รับมือกับลูกน้องยังไง เมื่อเราเพิ่งเรียนจบแล้วกลับมาช่วยธุรกิจที่บ้าน

สวัสดีครับ ผมเพิ่งเรียนจบ ป.ตรี ซึ่งตอนแรกวางแผนไว้ว่าจะไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ด้วยสถานการณ์โควิด เลยกลับมาช่วยงานที่บ้านก่อน สถานการณ์ดีขึ้นจึงค่อยตัดสินใจใหม่ ที่จริงแล้วผมก็เรียนรู้งานที่บ้านมาตลอดตั้งแต่เรียนมัธยม พอเรียนมหาลัยเวลากลับมาบ้านก็มาช่วยงานบ้าง บ้านผมทำธุรกิจเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ที่ต่างจังหวัด คนงานก็จะมีหมุนเวียน ก็จะมีออกไป และเข้ามาใหม่ ตลอด ตอนยังเรียนไม่จบ คนงานก็จะไม่ค่อยเกรงใจผม ผมก็คิดว่าไม่เป็นไร เดวเรียนจบกลับมาแล้วเขาคงจะเกรงใจเรามากขึ้น พอกลับมาช่วยงานแบบเต็มตัว ด้วยความที่ตอนเรียนมหาลัยผมเรียนค่อนข้างเก่ง จบเกียรตินิยม ได้รางวัลหลายอย่าง ได้ทำงานกับอาจารย์ เวลาทำงานกลุ่มหรือโปรเจคต่างๆผมก็ได้เป็นหัวหน้า วางแผนงาน แบ่งงานให้เพื่อน เป็นที่ปรึกษาหรือที่พึ่งของเพื่อนหลายๆครั้ง คิดว่าพอเรียนจบกลับมา คนงานน่าจะยอมรับมากขึ้น ด้วยวัยวุฒิที่มากขึ้นและผลงานของเรา แต่พอกลับมาจริงๆคนงานก็ปฏิบัติกับเราเหมือนเดิม ไม่ได้มีความเกรงใจอะไรขึ้นเลย หลายครั้งที่เราบอกว่าให้ลองทำแบบนี้ดู เขาก็ไม่ทำ คือแม่ผมบอกให้ผมดูแลร้านช่วย วางแผนว่าจะทำยังไงให้ร้านดีขึ้น เพราะ ร้านก็เป็นร้านของผมเหมือนกัน ผมก็มีสิทธิ์ที่จะทำในสิ่งที่คิดว่ามันจะดีต่อร้าน มีสิทธิ์บริหารร้านและคุมคนงานได้ แต่หลายๆครั้งเวลาผมไปบอกให้ทำอะไร เขาก็จะถามว่าแม่สั่งให้ทำหรอ หรือเวลาที่พ่อกับแม่ไม่อยู่แล้วผมอยู่ร้านคนเดียวกับคนงานเวลามีลูกค้ามาถามข้อมูล คนงานเขาก็พูดว่าเจ้าของร้านไม่อยู่ มีแต่น้องอยู่ เหมือนกับว่าผมไม่รู้อะไรเลยทั้งๆที่ผมช่วยงานมาตั้งแต่มัธยม ก่อนที่คนงานชุดนี้จะเข้ามาทำงานเสียอีก บางคนเวลาผมไปประกอบของหรือยกของ ผมทำเป็น เพราะช่วยมาตั้งแต่มัธยม แต่คนงานชุดนี้พึ่งเข้ามาตอนผมเรียนมหาลัยเขาก็จะไม่รู้ว่าผมทำเป็น เขาก็ชอบมาข่มผมเหมือนเขารู้มากกว่าผม ผมก็ไม่ได้รีแอคอะไร บางครั้งผมกำลังขายของให้ลูกค้าอยู่ กำลังแนะนำ คนงานก็จะชอบมายืนดูแล้วก็แย่งผมพูด ดึงความสนใจลูกค้าไปจากผม ทำเหมือนรู้ข้อมูลดีกว่าผม เขาไม่ค่อยเกรงใจผมเลย ผมไปปรึกษาแม่ แม่ผมบอกให้ผมหนักแน่นขึ้นเวลาสั่งงานหรือคุยกับคนงาน หรือ ถ้าเขาทำอะไรที่ผมไม่ชอบและมันไม่ถูก ก็ให้ตักเตือนเขาเลยว่าทำแบบนี้มันไม่ถูกนะ เพราะอีกหน่อยผมก็ต้องเป็นคนดูแลเป็นคนจ่ายค่าจ้างให้เขาเหมือนกัน แต่หลายครั้งพอเกิดเหตุการณ์จริงมันก็ยังไม่กล้าที่จะทำ ผมก็ไม่รู้ว่ามันติดอะไร ผมควรจัดการกับปัญหานี้ยังไงดีครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
-  หลักใหญ่ก็คือใช้พระเดชพระคุณในเรื่องที่ควรใช้ต่อลูกน้อง เช่น บางกรณีถ้าลูกน้องหย่อนยานเกินไปแล้วจะเสียงาน ก็ให้ใช้พระเดช(อย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผล แต่ก็ไม่ควรมุ่งด่าว่าหรือระบายอารมณ์ใส่เขา แม้ลูกน้องอาจรับได้ทนได้ก็ตาม)   กรณีถ้าลูกน้องกำลังทุกข์ตึงเครียดในงาน ก็ให้ใช้พระคุณ(เช่น ทาน,ปิยวาจา,อัตถจริยา จัดไปเลยตามสมควร)

