JJNY : ศาลฎีกาฯรับฟ้องรองเลขาฯ ป.ป.ช.│หอค้าไทย-จีนจี้เร่งเปิดปท.│วิโรจน์เผยก.ก.ถกด่วน│พปชร.-ส.ว.ประสานเสียงแก้รธน.แท้ง

สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่! ศาลฎีกาฯรับฟ้อง‘รองเลขาฯ ป.ป.ช.’คดียื่นทรัพย์สินเท็จ 227 ล. 
https://www.isranews.org/article/isranews/96726-isranews-972.html
 

 
ศาลฎีกาแผนกนักการเมืองฯรับฟ้อง ‘ประหยัด พวงจำปา’ รองเลขาฯ ป.ป.ช. คดีจงใจยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ 227 ล้านแล้ว 
สั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ด้วย นัดพิจารณาคดีครั้งแรก สอบคำให้การ 19 พ.ค. 64

 
............................................
 
จากกรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. จงใจยื่นบัญชีแสดดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ กรณีเข้ารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2560 โดยมีพฤติการณ์ควรเชื่อได้ว่า มีเจตนาไม่แสดงที่มาของแหล่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน จำนวน 6 ราย รวมวงเงิน 227,393,103 บาท หลังจากนั้นได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุด (อสส.) ต่อมามีการตั้งคณะทำงานร่วมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ในคดีระหว่างฝ่ายอัยการ และฝ่าย ป.ป.ช. กระทั่งได้ข้อสรุปและส่งเรื่องให้ อสส. โดย อสส.มีคำสั่งฟ้องนายประหยัด ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2564 นั้น
 
เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2564 มีรายงานข่าวแจ้งว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งประทับรับฟ้องไว้พิจารณาแล้ว เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2564 ที่ผ่านมา และมีคำสั่งให้นายประหยัด หยุดปฏิบัติหน้าที่รองเลขาธิการ ป.ป.ช. จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา โดยศาลกำหนดนัดพิจารณาคดีครั้งแรก (นัดสอบคำให้การ) ในวันที่ 19 พ.ค. 2564 เวลา 14.00 น.
 
วันเดียวกัน แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงาน ป.ป.ช. แจ้งสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ว่า ศาลฎีกาฯมีคำสั่งให้นายประหยัดยุติการปฏิบัติหน้าที่จริง โดยตามขั้นตอนต้องรอหนังสือแจ้งอย่างเป็นทางการจากศาลฎีกาฯก่อน หลังจากนั้น ป.ป.ช. จะแจ้งนายประหยัดให้ทราบอีกครั้ง
 
อนึ่ง เมื่อเดือน ต.ค. 2563 นายประหยัดยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้เพิกถอนมติการชี้มูล อย่างไรก็ดีคณะกรรมการ ป.ป.ช. ยืนยันมติเดิม นายประหยัด จึงฟ้อง พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานกรรมการ ป.ป.ช. น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการ ป.ป.ช. และนายวงศ์สกุล กิตติพรหมพงศ์ อสส. ต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กล่าวหาว่ากระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
 
กรณีนี้นายประหยัด กล่าวอ้างว่า กระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดำเนินการโดยมิชอบ เนื่องจากในการยื่นบัญชีทรัพย์สินของพนักงานเจ้าหน้าที่ตั้งแต่ระดับผู้อำนวยการกองขึ้นไป ตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 158 นั้น หากพบว่ามีการกระทำความผิดเกี่ยวกับการยื่นบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ จะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช. มาตรา 42 ประกอบมาตรา 43 โดยอนุโลม คือคณะกรรมการ ป.ป.ช. ต้องส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภาเพื่อดำเนินการตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สิน หากพบว่ามีการกระทำผิดต้องส่งเรื่องให้ประธานวุฒิสภา เพื่อส่งเรื่องให้แก่อัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินการฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
 
นายประหยัด อ้างอีกว่า กระบวนการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายหลังชี้มูลความผิดแล้ว มีการส่งสำนวนให้แก่ อสส. เพื่อฟ้องศาลฎีกาฯเลย ไม่ผ่านประธานวุฒิสภาก่อน ดังนั้นจึงเป็นกระบวนการที่น่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั่นจึงนำไปสู่การฟ้อง พล.ต.อ.วัชรพล น.ส.สุภา และนายวงศ์สกุล ดังกล่าว (อ่านประกอบ : ‘ประหยัด’ฟ้องศาลคดีทุจริตฯ! กล่าวหา‘ปธ.ป.ป.ช.-สุภา-อสส.’ไต่สวนคดียื่นบัญชีเท็จมิชอบ)
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2562 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดนายประหยัด พวงจำปา เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินอันเป็นเท็จ วงเงินรวม 227,393,103 บาท และส่งสำนวนให้แก่ อสส. อย่างไรก็ดีนายประหยัด ได้แถลงข่าวชี้แจงในวันเดียวกัน ยืนยันว่า การยื่นบัญชีทรัพย์สินดังกล่าวเป็นความเข้าใจคลาดเคลื่อนของภรรยา และทำการยื่นบัญชีทรัพย์สินเพิ่มเติมไปแล้ว ดังนั้นการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นการกลั่นแกล้ง และดำเนินการไม่ชอบหลายประการ ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ตน ส่วนข่าวที่พาดพิงว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับบางคดีนั้น คดีเหล่านั้นยังไม่มีข้อยุติ (อ่านประกอบ : รองเลขาฯ ป.ป.ช.ลั่นโดนแกล้งหลังถูกฟันปกปิดบัญชีฯ 227 ล.-ชี้ช่อง ส.ส.ยื่นถอดถอน กก.)
 

