JJNY : 5in1 จี้ทำตามที่พปชร.หาเสียง│กสิกรฯคงGDP│เมียนมานำเบียร์ล้างเท้า│‘พิธา’ตั้งสเปกผู้ว่าฯ│ไอติมฝากข้อความเตือนสภา

วันสตรีสากล : 2 ปีแล้วยังเงียบ 'คนงาน' จี้รัฐบาลทำตามนโยบายสวัสดิการที่พลังประชารัฐเคยหาเสียง
https://prachatai.com/journal/2021/03/92023
 
 
คนงานจัดกิจกรรมวันสตรีสากล 2 ปีแล้วยังเงียบ จี้รัฐบาลทำตามนโยบายพลังประชารัฐอย่างที่เคยหาเสียงไว้ พร้อมร้องจัดรัฐสวัสดิการ แก้ รธน.ทั้งฉบับให้ ปชช.มีส่วนร่วม
 
8 มี.ค.2564 เนื่องในวันสตรีสากล เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา หน้าทำเนียบฯ ตัวแทนสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอการตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนังแห่งประเทศไทย กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์และองค์กรเครือข่าย จัดกิจกรรมเรียกร้องให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคพลังประชารัฐดำเนินนโยบายตามที่เคยหาเสียงไว้ คือ ค่าจ้างขั้นต่ำ 400 -425 บาท ป.ตรีเงินเดือน 2 หมื่นบาทอาชีวะเงินเดือน 1.8 บาท เด็กจบใหม่เสนอยกเว้นภาษี 5 ปี ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปีลดภาษีบุคคลธรรมดาเหลือ 10 % และนโยบายมารดาประชารัฐ เงินช่วยเหลือระหว่างตั้งครรภ์ 3,000 บาท/เดือน เงินค่าคลอดบุตร จำนวน 10,000 บาท ค่าเลี้ยงดูบุตร จำนวน 2,000 บาท/เดือน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ขวบ เป็นต้น เพราะวันนี้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลระยะเวลาผ่านมาจะครบ 2 ปียังไม่ดำเนินการตามที่หาเสียงไว้แต่อย่างใด
 
พร้อมทั้งเรียกร้องเพิ่มเติมคือ 
1. รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณสร้างรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพ 
2. แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง 
3. รัฐบาลต้องให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87 . 98 และฉบับที่ 183
4. รัฐบาลต้องปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 – 425 บาท ป.ตรีเงินเดือน 20,000 บาท อาชีวะเงินเดือน 18,000 บาท เด็กจบใหม่เสนอยกเว้นภาษี 5 ปี ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปีลดภาษีบุคคลธรรมดาเหลือ 10 % และโครงการมารดาประชารัฐ เช่น ตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท ค่าคลอดบุตร 10,000 บาท และค่าดูแลบุตรเดือนละ 2,000 บาท ตามที่พรรคพลังประชารัฐได้หาเสียงไว้
5. รัฐบาลต้องเพิ่มวันลาคลอดบุตรจากเดิม 98 วัน เป็น 180 วัน และสามีมีสิทธิลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 180 วัน โดยได้รับค่าจ้าง 
6. รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายให้สตรีมีสิทธิทำแท้งได้อย่างปลอดภัยเมื่อไม่พร้อมมีบุตร 
และ 7. รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินบำนาญแก่ผู้สูงอายุทุกคนเป็นเงิน 3,000 บาท/เดือน
 
รายละเอียดเนื้อหาจดหมายที่ยื่นทวงถามต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งลงชื่อโดย เซีย จำปาทอง ประธานสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ และเดือน  แช่มสุข กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ดังนี้
  
วันที่ 8 มีนาคม 2564
 
เรื่อง ทวงถามความคืบหน้าข้อเรียกร้องและเสนอข้อเรียกร้องเพิ่มเติมให้รัฐบาลดำเนินการ
 
