สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
- หลักใหญ่ก็คือใช้พระเดชพระคุณในเรื่องที่ควรใช้ต่อลูกน้อง เช่น บางกรณีถ้าลูกน้องหย่อนยานเกินไปแล้วจะเสียงาน ก็ให้ใช้พระเดช(อย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผล แต่ก็ไม่ควรมุ่งด่าว่าหรือระบายอารมณ์ใส่เขา แม้ลูกน้องอาจรับได้ทนได้ก็ตาม) กรณีถ้าลูกน้องกำลังทุกข์ตึงเครียดในงาน ก็ให้ใช้พระคุณ(เช่น ทาน,ปิยวาจา,อัตถจริยา จัดไปเลยตามสมควร)
- นอกจากนี้ก็ให้มีหลักของท่านเติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า แมวจะสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ นั่นคือให้เราประเมินที่ผลงานของลูกน้องเป็นสำคัญ อย่าไปประเมินหรือจู้จี้อยู่กับรายละเอียดวิธีการทำงานของลูกน้องจนเขาไม่มีอิสระและเครียดกดดันในการทำงาน นอกเสียจากว่าวิธีการทำงานของลูกน้องนั้นทำให้ผลงานแย่ชัดเจน ก็ให้เขาเปลี่ยนแปลงและสอนแนะเขาตามสมควร
- มีหลักมนุษยสัมพันธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเราปฏิบัติโดยเกรงใจลูกน้อง ผลคือลูกน้องมักจะยิ่งเกรงใจเรา(อาจไม่ทุกคน) แต่ก็ให้ปฏิบัติแต่พอดี ไม่แข็งกร้าวกับลูกน้องเกินควร และไม่เกรงใจต่อลูกน้องจนเวอร์หรือเขาขำเอา
- หลักสำคัญอีกอย่างที่ใคร่ฝากไว้คือ ให้วางตัวเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น บางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นนายเขา แต่บางสถานการณ์ก็ควรวางตัวเป็นเพื่อนกับเขา หรือบางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นลูกศิษย์เขา(เพื่อเรียนรู้งาน) บางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นที่พึ่งแก่เขาและครอบครัวของเขา และบางสถานการณ์เราก็ควรวางตัวเป็นฝ่ายที่ขอพึ่งพิงเขา (พึ่งพาอาศัยกัน) ฯลฯ
ฯลฯ
- นอกจากนี้ก็ให้มีหลักของท่านเติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า แมวจะสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ นั่นคือให้เราประเมินที่ผลงานของลูกน้องเป็นสำคัญ อย่าไปประเมินหรือจู้จี้อยู่กับรายละเอียดวิธีการทำงานของลูกน้องจนเขาไม่มีอิสระและเครียดกดดันในการทำงาน นอกเสียจากว่าวิธีการทำงานของลูกน้องนั้นทำให้ผลงานแย่ชัดเจน ก็ให้เขาเปลี่ยนแปลงและสอนแนะเขาตามสมควร
- มีหลักมนุษยสัมพันธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเราปฏิบัติโดยเกรงใจลูกน้อง ผลคือลูกน้องมักจะยิ่งเกรงใจเรา(อาจไม่ทุกคน) แต่ก็ให้ปฏิบัติแต่พอดี ไม่แข็งกร้าวกับลูกน้องเกินควร และไม่เกรงใจต่อลูกน้องจนเวอร์หรือเขาขำเอา
- หลักสำคัญอีกอย่างที่ใคร่ฝากไว้คือ ให้วางตัวเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น บางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นนายเขา แต่บางสถานการณ์ก็ควรวางตัวเป็นเพื่อนกับเขา หรือบางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นลูกศิษย์เขา(เพื่อเรียนรู้งาน) บางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นที่พึ่งแก่เขาและครอบครัวของเขา และบางสถานการณ์เราก็ควรวางตัวเป็นฝ่ายที่ขอพึ่งพิงเขา (พึ่งพาอาศัยกัน) ฯลฯ
ฯลฯ
ความคิดเห็นที่ 6
เราก็เคยเป็นแบบจขกทค่ะ เพราะเราติดพูดเล่น กับพี่ๆพนักงานมากเกินไป พนักงานเลยไม่ค่อยเกรงเรา เราเลยลองเริ่มจากเรื่องพื้นฐานอย่างการสร้างภาพลักษณ์ในที่ทำงานก่อนค่ะ เริ่มจากการแต่งตัวที่ดูดี (จากปกติใส่สบายๆเพราะร้านคือที่เดียวกับบ้าน) เวลาตรวจงานก็ตรวจตามจริงค่ะ ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังค่ะ แต่ไม่ได้ด่านะคะ เมื่อมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับงานให้เก็บไว้ในใจ พยายามหาคำตอบเอง หรือถามจากพ่อแม่เป็นการส่วนตัวก่อน อย่าเอ่ยปากถามพนักงานทันที เพราะนั้นอาจจะทำให้พนักงานคิดว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากความนับถือจะน้อยลง อาจเป็นการชี้โพรงให้กระรอกตัวร้ายได้ค่ะ
จากนั้น เอาแบบง่ายๆเลยคือคอยสังเกต ว่าพ่อแม่เราปฏิบัติตัว หรือพูดอย่างไร กับพนักงาน แล้วเราค่อยๆเลียนแบบค่ะ
จากที่เราปฏิบัติตามนี้ พนักงานก็ดูจะเกรงใจเราขึ้นมากค่ะ
วิธีที่เราเสนอ เป็นแค่การเล่าสู่กันฟังของคนที่ไม่ได้เรียนทางด้านการบริหารมาโดยตรงนะคะ เรายังเป็นผู้อ่อนประสบการณ์อยู่มากเช่นกัน จับมือนะคะ สู้ๆค่ะ
จากนั้น เอาแบบง่ายๆเลยคือคอยสังเกต ว่าพ่อแม่เราปฏิบัติตัว หรือพูดอย่างไร กับพนักงาน แล้วเราค่อยๆเลียนแบบค่ะ
จากที่เราปฏิบัติตามนี้ พนักงานก็ดูจะเกรงใจเราขึ้นมากค่ะ
วิธีที่เราเสนอ เป็นแค่การเล่าสู่กันฟังของคนที่ไม่ได้เรียนทางด้านการบริหารมาโดยตรงนะคะ เรายังเป็นผู้อ่อนประสบการณ์อยู่มากเช่นกัน จับมือนะคะ สู้ๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
รับมือกับลูกน้องยังไง เมื่อเราเพิ่งเรียนจบแล้วกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน