมันไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว อีกอย่าง วัคซีนตามปกติจะต้องหยุดการแพร่ของเชื้อ แต่วัคซีนที่เพิ่งผลิตออกมามันไม่มีคุณสมบัติแบบนั้น มันอาจจะช่วยให้ฤทธิ์ของการแพร่เชื้อต่ำกว่าเดิมหน่อย ถือว่าชะลอได้ในระดับนึง แต่มันไม่ได้หยุดการระบาด เพราะงั้นหน้ากากก็ยังต้องใส่ มือก็ยังต้องล้าง ระยะห่างก็ยังต้องเว้น ดังนั้น พฤติกรรมการป้องกันมันก็ไม่ได้ต่างไปจากเดิมอะไร ยังยึด New Normal เหมือนเดิม จะเห็นว่าหลาย ๆ ประเทศก็ยังมีกฎกักตัวสำหรับคนที่เข้าประเทศอยู่ ถึงแม้ว่าจะได้รับการฉีดวัคซีนหรือมี vaccine passport แล้วก็ตาม เหตุผลเดียวคือเค้าไม่ไว้ใจประสิทธิภาพของวัคซีน นอกจากคนที่ผ่านการฉีดจะสามารถแพร่เชื้อหรือรับเชื้อได้วนไปแล้ว ตัว antibody ก็ยังไม่เสถียร ยังไม่มีใครรู้ว่ามันจะคงอยู่นานแค่ไหน แน่นอนว่าระยะเวลา antibody ที่เกิดจากวัคซีนของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันอีก ส่วนสื่อบางสื่อที่บอกว่าเกินปีเนี่ยอย่าเพิ่งเชื่อ ไปรับงานมาโฆษณาให้บริษัทผลิตวัคซีนรึเปล่าก็ไม่รู้ ทีนี้ ปัญหาคือจะต้องฉีดอีกกี่เข็ม booster shot ที่คิดค้นสำหรับเวอร์ชั่นกลายพันธุ์ใหม่ ๆ จะตามมาให้ฉีดเท่าไหร่ถ้าเผื่อมันลามไปทั่วโลก งบประมาณพอมั้ย เงินก็ต้องหา ผลข้างเคียงก็ต้องกลัว สรุป (ในความคิดเรานะ) ไม่ควรหวังภูมิคุ้มกันหมู่จากวัคซีน แต่ให้หวังแค่ฉีดแล้วมันไปลดอาการป่วยหนักก็พอ ส่วนผลข้างเคียงก็แล้วแต่จะพิจารณาว่าควรฉีดมั้ย ดูตามสถานการณ์ คือถ้าอยู่ในที่ ๆ ระบาดเป็น 0 หรือระบาดน้อยมาก ๆ จะไปฉีดให้เสี่ยงเป็นโรคอย่างอื่นเพิ่มเพื่ออะไรอ่ะ ในเมื่อผลข้างเคียงระยะยาวยังไม่มีใครหยั่งรู้ได้เลย เราคิดงี้นะ
แสดงความคิดเห็น
วัคซีนช่วยไม่ให้ป่วยหนักแต่ไม่ช่วยติดเชื้อและแพร่เชื้อ ที่บอกฉีดกันเยอะๆเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ก็ไม่จริงสิ
แต่ตอนนี้มีข้อมูลใหม่ว่า วัคซีนช่วยไม่ให้ป่วยหนักหากติดเชื้อ แต่ไม่ได้ช่วยให้ไม่ติดเชื้อและแพร่เชื่อ ....
ถ้าอย่างงั้นทฤษฎีภูมิคุ้มกันหมู่ ไม่ว่าวัคซีนจากโรคไหนๆ ที่ผ่านมา มันจริงรึเปล่าครับ ???
ไม่ว่าจะเป็นวัคซีนที่มีมานาน พวก คอตีบ ไอกรน หัด อีสุกอีใส ฯลฯ ที่เราๆฉีดกันตั้งแต่ ... วัคซีนพวกนี้มันแค่ลดอาการป่วย แต่ไม่ได้ป้องกันการติดเชื้อ/แพร่เชื้อรึเปล่าครับ