เรียน พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี 
 
“วันสตรีสากล”  วันที่  8  มีนาคมของทุกๆปี  เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่ชนชั้นแรงงานหญิงได้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีดที่มีอยู่ในสังคม โดยเฉพาะบทบาทของแรงงานหญิงในโรงงานทอผ้า ที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต่อสู้กับการกดขี่ขูดรีดทารุณในระบบทุนนิยม พวกชนชั้นนายทุนเห็นกำไรสำคัญกว่าชีวิตของมนุษย์ การทำงานมากกว่าวันละ 14 - 16 ชั่วโมงได้ค่าจ้างแรงงานเพียงน้อยนิด สภาพการทำงานในโรงงานเลวร้ายหลายคนเจ็บป่วยล้มตายไร้การเหลียวแล ทำให้แรงงานหญิงและชายทนไม่ได้กับระบบการกดขี่ขูดรีดจึงเกิดการลุกขึ้นสู้ มีการนัดหยุดงานและเดินขบวนในวันที่  8  มีนาคม ค.ศ. 1907 การต่อสู้ในครั้งนั้น ได้รับการสนับสนุนอย่างกว้างขวางจากแรงงานทั่วโลก สร้างความสั่นสะเทือนต่อระบบทุนนิยมทั้งโลกและได้มีการเรียกร้องชั่วโมงการทำงานให้เหลือวันละ 8 ชั่วโมง พร้อมทั้งปรับปรุงสภาพการทำงานและสวัสดิการต่างๆให้ดีขึ้น วันประวัติศาสตร์การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ของแรงงานหญิงได้รับการยกย่องและมีการจัดงานเฉลิมฉลองมาถึงจนทุกวันนี้
 
พรรคพลังประชารัฐได้จัดตั้งขึ้นจากรัฐธรรมนูญปี  2560  ซึ่งได้รวบรวมกลุ่มนักการเมืองจากหลายกลุ่มมารวมกันกับบุคคลที่มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทหารที่ทำการรัฐประหารเมื่อปี  2557  การเลือกตั้งเมื่อวันที่  24  มีนาคม 2562  ได้กำหนดนโยบายหาเสียงที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้แรงงานและสัญญาว่าหากได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินการทันที  เช่น  ค่าจ้างขั้นต่ำ  400 - 425  บาท  ป.ตรีเงินเดือน  2  หมื่นบาทอาชีวะเงินเดือน  1.8  บาท เด็กจบใหม่เสนอยกเว้นภาษี  5  ปี ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์  2  ปีลดภาษีบุคคลธรรมดาเหลือ  10  %  และนโยบายมารดาประชารัฐ เงินช่วยเหลือระหว่างตั้งครรภ์ 3,000  บาท/เดือน เงินค่าคลอดบุตร จำนวน 10,000 บาท ค่าเลี้ยงดูบุตร จำนวน 2,000 บาท/เดือน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ  6 ขวบ  เป็นต้น  ณ  วันนี้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลระยะเวลาผ่านมาจะครบ  2  ปียังไม่ดำเนินการตามที่หาเสียงไว้แต่อย่างใด
 
ปัจจุบันประเทศไทยกำลังประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจและปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด  19  จากการบริหารงานผิดพลาดทำให้ประชาชนเดือดร้อนอย่างมากมาย  ประชาชนจำนวนไม่น้อยต้องฆ่าตัวตายเพราะทนรอการดูแลเยียวยาจากรัฐไม่ไหว  บริษัทหลายแห่งปิดตัวลง  มีคนตกงานจำนวนมาก  ลดชั่วโมงทำงาน  ลดสวัสดิการ  ใช้ ม. 75  หยุดกิจการบางส่วนเป็นการชั่วคราว  หนักสุดถึงขั้นถูกเลิกจ้างไม่ได้รับค่าชดเชย  เป็นต้น  สถานการณ์รอบแรกยังไม่กลับสู่ภาวะปกติการระบาดรอบที่  2  กลับมาอีกครั้ง  ซ้ำเติมความเดือดร้อนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ความทุกข์เพิ่มทวีคูณหลายเท่า  จากการบริหารงานที่ผิดพลาดของรัฐบาลปัจจุบันที่ปล่อยปละละเลยเป็นช่องทาง  ให้แรงงานข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศแบบผิดกฎหมายโดยที่เจ้าหน้าที่บางกลุ่มอาจมีผลประโยชน์แอบแฝง  บ่อนการพนันที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดในภาคตะวันออกและที่อื่นๆจนถึงปัจจุบันรัฐบาลก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้  ความล้มเหลวการบริหารประเทศที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่าของรัฐบาลทำให้ผู้ใช้แรงงานและประชาชนคนไทยเดือดร้อนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน  ข้อเรียกร้องที่ผู้ใช้แรงงานได้ยื่นต่อรัฐบาลแต่ละครั้งถูกเพิกเฉยไร้การตอบสนอง  แม้จะเป็นนโยบายที่พรรคพลังประชารัฐในฐานะที่เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลเคยหาเสียงไว้ก็ตาม  เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนทุกกลุ่ม รวมทั้งเป็นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนในสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด  19  การสร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง แรงงาน  และการส่งเสริมการรวมตัวกันของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตย สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯกลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียงและองค์กรเครือข่าย จึงขอทวงถามความคืบหน้าข้อเรียกร้องที่เคยยื่นต่อรัฐบาลและเสนอข้อเรียกร้องเพิ่มเติมให้รัฐบาลดำเนินการดังต่อไปนี้
 
