วันนี้ผมขออนุญาตพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับห้องสมุดที่ทันสมัยและสวยงามแห่งหนึ่งของไทย ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเชิงสะพานพระรามแปดฝั่งพระนคร บนพื้นที่เดิมซึ่งเคยอยู่ติดกับวังบางขุนพรม ซึ่งก็คือห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ที่ตั้งอยู่ในศูนย์การเรียนรู้ของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยผมได้รับเกียรติจากคุณวรรณา วัฒนาศิริวิโรจน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้พาผมชมห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย และบรรยายให้ข้อมูลรายละเอียดประกอบการรีวิวในครั้งนี้
สำหรับเนื้อหาของรีวิวนี้จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.) เรื่องราวและความเป็นมาของห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ที่ผมเรียบเรียงมาจากบทสัมภาษณ์ คุณวรรณา วัฒนาศิริวิโรจน์ 2.) ภาพถ่ายภายในห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย และ 3.) คลิปวีดีโอพาชมห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ซึ่งผมอยากจะให้ทุกท่านได้รับชมทั้ง 3 ส่วนประกอบกัน เพื่อที่จะได้รู้จักกับห้องสมุดแห่งนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
(หมายเหตุ ... วันที่ผมเข้าไปทำการรีวิวและถ่ายทำคลิปวีดีโอนี้คือวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา และในบางช่วงบางตอนของรีวิวฉบับนี้ ผมขออนุญาตใช้คำว่า “แบงก์ชาติ” แทนคำว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทย” เพื่อความคล่องตัวในการเล่าเรื่องราวครับ)
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทยกันก่อน
วัตถุประสงค์ของการตั้งศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นมาก็คือ แบงก์ชาติต้องการยื่นมือเข้าไปให้ถึงคนทั่วไป และเพื่อให้คนทั่วไปเดินเข้ามาหาแบงก์ชาติ เพราะแบงก์ชาติทำงานในเชิงของนโยบายเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปก็จะไม่รู้ว่าแบงก์ชาติทำงานอะไรบ้าง คนทั่วไปอาจจะรู้แค่ว่า แบงก์ชาติมีหน้าที่พิมพ์ธนบัตรเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วหน้าที่สำคัญของแบงก์ชาติคือการทำนโยบายด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั่วไป และดูแลเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระดับประเทศที่มีผลเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก
ดังนั้นเป้าหมายของแบงก์ชาติคือการลงไปดูในเรื่องการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนทั่วไป เพราะว่าคนไทยมีปัญหาใหญ่คือเรื่องของสภาพหนี้ มีหนี้สินครัวเรือนสูงมาก และขาดวินัยทางการเงิน ดังนั้นแบงก์ชาติจึงเน้นให้ความรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น จึงสร้างศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ขึ้นมา เพื่อหวังให้ความรู้ทางด้านการเงินแก่ประชาชน ในขณะเดียวกันศูนย์การเรียนรู้ก็จะทำหน้าที่บอกเล่าให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบว่าแบงก์ชาติได้ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาบ้าง เหมือนเป็นการเปิดบ้านของแบงก์ชาติ โดยให้คนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชมว่าในบ้านแบงก์ชาติหลังนี้เขาทำอะไรกันบ้าง
วัตถุประสงค์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแบงก์ชาติที่มีอยู่ว่า “ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน”
