ส่องสถานการณ์สื่อ กับพิสิทธิ์ กิรติการกุล
จากปิดปาก-เซ็นเซอร์ ถึงการทำข่าวที่ไม่ควรเป็นข่าว?
เป็นหนึ่งคนที่ยังทำหน้าที่บนหน้าจออย่างต่อเนื่อง แม้ว่าวันนี้ หว่อง-พิสิทธิ์ กิรติการกุล จะไม่ได้เป็นพนักงานประจำที่ไหน
แต่ใครๆ ก็ยังจำเขาได้ ในการทำหน้าที่พิธีกรรายการดังทางช่อง 7 ที่วันนี้ผ่านมาเกือบ 20 ปี ก็ยังคงอยู่ยงคงกระพันกับสไตล์ที่หลายคนคุ้นเคย
หลายคนอาจจดจำ “หว่อง” ได้จากบทบาทการเป็นผู้สื่อข่าวต่างประเทศ
หรือการทำข่าวสัมภาษณ์นางงามจักรวาลของไทย มาถึงวันนี้วันที่วงการสื่อมวลชนเปลี่ยนไป
พิสิทธิ์ มองการแข่งกันด้านวิชาชีพ คือการนำเสนอข่าวการหาข่าว เป็นปกติอยู่แล้วที่ใครจะได้ข่าวก่อน ได้ข่าวที่คนที่สนใจ
ด้วยความที่ว่า สื่อปัจจุบันมีเยอะ ทีวีเกิดขึ้นเยอะมากทุกวันนี้ คนก็จะหันมาดูทางดิจิตอลมีเดีย ทางอิเล็กทรอนิกส์ ใช้มือถือเป็นส่วนมาก
แม้ว่า ทีวีจะยังครองตลาดอยู่ แต่ด้วยความที่สื่อเยอะ ก็ต้องมีการวางตำแหน่งแห่งที่ของเขา เพื่อให้ได้ลูกค้า
มันไม่เหมือนในอดีต ยุคที่เคยทำข่าว มันมีแค่ 3-4 ช่อง เสนอได้ทุกเรื่อง ให้คนดูพิจารณาเอา
ขณะที่ธรรมชาติของการดูโทรทัศน์แต่ก่อน ส่วนมากคนจะแช่ช่อง แต่ในปัจจุบัน มีหลายสิบช่อง หากนำเสนอข่าวเหมือนกันหมด ไม่แตกต่าง
เขาบอกว่า ฉันดูช่อง 7 มันก็เหมือนกับช่อง 1 ช่อง 2
หลักยุทธศาสตร์ของแต่ละช่องก็ต้องคิดว่า จะเอาอะไรไปสู้คนอื่น เพราะฉะนั้น ต้องหาประเด็นใหม่
อะไรที่ช่องหนึ่งไม่เล่น เราก็เล่น หาวิธีกระพือข่าวทำให้ข่าวเล็กๆ กลายเป็นเรื่องที่พูดกัน อย่างที่เราเห็น กรณีลุงพล กรณีลัลลาเบล
ถ้าเป็นเมื่อก่อน คนจะโฟกัสเฉพาะเรื่องสำคัญๆ อย่างเช่น สึนามิ เขื่อนแตก ข่าวคุณปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ได้นางงามจักรวาล คือทำข่าวยิ่งใหญ่ชัดเจนไปเลย
แต่ เดี๋ยวนี้ไม่ บางเรื่องแค่คนธรรมดาสองคนก็เป็นเรื่องที่ใหญ่ขึ้นมาได้ ซึ่งก็ไม่ผิด
ในที่สุด คนดูก็จะตัดสินเองว่าเขาดูไปแล้วได้อะไร
คนก็ต้องตั้งคำถามว่าดูแล้วได้อะไร?
พิสิทธิ์บอกอีกว่า หากจะแบ่งกันการดูข่าว มี 3 ประเภท คือ
1. จำเป็นต้องดู เช่น ข่าวการขึ้นภาษี/แจกเงิน ต้องดูเพราะมันเกี่ยวข้องประชาชนโดยตรง
ประเภทที่ 2 คือ จะดูก็ได้ ไม่ดูก็ได้ อย่างเช่น ข่าวอาชญากรรม ประกวดนางงาม ข่าวต่างประเทศ
ประเภทที่ 3 คือ เรื่องที่อยากดูเฉพาะ
เข้าใจว่า เดี๋ยวนี้คนก็พยายามจะไปหาประเด็น เช่น เรื่องชู้สาว เรื่องแปลกๆ ก็เป็นธรรมชาติของสื่อที่จะต้องแข่งขันกัน
แต่ว่าปัจจุบัน มันเกิดอีกประเด็นหนึ่ง ก็คือคนที่อยู่ในสื่อ ไปทำธุรกิจด้วย มันคาบเกี่ยวกับเรื่องจรรยาบรรณแล้ว
ว่าคุณ ใช้ชื่อเสียงของคุณ ไปมีโอกาสเป็นที่รู้จักของผู้คน สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคนทั่วไป แล้วมาหาผลประโยชน์
ถ้าเป็นธุรกิจธรรมดาทั่วไป เช่น เปิดร้านอาหาร ก็คิดว่าคงไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
แต่ หากใช้ชื่อเสียงของตนเองไปโฆษณาโอ้อวด ไปรีวิวสินค้าของตัวเองเกินความเป็นจริง ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ
ส่วน สถานการณ์สื่อในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่อง “การปิดปากสื่อมวลชน”
หว่องมองว่า คือ “เรื่องจริง” และเป็นมาตลอด ในสหรัฐก็เป็น สื่อที่สนับสนุนโจ ไบเดน – โดนัลด์ ทรัมป์ ก็จะโดนโจมตีตลอด
ของเราก็เหมือนกัน ผมมองว่าหนังสือพิมพ์ได้เปรียบกว่าทีวี เพราะเป็นเอกชนชัดเจน คนก็มีความเชื่อถือหนังสือพิมพ์มาอย่างยาวนาน
ในยุคผม หนังสือพิมพ์สามารถเปลี่ยนรัฐมนตรีได้ ทีวีเปลี่ยนไม่ได้นะครับ อย่างมากทีวีก็เสนอตามหนังสือพิมพ์นั่นแหละ
แต่ ทีวีไม่สามารถกำหนดอเจนด้าได้ ยังไปไม่ถึง เพราะทีวีถูกจัดสรรโดยรัฐ การกระจายเสียง กระจายภาพ เมื่อก่อนก็คุมโดยหน่วยงานราชการ
ช่อง 5 กับ 7 ก็โดยกองทัพบก แล้วก็ มีกรมประชาสัมพันธ์ มันอยู่ในสายงานราชการต้องไปประมูลเขามา
ที่สำคัญ คนทำทีวีที่ผ่านมา ไม่ได้มาจากสายสื่อมวลชนโดยตรง ผู้บริหารเขาจึงสามารถปิดปากทางทีวีได้ง่ายๆ
ช่องสามารถสั่งบังคับหยุดเล่นได้ เอารถทหารมาจอดหน้าสถานี หรือมีทหาร หรือส่งคนเข้ามาในห้องส่งห้องประชุม
ก็ขอดูข่าวแล้วคุณจะทำอย่างไร?
บางครั้งบอร์ดก็ต้องเข้าประชุมกับกองทัพบก ร่วมประชุมกับทหารต้องรับนโยบายเข้ามา
บางที ไม่มีข่าวอะไรจะเล่น สถานการณ์บ้านเมืองมันบังคับ
อย่างเกิดรัฐประหารยึดอำนาจขึ้นมา ทหารก็มาคุมเลย ว่าควรเสนอข่าวอย่างไร หรือไม่ก็ออกเป็นกฎระเบียบออกมาว่า เรื่องนี้ห้ามเสนอ
ผมเองก็เห็นว่าทุกวันนี้ ข่าวจากทางราชการก็ดูแล้วเหมือนกันหมด คุณแทบไม่ต้องมาทำข่าวเลย เขาจัดสรรทำให้คุณแล้ว
ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน เขาไม่กล้าเข้ามายุ่งขนาดนี้ ปัจจุบันเห็นว่า เขาจะเข้ามายุ่งเยอะพอสมควร
สามารถกำหนดวาระต่างๆ กับโทรทัศน์ค่อนข้างจะเข้มงวด ในการคุมทัศนคติประชาชนที่มีต่อรัฐบาล เขาต้องการที่จะต้องปิดปากสื่อมวลชน
An illustration photo taken on January 25, 2021 shows the application Clubhouse on a smartphone in Berlin,
after Thuringia’s state premier Bodo Ramelow admitted on the chat app to playing Candy Crush on his phone during online pandemic response meetings with German Chancellor Angela Merkel. – Bodo Ramelow,
head of the eastern Thuringia state, made the confession during what he thought was a closed meeting on the invitation-only audio chatroom app Clubhouse at the weekend. (Photo by Odd ANDERSEN / AFP)
แต่ทุกวันนี้ พอมีโซเชียลมีเดีย สังคมกำหนดวาระแทนสื่อมวลชนแล้ว
ก็เกิดปฏิบัติการไอโอขึ้นมา เขาก็สร้างคนของเขาขึ้นมาเพื่อทำสื่อมาสู้กัน แล้วก็มีแนวร่วมที่พร้อมจะทำงานแนวเดียวกัน
ถามว่า รัฐไทยเขาจะทำแบบพม่า ตัดอินเตอร์เน็ตไหม ผมคิดว่าถ้าเขาจะทำ ก็ทำได้เหมือนกัน
ดังจะเห็นความพยายามใช้กฎหมายต่างๆ จัดการกับพวกในออนไลน์อยู่ เขาต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่จะเก็บเสียงที่ต่อต้านเขา
มองมาที่คนทำสื่อในปัจจุบัน เนื่องจากมีสื่อหลายแขนง มีเนื้อหาหลากหลาย นำเสนอหลายรูปแบบ
หว่องเห็นว่า สื่อยุคใหม่ผมคิดว่าเขากล้าถามมากกว่ารุ่นพี่เขาอีก จนมีการชี้หน้าถามจากผู้มีอำนาจว่ามาจากช่องไหนก็ไม่พอใจ
ซึ่งผมคิดว่าพวกเขาทำถูกแล้วนะ พวกคุณเป็นสื่อมวลชน ต้องทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างประชาชนกับรัฐบาล หรือประชาชนกับใครก็แล้วแต่
พูดง่ายๆ เวลาไปทำข่าวรัฐบาล คุณไม่ได้มีหน้าที่ ไปเป็นกระบอกเสียงให้กับรัฐบาลนะ รัฐเขามีของเขาอยู่แล้ว
ถ้าคุณยังจะไปผสมโรงกับทางรัฐบาลด้วย ผมคิดว่าคนเขาจะไม่ดูนะ
โดยหลักการแล้ว สื่อจะอยู่ข้างรัฐบาลทำไม รัฐบาลเขามีเครื่องไม้เครื่องมือเขาอยู่แล้ว หน้าที่คุณควรจะต้องเป็นคนสะท้อนว่าทำอะไรไม่ดี
ซึ่งส่วนใหญ่สิ่งที่รัฐบาลทำมักพูดไม่หมด เครื่องมือทางอำนาจทุกอย่างเขามีอยู่ในมือทั้งหมด คุณจะไปร่วมมือกับเขาทำไม
ต้องไปทำหน้าที่ตรวจสอบ นำเสนอให้กับประชาชน ควรจะต้องสอดส่องติดตาม ตรวจสอบรัฐบาล นี่คือหน้าที่ของคุณ
ที่สำคัญ หากถามว่าสื่อต้องยืนอยู่ตรงไหน ซ้าย กลาง ขวา
คำตอบคือ สื่อควรจะต้องยืนอยู่เคียงข้างคนที่อ่อนแอ
รัฐบาลเขามีทั้งกำลังคน กำลังอาวุธยุทโธปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือ อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีอะไรเลย
ฉะนั้น จะต้องยืนข้างประชาชน ว่าเขาถูกกระทำอย่างไร
สุดท้าย พิสิทธิ์มองว่า รัฐประหารในประเทศไทยเราจะยังคงอยู่ในวังวนเดิมๆ เพราะว่าทหารเขาคิดว่าตัวเองเป็นผู้ปกครอง
ไม่มีเหตุเขาก็หาเหตุผลมารองรับการทำตัวเองเสมอ เขาพยายามตะแบงแบบที่ผ่านมา สร้างเหตุผลอย่างที่เราเห็นๆ กัน
โอกาสที่จะเกิดรัฐประหารกับบ้านเราเองจึงมีตลอด เพียงแต่ว่าจะช้าจะเร็วเท่านั้น เขาไม่เคยละอายเรื่องพวกนี้
🔎 ส่องสถานการณ์สื่อ กับพิสิทธิ์ กิรติการกุล
จากปิดปาก-เซ็นเซอร์ ถึงการทำข่าวที่ไม่ควรเป็นข่าว?
หลักยุทธศาสตร์ของแต่ละช่องก็ต้องคิดว่า จะเอาอะไรไปสู้คนอื่น เพราะฉะนั้น ต้องหาประเด็นใหม่