1.  รัฐบาลต้องจัดสรรงบประมาณสร้างรัฐสวัสดิการเพื่อดูแลประชาชนอย่างมีคุณภาพ
 
2.  แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่ประชาชนมีส่วนร่วมและเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
 
3.  รัฐบาลต้องให้การรับรองอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศฉบับที่ 87, 98 และฉบับที่ 183
 
4.  รัฐบาลต้องปรับเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 400 – 425 บาท ป.ตรีเงินเดือน  20,000 บาท  อาชีวะเงินเดือน  18,000  บาท เด็กจบใหม่เสนอยกเว้นภาษี  5  ปี ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์  2  ปีลดภาษีบุคคลธรรมดาเหลือ  10 %  และโครงการมารดาประชารัฐ เช่น ตั้งครรภ์รับเดือนละ 3,000 บาท ค่าคลอดบุตร 10,000  บาท และค่าดูแลบุตรเดือนละ 2,000 บาท ตามที่พรรคพลังประชารัฐได้หาเสียงไว้
 
5.  รัฐบาลต้องเพิ่มวันลาคลอดบุตรจากเดิม 98 วัน เป็น 180 วัน และสามีมีสิทธิลาไปดูแลภรรยาคลอดบุตรได้ 180 วัน โดยได้รับค่าจ้าง
 
6.  รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายให้สตรีมีสิทธิทำแท้งได้อย่างปลอดภัยเมื่อไม่พร้อมมีบุตร
 
7.  รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายเกี่ยวกับการจ่ายเงินบำนาญแก่ผู้สูงอายุทุกคนเป็นเงิน  3,000  บาท/เดือน
 
สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอการตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนังแห่งประเทศไทย  กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียงและองค์กรเครือข่าย หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านฯจะพิจารณาดำเนินการตามข้อเรียกร้องเพื่อเป็นการเพิ่มรายได้ให้ประชาชนในสภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด  19  และการสร้างหลักประกันด้านเศรษฐกิจ  สังคม  การเมือง แรงงาน  และการส่งเสริมการรวมตัวกันของประชาชนตามระบอบประชาธิปไตยต่อไปและขอขอบคุณท่านฯล่วงหน้ามา  ณ  โอกาสนี้ด้วย



ศูนย์วิจัยกสิกรฯ คง GDP ปี 64 โต 2.6% แต่ปรับกรอบใหม่มาที่
https://www.ryt9.com/s/iq03/3206229
 
น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด คงประมาณการอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 64 ไว้ที่ 2.6% แต่ปรับกรอบประมาณการมาที่ 0.8-3.0% จากเดิม 0-4.5%
 
กรอบประมาณการใหม่นี้ สะท้อนความเสี่ยงขาลงต่อเศรษฐกิจที่ลดลง ตามความคืบหน้าอย่างมากของการกระจายวัคซีน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในเศรษฐกิจหลัก ส่วนการปรับลดกรอบบน สะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในภาพรวมที่ยังต้องใช้เวลา และช้ากว่าเศรษฐกิจโลก เนื่องจากไทยพึ่งพารายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติสูง
 


ชาวเมียนมาแห่นำเบียร์ยี่ห้อดังมาล้างเท้า พร้อมใจสู้เผด็จการทหาร
https://www.khaosod.co.th/around-the-world-news/news_6092745
 
ชาวเมียนมาแห่นำเบียร์ยี่ห้อดังมาล้างเท้า พร้อมใจสู้เผด็จการทหาร
 
สถานการณ์ในประเทศเมียนมายังคงคุกรุ่นและยังคงดูเหมือนว่ายังมีประชาชนอีกจำนวนมากที่ยังคงออกมาแสดงออกถึงการต่อต้านรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง ประชาชนเมียนมายังพร้อมใจคว่ำบาตรและเลิกสนับสนุนผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกองทัพ
 
หนึ่งในนั้นก็คือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ยี่ห้อดังในเมียนมา โดยเบียร์ยี่ห้อดังกล่าวเคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่หลังจากมีรัฐประหารประชาชนเริ่มหยุดการบริโภคไป
 
จวบจนมีภาพและคลิปวิดีโอที่ผู้คนนำเบียร์ยี่ห้อดังกล่าวมาล้างเท้ากลางถนน เพื่อเป็นการแสดงออกถึงสัญลักษณ์ต่อต้านระบอบเผด็จการทหาร เทรนด์การนำเบียร์มาล้างเท้าของประชาชนชาวเมียนมานั้นเริ่มมากจากเมืองโมนยวา จนเริ่มขยายต่อไปในพื้นที่ใกล้เคียง
 
ดูคลิป คลิก
ที่มา Khit Thit Media
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่