สำหรับคำว่า “ยืนตรง” และ “มองไกล” มันค่อนข้างชัดเจนกับงานของแบงก์ชาติ เพราะแบงก์ชาติทำงานด้านนโยบายที่ต้องมีความเป็นกลาง ต้องมีความเป็นอิสระและไม่มีการโน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้นคำว่า “ยืนตรง มองไกล” จึงอยู่ในภาพที่คนทั่วไปสามารถเห็นและรับรู้ได้อยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเกิดศูนย์การเรียนรู้ฯ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนค่านิยมที่ว่า “ยื่นมือสู่ประชาชน” ซึ่งแปลว่าศูนย์การเรียนรู้ฯ นี้เป็นพื้นที่เปิด ที่ประชาชนทุกคนสามารถเดินเข้ามาได้ เดินเข้ามาเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ต่างๆ โดยแบงก์ชาติมีหน่วยงานที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ 3 หน่วยงานคือ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย และหอ ห้องค้นคว้าจดหมายเหตุของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสามหน่วยงานนี้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นจึงเกิดศูนย์การเรียนรู้ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนค่านิยมที่ว่า “ยื่นมือสู่ประชาชน” ซึ่งแปลว่าศูนย์การเรียนรู้นี้เป็นพื้นที่เปิด ที่ประชาชนทุกคนสามารถเดินเข้ามาได้ เดินเข้ามาเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ต่างๆ โดยแบงก์ชาติมีหน่วยงานที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ 3 หน่วยงานคือ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย , พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย และหอจดหมายเหตุของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสามหน่วยงานนี้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
นอกจากนั้นทางแบงก์ชาติยังมีการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประจำ โดยเป็นเนื้อหาที่เคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การเชิญผู้รู้หรือกูรูด้านต่างๆ มาพูดบรรยายให้ความรู้ หรือมีกิจกรรมเสวนาต่างๆ ดังนั้นคนทั่วไปที่เดินเข้ามาในศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะได้องค์ความรู้ใหม่ๆ กลับไปในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเป็นการแบ่งปันพื้นที่สาธารณะให้แก่ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาใช้งานด้วย
ความเป็นมาของห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
ห้องสมุดนี้ตั้งชื่อตามพระนามของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ผู้ผลักดันให้เกิดการก่อตั้ง “ธนาคารแห่งประเทศไทย” และ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการพระองค์แรก ผู้วางรากฐานการธนาคารกลางของไทย ผู้มีบทบาทที่สำคัญบนเส้นทางของการเป็นผู้ว่าการในภาวะสงครามที่ต้องต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยทางการเงินของประเทศ (ในช่วงสงครามโลกที่โดนญี่ปุ่นรุกเข้ามาแล้วญี่ปุ่นจะพิมพ์ธนบัตรใช้เอง) รวมทั้งต้องกอบกู้และฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ท่านทรงแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่สะท้อน “จิตวิญญาณ” ของการเป็น “นายธนาคารกลาง” ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของแผ่นดินที่ควรเผยแพร่ให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง
แต่เดิมแบงก์ชาติมีห้องสมุดมานานแล้ว แต่เป็นห้องสมุดที่ให้บริการเฉพาะภายในแก่พนักงานของแบงก์ชาติ รวมทั้งนักวิจัยและนักวิชาการต่างๆ ที่ร้องขอ เพราะทรัพยากรในห้องสมุดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเนื้อหาทางด้านเศรษฐกิจการเงิน และตัวเลขเศรษฐกิจที่แบงก์ชาติเป็นผู้จัดทำ ซึ่งในอดีตยังไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาใช้เป็นสาธารณะเช่นทุกวันนี้
