The Hatters Shop - 19th Century Hatter Cr.ภาพถ่ายของ Gary Heller
Cr.fineartamerica.com/
การทำหมวกในศตวรรษที่ 18 และ 19 เป็นธุรกิจที่อันตราย เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการใช้สารเคมีหลายชนิด ซึ่งหนึ่งในนั้นคือสารปรอทที่เป็นพิษ
และถ้าต้องทำงานในห้องที่มีการระบายอากาศไม่ดี ช่างทำหมวกจะสูดดมควันปรอทจำนวนมากเข้าไป จนอาจทำให้สมองได้รับความเสียหายได้
มีความเชื่อกันอย่างกว้างขวางว่า การเป็นพิษของสารปรอทในหมู่ช่างทำหมวกนั้น เป็นที่มาของสุภาษิตที่เรียกว่า “mad as a hatter” แม้แต่ตัวละครของ Hatter ในภาพยนตร์เรื่อง Alice's Adventures in Wonderland ที่สวมหมวกอันเป็นสัญลักษณ์ของ Lewis Carroll ก็ยังแสดงพฤติกรรมโรคจิตที่คล้ายกับคนที่ทุกข์ทรมานจากพิษของสารปรอท
ทั้งนี้ หมวกเป็นเครื่องประดับแฟชั่นเช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่จำเป็นและใช้งานได้จริงมานานหลายพันปี แต่ในฐานะอุตสาหกรรมการทำหมวก ต้องย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 400 ปีที่เมืองมิลานของอิตาลี ซึ่งมีการทำหมวกที่ดีที่สุดจากผ้าสักหลาด เส้นใยและฟาง โดยพ่อค้าจากมิลานจะเดินทางไปทั่วยุโรปเพื่อซื้อขายผ้าไหม ริบบิ้น เครื่องประดับ และแน่นอนต้องมีหมวก
จากนั้น พวกเขาจะส่งต่อข่าวสารเกี่ยวกับแฟชั่นล่าสุดให้กับพวกขุนนางชั้นสูง โดยเรียกพ่อค้าที่ค้าขายสิ่งของเครื่องแต่งกายที่เป็น “ แฟนซี ” เหล่านี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่มาจากการผลิตของมิลานว่า "Milliner " หรือ “millinery”
ฉากงานเลี้ยงน้ำชาในภาพยนตร์เรื่อง "Alice's Adventures in Wonderland" 1865
ที่อยู่กับอลิซที่โต๊ะคือ March Hare, Dormouse และ Hatter Cr.ภาพประกอบของ John Tenniel
ในการทำหมวกในฝรั่งเศสนั้น มีการนำปรอทมาใช้เป็นครั้งแรก โดยช่างทำหมวกจะเอาขนของสัตว์ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกระต่าย แล้วกดด้วยไอน้ำและน้ำร้อนเพื่อให้เส้นใยรวมตัวกันเป็นผืนผ้า ซึ่งชาวฝรั่งเศสค้นพบว่าการเติมเมอร์คิวริกไนเตรตจำนวนเล็กน้อยลงในน้ำร้อน จะทำให้ขนที่หยาบกร้านนั้นอ่อนนุ่ม ทำให้รวมตัวเป็นผืนได้ง่ายขึ้น
ซึ่งการใช้ไนเตรตเมอร์คิวริกเป็นความลับทางการค้าที่ได้รับการพัฒนาโดยชาว Huguenots แห่งฝรั่งเศส และไม่ได้รับการเปิดเผย จนกระทั่งชาว Huguenots ถูกบังคับให้หนีไปอังกฤษ ที่ต่อมาพวกเขาก็แบ่งปันความลับนี้ให้กับกลุ่ม hatter ชาวอังกฤษ
โดยกระบวนการรักษาด้วยเกลือเมอร์คิวริกที่ทำให้ขนสีขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงนี้ ในสหราชอาณาจักรถูกเรียกว่า carrotting ซึ่งหลังจาก carrotting แล้วขนที่เป็นมันจะหดตัวลงในน้ำเดือด จากนั้นนำไปตากให้แห้ง และตรงนี้เองที่มีการปล่อยไอปรอทออกมาเป็นระยะๆ
คนงานในโรงงานผลิตหมวก ที่ Connecticut
Cr.ภาพ: : National Institute for Occupational Safety and Health/Wikimedia Commons
อาการส่วนใหญ่ของพิษจากสารปรอทคืออาการสั่น การเคลื่อนไหวแบบกระตุกๆ ซึ่งมักจะเริ่มที่นิ้วมือจากนั้นลามไปที่เปลือกตา ริมฝีปากและลิ้น เมื่ออาการแย่ลง การสั่นกระตุกจะผ่านต่อไปที่แขนและขา ดังนั้น จึงเป็นเรื่องยากมากที่ผู้ชายจะเดินได้
ซึ่งอาการเหล่านี้จะถูกเรียกว่า “hatter’s shakes” อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่งที่สุดอยู่ที่พฤติกรรมของผู้ป่วยเอง นั่นคือจะมีความหงุดหงิด ความมั่นใจในตัวเองต่ำ ความหดหู่ ไม่แยแส ความประหม่าขี้อาย และในบางกรณีจะมีอาการเพ้อและสูญเสียความทรงจำ
ในกรณีที่เรื้อรังที่สุด hatterอาจมีความสับสนทางจิตใจ ความไม่สงบทางอารมณ์ และความอ่อนแอของกล้ามเนื้อมากขึ้น ส่วนอาการอื่น ๆ ได้แก่
ความเสียหายทางระบบประสาทและไต สูญเสียการได้ยิน เลือดออกจากหูและปาก และการสูญเสียฟัน ผมและเล็บ
