สมาธิสั้นสาเหตุ คืออะไร

สาเหตุจริงนะ คือ เห็นหลายคนกินยาก็ไม่ได้ดีขึ้น บางคนจากดีๆกลายเป็นบ้าก็มีเพราะหมอเลี้ยงโรค มีเยอะนะ

ผมเคยอ่านบทความ อาหาร น้ำตาล น้ำดื่ม พลังงานเกิน ช่างเถอะ

หลายคนก็นั่งสมาธิแต่ก็ไม่หายอีกเพราะอะไรอ่ะ

มีใครที่หายได้จริงกี่คน พวกเขาหายได้ยังไง ทำอะไรถึงหายได้ครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูล

จริงไหมที่ว่าออกกำลังกายจะมีส่วนช่วยได้มาก

หาสิ่งที่รักทำ ต้องใช้ความเข้าใจ ไม่ใช้ความโกรธเพราะจะทำให้แย่ลงมาก ไม่ควรปล่อยให้เรื่องเล็กเก็บสะสมเป็นปัญหาใหญ่ได้
คือเห็นพ่อแม่หลายคนไม่สนใจให้แต่เด็กกินยาให้คนดูแลแทนจะฆ่าเด็กหรือไง แบบนี้เรียกไม่มีความพร้อมหรือรับผิดชอบนะครับ แบบนี้อ่ะ เบื่อความซวยมาตกที่เด็ก อนาคตเด็กคนนั้นลำบากแน่?
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 5
ที่ไม่หาย อาจจะเพราะความไม่ใส่ใจ ความไม่จริงจังที่จะรักษาก็มี ครับ อย่าเพิ่งตัดจุดนี้ไป
เมื่อไหร่ก็ตามที่ล้มเหลวในการกระทำ อาจจะต้องย้อนมองกลับมาดูว่า เราทำเต็มที่จริงๆแล้วหรือยัง

เช่นกรณีที่เด็กๆ เป็นโรค สมาธิสั้น ซึม ก้าวร้าว นี้
ลองทบทวนข้อมูลที่ผ่านมาซัก 1-2 ปี ว่าทั้งเด็ก และ ผู้ใหญ่ได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง ในการรักษา
ได้ลด ได้งด หรือ เพิ่ม พฤติกรรม อะไรบ้าง
ทานยา อะไรบ้าง

สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้เรารู้ทิศทางการรักษาได้เยอะครับ

บางครั้ง เรากินยา แต่ยังให้เล่นมือถือนานๆ เล่นเกมส์ที่กดดัน หรือ เสพสื่อ ที่กดดัน ก้าวร้าวอยู่ ต่อให้กินยาอีกเป็น 10 ปี ก็ทำได้แค่กดภาวะ แค่นั้น

เราควรเอารายละเอียดข้อมูลจริงๆมาคุยกัน
อาจจะจำเป็นต้องทำบันทึกสำหรับ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ที่ไม่ค่อยจำเหตุการณ์ ก็จะช่วยให้ประเมิณข้อมูลรายเดือน รายปีได้ง่ายๆ

ส่วนตัวมองว่าสำหรับเด็กที่ สมาธิสั้น ซึม ก้าวร้าว อาจจะเริ่มจาก
1. ลด/งดเล่น มือถือ
หันมาใช้ ทีวี ในเวลาที่เหมาะสมแทน ทีวีทุกวันนี้ก็สามารถดูยูทูป หรือ สื่อต่างๆได้ และ พ่อแม่ ผู้ปกครอง สามารถที่จะตรวจเช็คง่าย
เพราะ น้องๆคงย้ายทีวี ไปแอบดูในห้องน้ำไม่ได้ แน่ๆ

2. หากิจกรรมให้ทำเพื่อลดการว่าง เช่น เล่นกีฬา ช่วยงานบ้าน ท่องเที่ยว หรืออ่านหนังสือ ขึ้นอยู่กับ ความสะดวกของ พ่อแม่
ว่าจะสามารถโน้มน้าวลูกให้ทำอะไรได้

3. ทบทวน ประจำวัน เช่น ตอนเช้าตื่นนอน ลองทบทวน เรื่องราว เมื่อวานดู ไม่ว่าจะ กินอาหารที่โรงเรียน การเรียนคาบนั้นๆ หรือ กิจกรรมกับเพื่อน
ก่อนนอนก็หาเรื่อนถามอีกรอบ แล้วสังเกตการตอบคำถามเขาดู

4. มีเงื่อนไขเสมอ รูปแบบเงื่อนไข จะช่วยกระตุ้นเด็กๆได้ เยอะพอสมควร นอกจาก จะช่วยให้เราแก้ปัญหาเรื่องการร่วมมือจากเด็กๆแล้ว
เราก็ยังจะสามารถเพิ่ม พัฒนาการเขาได้
เช่น ถ้าจะซื้อขนม ก็ให้ตอบคำถามก่อน กินข้าวให้หมด ค่อยดูทีวี หรือ อย่างอื่นเป็นต้น

5. ความใส่ใจ และ ทุ่มเทของ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ข้อนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่จะทำให้ปัญหาผ่านไปได้
เพราะ เอาจริงๆ ผมว่าเกือบ 80 % ขึ้น ที่ปัญหาไม่ได้รับการแก้ไข ทั้งๆที่กินยาไปแล้ว ส่วนหนึ่งคือ
ความไม่ใส่ ที่จะแก้ปัญหา แบบจริงๆจังๆ ของ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ซึ่งบางท่านอาจจะมองไปแค่ว่า แค่เอาลูกไปหาหมอก็จบ หรือ เอาลุกไปฝากเรียนประจำก็จบ สุดท้ายมันก็ไม่จบ อย่างที่เราๆท่านๆ เห็นกันนี่แหละครับ เพราะไม่ได้รับความร่วมมือจากพ่อแม่ อย่างเต็มที่ หรือ ตรงกับปัญหา
จึงทำให้ปัญหาไม่ได้ถูกแก้ไขนั่นเองครับ

สุดท้ายนี้ ขอให้ พ่อแม่ ทุกท่าน รักและ เข้าใจลูก ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่