จนกระทั่งมาถึงยุคของคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประมาณปี พ.ศ.2557) ได้ริเริ่มที่จะนำโรงพิมพ์ธนบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เชิงสะพานพระรามแปดเก่า ซึ่งโรงพิมพ์ธนบัตรใหม่ได้ย้ายไปตั้งที่พุทธมณฑลสาย 7 กว่า 10 ปีแล้ว ทางผู้บริหารของแบงก์ชาติจึงมีความเห็นว่าอยากจะใช้พื้นที่โรงพิมพ์เดิมนี้ทำอะไรสักอย่าง เพื่อเป็นการยื่นมือเข้าหาประชาชนตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จึงเป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทยในทุกวันนี้ โดยห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ที่เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดให้บริการวันแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2561
สำหรับการออกแบบในการดัดแปลงอาคารโรงพิมพ์ธนบัตรเดิมมาเป็นอาคารศูนย์การเรียนรู้นั้น มีแนวคิดสำคัญอยู่ 2 ประการคือ 1. การออกแบบให้คงโครงสร้างเดิมของอาคารโรงพิมพ์ธนบัตรเดิมเอาไว้ เพื่อเก็บไว้เป็นงานสถาปัตยกรรมทางด้านประวัติศาสตร์ โดยพยายามไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักเลย เก็บห้องมั่นคงเอาไว้ เก็บเพดานสูงเอาไว้ ฯลฯ 2. ออกแบบโดยตกแต่งภายในให้มีความทันสมัย ให้กลายเป็นห้องสมุดในยุคสมัยใหม่ (Modern Library) ที่มีความทันสมัย มีความโปร่งโล่ง และการใช้พื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย (Living Library) เช่น มีพื้นที่นั่งอ่าน มีห้องประชุม มีที่นั่งพักคุยกัน มีพื้นที่มัลติมีเดีย ฯลฯ
ส่วนบริการของห้องสมุดจะเน้นไปที่ความเป็นสมาร์ทไลบรารี่ (Smart Library) และเป็นดิจิทัลไลบรารี่ (Digital Library) ที่มีระบบ IT เข้ามาช่วย ปรับทรัพยากรของห้องสมุดที่เป็นลิขสิทธิ์ของแบงก์ชาติให้แปลงเป็นไฟล์ข้อมูลดิจิทัล เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบของทรัพยากรอิเล็กทรอนิค
สำหรับพื้นที่ให้บริการของห้องสมุดจะแบ่งเป็น 2 ชั้น คือชั้น 2 ของอาคาร ที่ขึ้นบันไดเข้ามาทางโถงด้านหน้าอาคาร จะเป็นพื้นที่ให้บริการสำหรับประชาชนทั่วไป (สำหรับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผู้ใช้บริการต้องแจ้งจองการใช้บริการล่วงหน้าเข้ามาที่เว็บไซต์ของศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
https://services.botlc.or.th/PhysicalDistancing ) ให้บริการหนังสือทั่วไปที่มีอยู่ประมาณ 20 % ส่วนพื้นที่ชั้น 3 ของอาคาร ที่ขึ้นบันไดวนมาจากชั้นล่างจะเป็นพื้นที่ให้บริการสำหรับ Academic area ที่ให้บริการสำหรับกลุ่มเป้าหมายอีก 2 กลุ่มคือนักวิจัยนักวิชาการและพนักงานของแบงก์ชาติ ทรัพยากรที่ให้บริการในส่วนนี้จะมีเนื้อหาเฉพาะด้าน ทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการธนาคาร ซึ่งมีสัดส่วนเป็น 80% ของทรัพยากรห้องสมุดทั้งหมด
ถ้าจะแยกประเภทของผู้มาใช้บริการที่ห้องสมุดแห่งนี้ จะแบ่งผู้ใช้บริการออกได้เป็น 4 กลุ่มคือ 1.)ประชาชนทั่วไป 2.) นักเรียนนักศึกษา 3.) นักวิจัยนักวิชาการ 4.) พนักงานของแบงก์ชาติ ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้ใช้ห้องสมุดด้วยพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ทรัพยากรก็ใช้แตกต่างกัน ดังนั้นทางห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยจึงแบ่งโซนตามกลุ่มเป้าหมายคือ ชั้น 2 ของอาคารที่เป็นชั้นล่างของห้องสมุดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปและนักเรียนนักศึกษาที่มาใช้บริการพื้นฐานของห้องสมุด ซึ่งจะใช้หนังสือที่มีเนื้อหาทั่วไปที่มีประมาณ 20% ของทรัพยากรห้องสมุด ส่วนชั้น 3 ของอาคารที่เป็นชั้นบนของห้องสมุดจะเป็นโซนสำหรับการวิจัยและค้นคว้า เน้นในบริการแก่นักวิจัยนักวิชาการที่ต้องการพื้นที่สำหรับการนั่งคิดงานต่างๆ โดยจะใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมกับการค้นคว้าทางวิชาการซึ่งมีอยู่ 80% ของทรัพยากรห้องสมุด และในชั้น 3 ของอาคารนี้ยังมีพื้นที่ให้บริการสำหรับสมาชิกของศูนย์การเรียนรู้ฯ เสียค่าสมาชิก 1,500 บาทต่อปี จะได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ยืมหนังสือห้องสมุดได้ , มาใช้บริการสำหรับพื้นที่สมาชิกได้ซึ่งทางห้องสมุดกันพื้นที่ไว้ 1 โซน , ใช้บริการทรัพยากร E-RESOURCES ของห้องสมุดได้ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ที่แบงก์ชาติจัดซื้อมา และใช้บริการห้องประชุมไอเดียบ็อกซ์ได้โดยเสียค่าบริการครึ่งราคา