 
หอการค้าไทย-จีน ชี้วัคซีนดันท่องเที่ยว คาดเข้าไทยปี 64 ถึง 8 ล้านคน จี้รัฐเร่งเปิดประเทศ ก่อนเสียโอกาส
https://www.matichon.co.th/economy/news_2619430
 
หอการค้าไทย-จีน ชี้วัคซีนดันท่องเที่ยว คาดเข้าไทยปี 64 ถึง 8 ล้านคน จี้รัฐเร่งเปิดประเทศ ก่อนเสียโอกาส
  
เมื่อวันที่ 11 มีนาคม นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการ หอการค้าไทย-จีน กล่าวถึงความเห็นเกี่ยวกับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย-จีน ในเรื่องของการเปิดประเทศรับนักท่องต่างชาติที่มองว่ามีแนวโน้มที่จะมีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยเพิ่มขึ้น ว่า ตามผลสำรวจ ถ้ามีวัคซีนป้องกันโควิด-19 เข้ามา ส่งผลให้การท่องเที่ยวเติบโตขึ้นแน่นอน นักท่องเที่ยวจะเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น หอการค้าไทย-จีน จึงประเมินว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทย 8 ล้านคน โดยเป็นนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน ประมาณ 2 ล้านคน
 
ส่วนปัจจัยที่อยากจะให้เสริม เพื่อสนับสนุนให้เกิดการท่องเที่ยวมากขึ้นคือ การจับคู่ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดแล้วเพื่อการท่องเที่ยว (Traval bubble)  ส่วนการกักตัวที่ทำให้การเดินทางท่องเที่ยวสะดวกน้อยลง อาจจะลดจำนวนวันกักตัวลงเหลือ 7 วัน หรือเหลือเพียง 3 วันได้ยิ่งดี หรือเปิดเป็นหนังสือเดินทางรับรองการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 (พาสปอร์ตวัคซีน) สามารถเดินทางเข้าประเทศโดยไม่ต้องกักตัว” นายณรงค์ศักดิ์กล่าว
 
นายชโยดม สรรพศรี อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะที่ปรึกษาโครงการจัดทำดัชนีหอการค้าไทย-จีน กล่าวว่า ในการประชุมเกี่ยวกับเรื่องการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวนั้น ได้มีตัวเลขสถิติมาวิเคราะห์ ว่า จังหวัดไหนเป็นเป้าหมายของนักท่องเที่ยว เช่น เชียงใหม่ กรุงเทพมหานคร ภูเก็ต ชลบุรี เป็นต้น ซึ่งแต่ละจังหวัดส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาติใด
 
ควรมีการวางแผนว่าพื้นที่ใดเป็นพื้นที่เป้าหมายหลักของการท่องเที่ยว และชาติใดเป็นชาติหลักที่ไปยังพื้นที่นั้น และสำรวจถึงจุดประสงค์ที่มา กิจกรรมที่แต่ละชาติสนใจ ซึ่งหากแยกเยอะตรงนี้ได้ จะทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ทำการประชาสัมพันธ์หรือโฆษณาได้ถูกกลุ่มเป้าหมายว่านักท่องเที่ยวจากประเทศนี้ ไปยังจังหวัดนี้ และทำกิจกรรมนี้ เช่น คนจีน ชอบไปเชียงใหม่ เป็นต้น” นายชโยดมกล่าว
 
นายชโยดม กล่าวว่า อีกเรื่องที่สำคัญคือ ความเร็วของการเปิดรับนักท่องเที่ยว ถ้าหากนักท่องเที่ยวต่างชาติจองเพื่อไปเที่ยวประเทศอื่นแล้ว เขาคงไม่เดินทางมายังประเทศไทย เพราะว่ารายได้จากปีที่ผ่านมาที่ลดลง ทำให้ตลอดปี 2564 อาจเที่ยวได้น้อยลง เหลือเพียง 1-2 ที่เท่านั้น เพราะฉะนั้น หากดำเนินการช้า นักท่องเที่ยวอาจไปที่อื่นแทน และไทยจะเสียโอกาสไปจริงๆ จึงขอให้ลองพิจารณาดู รวมทั้งต้องเป็นความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ในการเตรียมความพร้อม โดยเฉพาะเรื่องของกระแสเงินสดในการฟื้นฟู ธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม
 
นายชโยดม กล่าวอีกว่า ความเห็นส่วนตัวมองว่าการท่องเที่ยวนั้น ใน 2-3 ปี ก็ไม่สามารถฟื้นตัวไปเท่าเดิมที่ 40 ล้านคนต่อปี ต้องมาเริ่มต้นกันใหม่ในเรื่องของกิจการการท่องเที่ยว จึงต้องปรับตัวกันใหม่ วางแผนให้ถูกกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งเรื่องของการปลอดโรคโควิด-19 และปลอดภัย เพราะฉะนั้นต้องมีการเตรียมสถานที่ให้พร้อม ชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยว และคนไทยที่เป็นเจ้าบ้าน ก็ต้องปลอดโรคโควิด-19 ด้วย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่