-  นอกจากนี้ก็ให้มีหลักของท่านเติ้งเสี่ยวผิงที่ว่า แมวจะสีอะไรไม่สำคัญ ขอให้จับหนูได้ก็พอ  นั่นคือให้เราประเมินที่ผลงานของลูกน้องเป็นสำคัญ อย่าไปประเมินหรือจู้จี้อยู่กับรายละเอียดวิธีการทำงานของลูกน้องจนเขาไม่มีอิสระและเครียดกดดันในการทำงาน นอกเสียจากว่าวิธีการทำงานของลูกน้องนั้นทำให้ผลงานแย่ชัดเจน ก็ให้เขาเปลี่ยนแปลงและสอนแนะเขาตามสมควร

-  มีหลักมนุษยสัมพันธ์หนึ่งที่น่าสนใจคือ ถ้าเราปฏิบัติโดยเกรงใจลูกน้อง ผลคือลูกน้องมักจะยิ่งเกรงใจเรา(อาจไม่ทุกคน)  แต่ก็ให้ปฏิบัติแต่พอดี ไม่แข็งกร้าวกับลูกน้องเกินควร และไม่เกรงใจต่อลูกน้องจนเวอร์หรือเขาขำเอา

-  หลักสำคัญอีกอย่างที่ใคร่ฝากไว้คือ ให้วางตัวเหมาะสมกับสถานการณ์ เช่น บางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นนายเขา แต่บางสถานการณ์ก็ควรวางตัวเป็นเพื่อนกับเขา หรือบางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นลูกศิษย์เขา(เพื่อเรียนรู้งาน) บางสถานการณ์ควรวางตัวเป็นที่พึ่งแก่เขาและครอบครัวของเขา และบางสถานการณ์เราก็ควรวางตัวเป็นฝ่ายที่ขอพึ่งพิงเขา (พึ่งพาอาศัยกัน) ฯลฯ

ฯลฯ
ความคิดเห็นที่ 6
เราก็เคยเป็นแบบจขกทค่ะ เพราะเราติดพูดเล่น กับพี่ๆพนักงานมากเกินไป พนักงานเลยไม่ค่อยเกรงเรา เราเลยลองเริ่มจากเรื่องพื้นฐานอย่างการสร้างภาพลักษณ์ในที่ทำงานก่อนค่ะ เริ่มจากการแต่งตัวที่ดูดี (จากปกติใส่สบายๆเพราะร้านคือที่เดียวกับบ้าน) เวลาตรวจงานก็ตรวจตามจริงค่ะ ผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ด้วยน้ำเสียงที่จริงจังค่ะ แต่ไม่ได้ด่านะคะ เมื่อมีอะไรสงสัยเกี่ยวกับงานให้เก็บไว้ในใจ พยายามหาคำตอบเอง หรือถามจากพ่อแม่เป็นการส่วนตัวก่อน อย่าเอ่ยปากถามพนักงานทันที เพราะนั้นอาจจะทำให้พนักงานคิดว่าเราไม่รู้เรื่องอะไรเลย นอกจากความนับถือจะน้อยลง อาจเป็นการชี้โพรงให้กระรอกตัวร้ายได้ค่ะ
จากนั้น เอาแบบง่ายๆเลยคือคอยสังเกต ว่าพ่อแม่เราปฏิบัติตัว หรือพูดอย่างไร กับพนักงาน แล้วเราค่อยๆเลียนแบบค่ะ
จากที่เราปฏิบัติตามนี้ พนักงานก็ดูจะเกรงใจเราขึ้นมากค่ะ

วิธีที่เราเสนอ เป็นแค่การเล่าสู่กันฟังของคนที่ไม่ได้เรียนทางด้านการบริหารมาโดยตรงนะคะ เรายังเป็นผู้อ่อนประสบการณ์อยู่มากเช่นกัน จับมือนะคะ สู้ๆค่ะ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่