ดังนั้นห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยจึงถือว่าเป็นทั้ง Special Library ที่ให้บริการทรัพยากรเฉพาะด้าน (เศรษฐกิจ การเงิน การธนาคาร) และเป็น Public Library ที่ให้บริการพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชนทั่วไป
คลิปวีดีโอพาชมห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
พาชมห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ในศูนย์การเรียนรู้ของธนาคารแห่งประเทศไทย
สำหรับเนื้อหาของรีวิวนี้จะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.) เรื่องราวและความเป็นมาของห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ที่ผมเรียบเรียงมาจากบทสัมภาษณ์ คุณวรรณา วัฒนาศิริวิโรจน์ 2.) ภาพถ่ายภายในห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย และ 3.) คลิปวีดีโอพาชมห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ซึ่งผมอยากจะให้ทุกท่านได้รับชมทั้ง 3 ส่วนประกอบกัน เพื่อที่จะได้รู้จักกับห้องสมุดแห่งนี้ให้ชัดเจนมากขึ้น
(หมายเหตุ ... วันที่ผมเข้าไปทำการรีวิวและถ่ายทำคลิปวีดีโอนี้คือวันที่ 2 ธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา และในบางช่วงบางตอนของรีวิวฉบับนี้ ผมขออนุญาตใช้คำว่า “แบงก์ชาติ” แทนคำว่า “ธนาคารแห่งประเทศไทย” เพื่อความคล่องตัวในการเล่าเรื่องราวครับ)
วัตถุประสงค์ของการตั้งศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทยขึ้นมาก็คือ แบงก์ชาติต้องการยื่นมือเข้าไปให้ถึงคนทั่วไป และเพื่อให้คนทั่วไปเดินเข้ามาหาแบงก์ชาติ เพราะแบงก์ชาติทำงานในเชิงของนโยบายเป็นหลัก ประชาชนทั่วไปก็จะไม่รู้ว่าแบงก์ชาติทำงานอะไรบ้าง คนทั่วไปอาจจะรู้แค่ว่า แบงก์ชาติมีหน้าที่พิมพ์ธนบัตรเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วหน้าที่สำคัญของแบงก์ชาติคือการทำนโยบายด้านการเงินที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั่วไป และดูแลเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจในระดับประเทศที่มีผลเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก
ดังนั้นเป้าหมายของแบงก์ชาติคือการลงไปดูในเรื่องการให้ความรู้ทางการเงินแก่ประชาชนทั่วไป เพราะว่าคนไทยมีปัญหาใหญ่คือเรื่องของสภาพหนี้ มีหนี้สินครัวเรือนสูงมาก และขาดวินัยทางการเงิน ดังนั้นแบงก์ชาติจึงเน้นให้ความรู้ในเรื่องนี้มากขึ้น จึงสร้างศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ขึ้นมา เพื่อหวังให้ความรู้ทางด้านการเงินแก่ประชาชน ในขณะเดียวกันศูนย์การเรียนรู้ก็จะทำหน้าที่บอกเล่าให้ประชาชนทั่วไปได้ทราบว่าแบงก์ชาติได้ทำอะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาบ้าง เหมือนเป็นการเปิดบ้านของแบงก์ชาติ โดยให้คนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมชมว่าในบ้านแบงก์ชาติหลังนี้เขาทำอะไรกันบ้าง
วัตถุประสงค์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของแบงก์ชาติที่มีอยู่ว่า “ยืนตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน”
สำหรับคำว่า “ยืนตรง” และ “มองไกล” มันค่อนข้างชัดเจนกับงานของแบงก์ชาติ เพราะแบงก์ชาติทำงานด้านนโยบายที่ต้องมีความเป็นกลาง ต้องมีความเป็นอิสระและไม่มีการโน้มเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้นคำว่า “ยืนตรง มองไกล” จึงอยู่ในภาพที่คนทั่วไปสามารถเห็นและรับรู้ได้อยู่แล้ว
