ก่อนอื่นหมอยุ้ยอยากให้ทุกคน ได้ทำความรู้จักกับ
นิยามของ ผิวแห้ง vs ผิวขาดน้ำ กันก่อนนะคะ
ผิวแห้ง :
อาการ รู้สึกผิวแห้งตึง แห้งลอกเป็นขุยๆ ตลอดเวลา
สิ่งที่ตามมา
- เห็นริ้วรอย(ลายผิว) ที่ชัดเจน (ผิวดูเหี่ยวย่น)
- รูขุมขนดูกว้างเห็นชัดขึ้น
- ทาครีมแล้วแสบ อาจจะมีอาการผิวหน้าร้อนผ่าวๆ แต่สักพักจะดีขึ้น (เกิดจากส่วนผสมบางอย่างในสกินแคร์ทำปฎิกิริยากับผิว)
- ผิวระคายเคืองง่ายมาก (ผิวแห้ง แดง แสบ ลอก คันยุบยิบ) ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้สกินแคร์หรือยาทาบางอย่าง เช่น AHA, BHA, Topical vitamin C, ยาทารักษาสิว ยารักษาฝ้า
- อาจจะรู้สึกว่าแพ้ง่ายขึ้น ส่วนนึงอาจจะไม่ใช่การแพ้จริงๆ แต่เป็นอาการระคายเคืองมากกว่า แต่การที่ผิวแห้งมาก โดยเฉพาะการสูญเสียเกราะชั้นผิว/กำแพงผิว (skin barrier) ก็ย่อมเพิ่มโอกาสแพ้ที่มากขึ้น จากการที่สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ชั้นผิวได้ง่ายขึ้น
- แต่งหน้าไม่ติด ไม่มั่นใจ มีผื่นง่ายขึ้น เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema), ผื่นภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)
ผิวขาดน้ำ
อาการ : คล้ายๆกับผิวแห้ง แต่หลายคนจะสับสนว่าตัวเองมีผิวผสมหรือผิวมัน แต่จริงๆแล้วเป็นลักษณะของผิวขาดน้ำ
วิธีสังเกตง่ายๆ
ถ้าหลังจากล้างหน้าจะรู้สึกว่าผิวมีความแห้งตึง แต่ระหว่างวันมันจะรู้สึกว่าหน้ามัน สลับกับบางครั้งก็ผิวแห้ง อันนี้เป็นอาการของผิวขาดน้ำ
สิ่งที่ตามมา จะคล้ายๆคนที่มีผิวแห้ง เช่นกัน
- ถ้าหากเลือกสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ไม่เหมาะสม จะยิ่งทำให้ผิวขาดน้ำและแห้งมากขึ้น
วิธีที่ช่วยเปลี่ยนผิวแห้ง/ผิวขาดน้ำ >> ให้กลับมาชุ่มชื้น
1. ดื่มน้ำเปล่า วันละ 2-3 ลิตร (ถ้าไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำ เช่น โรคหัวใจ โรคไต)
2. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ไม่อุ่น ไม่ร้อน เกินไป และไม่ล้างหน้าบ่อยกว่าวันละ 2 ครั้ง
3. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว คือ pH 5-5.5/ pH balance สังเกตว่าล้างหน้าเสร็จแล้ว ผิวยังคงนุ่มลื่น ไม่ตึงเอี๊ยด
4. เช็ดผิวเบาๆ
5. เลือกทา Moisturizer แบบเนื้อครีม ถ้ามีส่วนผสมที่เติมเข้าไปเพื่อช่วยลดอาการอักเสบของผิว เช่น สูตรสำหรับผิวแห้ง ระคายเคือง หรือ ผิวบอบบาง
6. ทาครีมหลังล้างหน้าภายใน 3 นาที
7. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
8. ถ้าผิวลอกหรือแห้งจนแตกเป็นขุย ควรเลือก Moisturizer ชนิด occlusive เสริมชั้นผิว เช่น มี dimethicone, petrolatum, oil
9. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสกินแคร์หรือเครื่องสำอางบ่อยๆ เพราะเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือการแพ้
10. รับประทานผักผลไม้สดที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวสุขภาพดีขึ้น
11. ทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดดและมลภาวะต่างๆ
12. ถ้าทำทุกวิธีแล้ว หรือมีผื่นเยอะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อตรวจผิว ให้คำแนะนำการดูแลผิว และแนะนำวิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของคนๆนั้นเพิ่มเติม ไม่ควรซื้อยาทาเอง หลายคนซื้อยาทาสเตียรอยด์ที่แรงมากๆ มาทา หรือทาต่อเนื่องนานเกินจำเป็น ทำให้เกิดผิวด่าง หรือผิวแตก สิวขึ้น หรือผิวติดสเตียรอยด์
หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเจอปัญหาผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำกันนะคะ
Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว ✨
How to เปลี่ยนผิวแห้ง/ผิวขาดน้ำ ให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง 💦💦
ก่อนอื่นหมอยุ้ยอยากให้ทุกคน ได้ทำความรู้จักกับ
นิยามของ ผิวแห้ง vs ผิวขาดน้ำ กันก่อนนะคะ
ผิวแห้ง :
อาการ รู้สึกผิวแห้งตึง แห้งลอกเป็นขุยๆ ตลอดเวลา
สิ่งที่ตามมา
- เห็นริ้วรอย(ลายผิว) ที่ชัดเจน (ผิวดูเหี่ยวย่น)
- รูขุมขนดูกว้างเห็นชัดขึ้น
- ทาครีมแล้วแสบ อาจจะมีอาการผิวหน้าร้อนผ่าวๆ แต่สักพักจะดีขึ้น (เกิดจากส่วนผสมบางอย่างในสกินแคร์ทำปฎิกิริยากับผิว)
- ผิวระคายเคืองง่ายมาก (ผิวแห้ง แดง แสบ ลอก คันยุบยิบ) ทำให้มีข้อจำกัดในการใช้สกินแคร์หรือยาทาบางอย่าง เช่น AHA, BHA, Topical vitamin C, ยาทารักษาสิว ยารักษาฝ้า
- อาจจะรู้สึกว่าแพ้ง่ายขึ้น ส่วนนึงอาจจะไม่ใช่การแพ้จริงๆ แต่เป็นอาการระคายเคืองมากกว่า แต่การที่ผิวแห้งมาก โดยเฉพาะการสูญเสียเกราะชั้นผิว/กำแพงผิว (skin barrier) ก็ย่อมเพิ่มโอกาสแพ้ที่มากขึ้น จากการที่สารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ชั้นผิวได้ง่ายขึ้น
- แต่งหน้าไม่ติด ไม่มั่นใจ มีผื่นง่ายขึ้น เช่น ผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema), ผื่นภูมิแพ้ (Atopic dermatitis)
ผิวขาดน้ำ
อาการ : คล้ายๆกับผิวแห้ง แต่หลายคนจะสับสนว่าตัวเองมีผิวผสมหรือผิวมัน แต่จริงๆแล้วเป็นลักษณะของผิวขาดน้ำ
วิธีสังเกตง่ายๆ
ถ้าหลังจากล้างหน้าจะรู้สึกว่าผิวมีความแห้งตึง แต่ระหว่างวันมันจะรู้สึกว่าหน้ามัน สลับกับบางครั้งก็ผิวแห้ง อันนี้เป็นอาการของผิวขาดน้ำ
สิ่งที่ตามมา จะคล้ายๆคนที่มีผิวแห้ง เช่นกัน
- ถ้าหากเลือกสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่ไม่เหมาะสม จะยิ่งทำให้ผิวขาดน้ำและแห้งมากขึ้น
วิธีที่ช่วยเปลี่ยนผิวแห้ง/ผิวขาดน้ำ >> ให้กลับมาชุ่มชื้น
1. ดื่มน้ำเปล่า วันละ 2-3 ลิตร (ถ้าไม่มีโรคที่ต้องจำกัดน้ำ เช่น โรคหัวใจ โรคไต)
2. ล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด ไม่อุ่น ไม่ร้อน เกินไป และไม่ล้างหน้าบ่อยกว่าวันละ 2 ครั้ง
3. เลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่มีค่า pH ใกล้เคียงกับผิว คือ pH 5-5.5/ pH balance สังเกตว่าล้างหน้าเสร็จแล้ว ผิวยังคงนุ่มลื่น ไม่ตึงเอี๊ยด
4. เช็ดผิวเบาๆ
5. เลือกทา Moisturizer แบบเนื้อครีม ถ้ามีส่วนผสมที่เติมเข้าไปเพื่อช่วยลดอาการอักเสบของผิว เช่น สูตรสำหรับผิวแห้ง ระคายเคือง หรือ ผิวบอบบาง
6. ทาครีมหลังล้างหน้าภายใน 3 นาที
7. หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
8. ถ้าผิวลอกหรือแห้งจนแตกเป็นขุย ควรเลือก Moisturizer ชนิด occlusive เสริมชั้นผิว เช่น มี dimethicone, petrolatum, oil
9. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสกินแคร์หรือเครื่องสำอางบ่อยๆ เพราะเสี่ยงต่อการระคายเคืองหรือการแพ้
10. รับประทานผักผลไม้สดที่มีวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวสุขภาพดีขึ้น
11. ทาครีมกันแดด หลีกเลี่ยงแสงแดดและมลภาวะต่างๆ
12. ถ้าทำทุกวิธีแล้ว หรือมีผื่นเยอะมาก ควรพบแพทย์ผิวหนัง เพื่อตรวจผิว ให้คำแนะนำการดูแลผิว และแนะนำวิธีการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับผิวของคนๆนั้นเพิ่มเติม ไม่ควรซื้อยาทาเอง หลายคนซื้อยาทาสเตียรอยด์ที่แรงมากๆ มาทา หรือทาต่อเนื่องนานเกินจำเป็น ทำให้เกิดผิวด่าง หรือผิวแตก สิวขึ้น หรือผิวติดสเตียรอยด์
หวังว่าบทความนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังเจอปัญหาผิวแห้งหรือผิวขาดน้ำกันนะคะ
Dr.Yui คุยทุกเรื่องผิว ✨