ดังนั้นจึงเกิดศูนย์การเรียนรู้ฯ ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนค่านิยมที่ว่า “ยื่นมือสู่ประชาชน” ซึ่งแปลว่าศูนย์การเรียนรู้ฯ นี้เป็นพื้นที่เปิด ที่ประชาชนทุกคนสามารถเดินเข้ามาได้ เดินเข้ามาเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ต่างๆ โดยแบงก์ชาติมีหน่วยงานที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ 3 หน่วยงานคือ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย และหอ ห้องค้นคว้าจดหมายเหตุของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสามหน่วยงานนี้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้นจึงเกิดศูนย์การเรียนรู้ขึ้นมาเพื่อสนับสนุนค่านิยมที่ว่า “ยื่นมือสู่ประชาชน” ซึ่งแปลว่าศูนย์การเรียนรู้นี้เป็นพื้นที่เปิด ที่ประชาชนทุกคนสามารถเดินเข้ามาได้ เดินเข้ามาเพื่อแสวงหาองค์ความรู้ต่างๆ โดยแบงก์ชาติมีหน่วยงานที่อยู่ในศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ 3 หน่วยงานคือ ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย , พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย และหอจดหมายเหตุของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งทั้งสามหน่วยงานนี้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้
นอกจากนั้นทางแบงก์ชาติยังมีการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นประจำ โดยเป็นเนื้อหาที่เคลื่อนไหวไปตามสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การเชิญผู้รู้หรือกูรูด้านต่างๆ มาพูดบรรยายให้ความรู้ หรือมีกิจกรรมเสวนาต่างๆ ดังนั้นคนทั่วไปที่เดินเข้ามาในศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้จะได้องค์ความรู้ใหม่ๆ กลับไปในรูปแบบต่างๆ รวมทั้งเป็นการแบ่งปันพื้นที่สาธารณะให้แก่ประชาชนทั่วไปได้เข้ามาใช้งานด้วย
ห้องสมุดนี้ตั้งชื่อตามพระนามของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ผู้ผลักดันให้เกิดการก่อตั้ง “ธนาคารแห่งประเทศไทย” และ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการพระองค์แรก ผู้วางรากฐานการธนาคารกลางของไทย ผู้มีบทบาทที่สำคัญบนเส้นทางของการเป็นผู้ว่าการในภาวะสงครามที่ต้องต่อสู้เพื่อรักษาอธิปไตยทางการเงินของประเทศ (ในช่วงสงครามโลกที่โดนญี่ปุ่นรุกเข้ามาแล้วญี่ปุ่นจะพิมพ์ธนบัตรใช้เอง) รวมทั้งต้องกอบกู้และฟื้นฟูเศรษฐกิจในช่วงหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 ท่านทรงแสดงให้เห็นถึงการตัดสินใจที่สะท้อน “จิตวิญญาณ” ของการเป็น “นายธนาคารกลาง” ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งความภูมิใจของแผ่นดินที่ควรเผยแพร่ให้เป็นแบบอย่างแก่อนุชนรุ่นหลัง
แต่เดิมแบงก์ชาติมีห้องสมุดมานานแล้ว แต่เป็นห้องสมุดที่ให้บริการเฉพาะภายในแก่พนักงานของแบงก์ชาติ รวมทั้งนักวิจัยและนักวิชาการต่างๆ ที่ร้องขอ เพราะทรัพยากรในห้องสมุดกว่า 80 เปอร์เซ็นต์เป็นเนื้อหาทางด้านเศรษฐกิจการเงิน และตัวเลขเศรษฐกิจที่แบงก์ชาติเป็นผู้จัดทำ ซึ่งในอดีตยังไม่ได้เปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้ามาใช้เป็นสาธารณะเช่นทุกวันนี้
จนกระทั่งมาถึงยุคของคุณประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ประมาณปี พ.ศ.2557) ได้ริเริ่มที่จะนำโรงพิมพ์ธนบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทยที่เชิงสะพานพระรามแปดเก่า ซึ่งโรงพิมพ์ธนบัตรใหม่ได้ย้ายไปตั้งที่พุทธมณฑลสาย 7 กว่า 10 ปีแล้ว ทางผู้บริหารของแบงก์ชาติจึงมีความเห็นว่าอยากจะใช้พื้นที่โรงพิมพ์เดิมนี้ทำอะไรสักอย่าง เพื่อเป็นการยื่นมือเข้าหาประชาชนตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น จึงเป็นที่มาของศูนย์การเรียนรู้ ธนาคารแห่งประเทศไทยในทุกวันนี้ โดยห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ที่เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทยเปิดให้บริการวันแรกเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2561
สำหรับการออกแบบในการดัดแปลงอาคารโรงพิมพ์ธนบัตรเดิมมาเป็นอาคารศูนย์การเรียนรู้นั้น มีแนวคิดสำคัญอยู่ 2 ประการคือ 1. การออกแบบให้คงโครงสร้างเดิมของอาคารโรงพิมพ์ธนบัตรเดิมเอาไว้ เพื่อเก็บไว้เป็นงานสถาปัตยกรรมทางด้านประวัติศาสตร์ โดยพยายามไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหลักเลย เก็บห้องมั่นคงเอาไว้ เก็บเพดานสูงเอาไว้ ฯลฯ 2. ออกแบบโดยตกแต่งภายในให้มีความทันสมัย ให้กลายเป็นห้องสมุดในยุคสมัยใหม่ (Modern Library) ที่มีความทันสมัย มีความโปร่งโล่ง และการใช้พื้นที่โดยมีวัตถุประสงค์ที่หลากหลาย (Living Library) เช่น มีพื้นที่นั่งอ่าน มีห้องประชุม มีที่นั่งพักคุยกัน มีพื้นที่มัลติมีเดีย ฯลฯ
ส่วนบริการของห้องสมุดจะเน้นไปที่ความเป็นสมาร์ทไลบรารี่ (Smart Library) และเป็นดิจิทัลไลบรารี่ (Digital Library) ที่มีระบบ IT เข้ามาช่วย ปรับทรัพยากรของห้องสมุดที่เป็นลิขสิทธิ์ของแบงก์ชาติให้แปลงเป็นไฟล์ข้อมูลดิจิทัล เพื่อความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ในรูปแบบของทรัพยากรอิเล็กทรอนิค
สำหรับพื้นที่ให้บริการของห้องสมุดจะแบ่งเป็น 2 ชั้น คือชั้น 2 ของอาคาร ที่ขึ้นบันไดเข้ามาทางโถงด้านหน้าอาคาร จะเป็นพื้นที่ให้บริการสำหรับประชาชนทั่วไป (สำหรับในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ผู้ใช้บริการต้องแจ้งจองการใช้บริการล่วงหน้าเข้ามาที่เว็บไซต์ของศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย https://services.botlc.or.th/PhysicalDistancing ) ให้บริการหนังสือทั่วไปที่มีอยู่ประมาณ 20 % ส่วนพื้นที่ชั้น 3 ของอาคาร ที่ขึ้นบันไดวนมาจากชั้นล่างจะเป็นพื้นที่ให้บริการสำหรับ Academic area ที่ให้บริการสำหรับกลุ่มเป้าหมายอีก 2 กลุ่มคือนักวิจัยนักวิชาการและพนักงานของแบงก์ชาติ ทรัพยากรที่ให้บริการในส่วนนี้จะมีเนื้อหาเฉพาะด้าน ทางด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน และการธนาคาร ซึ่งมีสัดส่วนเป็น 80% ของทรัพยากรห้องสมุดทั้งหมด
ถ้าจะแยกประเภทของผู้มาใช้บริการที่ห้องสมุดแห่งนี้ จะแบ่งผู้ใช้บริการออกได้เป็น 4 กลุ่มคือ 1.)ประชาชนทั่วไป 2.) นักเรียนนักศึกษา 3.) นักวิจัยนักวิชาการ 4.) พนักงานของแบงก์ชาติ ซึ่งทั้ง 4 กลุ่มนี้ใช้ห้องสมุดด้วยพฤติกรรมที่แตกต่างกัน ทรัพยากรก็ใช้แตกต่างกัน ดังนั้นทางห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยจึงแบ่งโซนตามกลุ่มเป้าหมายคือ ชั้น 2 ของอาคารที่เป็นชั้นล่างของห้องสมุดให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปและนักเรียนนักศึกษาที่มาใช้บริการพื้นฐานของห้องสมุด ซึ่งจะใช้หนังสือที่มีเนื้อหาทั่วไปที่มีประมาณ 20% ของทรัพยากรห้องสมุด ส่วนชั้น 3 ของอาคารที่เป็นชั้นบนของห้องสมุดจะเป็นโซนสำหรับการวิจัยและค้นคว้า เน้นในบริการแก่นักวิจัยนักวิชาการที่ต้องการพื้นที่สำหรับการนั่งคิดงานต่างๆ โดยจะใช้ทรัพยากรที่เหมาะสมกับการค้นคว้าทางวิชาการซึ่งมีอยู่ 80% ของทรัพยากรห้องสมุด และในชั้น 3 ของอาคารนี้ยังมีพื้นที่ให้บริการสำหรับสมาชิกของศูนย์การเรียนรู้ฯ เสียค่าสมาชิก 1,500 บาทต่อปี จะได้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น ยืมหนังสือห้องสมุดได้ , มาใช้บริการสำหรับพื้นที่สมาชิกได้ซึ่งทางห้องสมุดกันพื้นที่ไว้ 1 โซน , ใช้บริการทรัพยากร E-RESOURCES ของห้องสมุดได้ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ที่แบงก์ชาติจัดซื้อมา และใช้บริการห้องประชุมไอเดียบ็อกซ์ได้โดยเสียค่าบริการครึ่งราคา
ดังนั้นห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชยจึงถือว่าเป็นทั้ง Special Library ที่ให้บริการทรัพยากรเฉพาะด้าน (เศรษฐกิจ การเงิน การธนาคาร) และเป็น Public Library ที่ให้บริการพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชนทั่วไป