โดยการเชื่อมต่อระหว่างสารปรอทและกลุ่มอาการ hatter syndrome นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี1829 ในกลุ่มผู้ผลิตหมวกใน St Petersburg ประเทศรัสเซีย และการศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับพิษของสารปรอทในกลุ่ม hatter ในรัฐนิวเจอร์ซี ที่จัดทำโดยแพทย์ชาวอเมริกัน J. Addison Freeman ในปี 1860
สรุปว่า
“ การคำนึงถึงสุขภาพของพลเมืองกลุ่มนี้อย่างเหมาะสมไม่ควรใช้ปรอทในการผลิตหมวก และหากจำเป็นต้องใช้ ห้องที่ตกแต่งหมวกควรมีขนาดใหญ่มีเพดานสูง และระบายอากาศได้ดี ” แต่น่าเสียดายที่การเรียกร้องของ Freeman ไม่ได้รับสนใจใดๆ
คนงานรักษาขนด้วยปรอทไนเตรต ในโรงงานทำหมวกสักหลาด
Cr.ภาพข่าว: National Institute for Occupational Safety and Health
ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 อันตรายจากการทำงานกับสารปรอทเป็นที่เข้าใจกันดีขึ้นมาก แต่ผู้ผลิตหมวกเพียงไม่กี่รายที่ได้ดำเนินการบรรเทาทุกข์ โดยในปี1878 เมื่อ Dr L. Dennis ไปเวิร์คช็อปการทำหมวกรอบ ๆ Essex เพื่อสอบถาม คนงานหลายคนลังเลที่จะเปิดเผยความทุกข์ยากเพราะกลัวว่าจะตกงาน ถึงกระนั้น Dr L. Dennis ก็พบว่าคนงานหนึ่งในสี่คนแสดงอาการพิษของสารปรอท
ต่อมา สงครามโลกครั้งที่สองได้ทำการแก้ไขปัญหานี้ โดยการทำให้ปรอทมีค่าเกินกว่าที่จะใช้ในหมวกสักหลาด จนถึงปี1941 หน่วยงานด้านสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกาเรียกร้องให้มีการห้ามใช้ไนเตรตปรอทโดยเปลี่ยนไปใช้ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์แทน
และตั้งแต่ปี 1986 เป็นต้นมา วันที่ 6 ตุลาคมถูกกำหนดให้เป็นวัน Mad Hatter Day ซึ่ง Hatter เป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงในภาพยนตร์สุดคลาสสิกเรื่อง
Alice's Adventures in Wonderland ของ Lewis Carroll ซึ่ง John enniel นักวาดภาพประกอบชาวอังกฤษได้วาดภาพ Hatter สวมหมวกที่มี 10/6 เขียนอยู่ โดย10/6 หมายถึงราคาหมวก 10 ชิลลิงและ 6 เพนนีและต่อมากลายเป็นวันที่และเดือนเพื่อเฉลิมฉลอง Mad Hatter Day
(ว่ากันว่า Carroll ตั้งใจให้ตัวละคร Mad Hatter เป็นภาพล้อเลียนที่แปลกประหลาดของชายคนหนึ่งที่ชื่อ Theophilus Carter ซึ่งเป็นพ่อค้าเฟอร์นิเจอร์ชาวอังกฤษที่แปลกประหลาดจาก Oxford)
Mad Hatter: บุคลิกที่หลากหลายตัวละครที่โดดเด่น
References:
- H A Waldron, Did the Mad Hatter have mercury poisoning?, British Medical Journal
- Richard P. Wedeen, Were the Hatters of New Jersey “Mad”?, American Journal of Industrial Medicine
- Susie Hopkins, History of Milliners, Love to Know
- Wikipedia
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
“mad as a hatter” ที่เกิดจากหมวกในศตวรรษที่ 18
ความเสียหายทางระบบประสาทและไต สูญเสียการได้ยิน เลือดออกจากหูและปาก และการสูญเสียฟัน ผมและเล็บ
โดยการเชื่อมต่อระหว่างสารปรอทและกลุ่มอาการ hatter syndrome นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกในปี1829 ในกลุ่มผู้ผลิตหมวกใน St Petersburg ประเทศรัสเซีย และการศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับพิษของสารปรอทในกลุ่ม hatter ในรัฐนิวเจอร์ซี ที่จัดทำโดยแพทย์ชาวอเมริกัน J. Addison Freeman ในปี 1860
สรุปว่า
“ การคำนึงถึงสุขภาพของพลเมืองกลุ่มนี้อย่างเหมาะสมไม่ควรใช้ปรอทในการผลิตหมวก และหากจำเป็นต้องใช้ ห้องที่ตกแต่งหมวกควรมีขนาดใหญ่มีเพดานสูง และระบายอากาศได้ดี ” แต่น่าเสียดายที่การเรียกร้องของ Freeman ไม่ได้รับสนใจใดๆ
Alice's Adventures in Wonderland ของ Lewis Carroll ซึ่ง John enniel นักวาดภาพประกอบชาวอังกฤษได้วาดภาพ Hatter สวมหมวกที่มี 10/6 เขียนอยู่ โดย10/6 หมายถึงราคาหมวก 10 ชิลลิงและ 6 เพนนีและต่อมากลายเป็นวันที่และเดือนเพื่อเฉลิมฉลอง Mad Hatter Day
(ว่ากันว่า Carroll ตั้งใจให้ตัวละคร Mad Hatter เป็นภาพล้อเลียนที่แปลกประหลาดของชายคนหนึ่งที่ชื่อ Theophilus Carter ซึ่งเป็นพ่อค้าเฟอร์นิเจอร์ชาวอังกฤษที่แปลกประหลาดจาก Oxford)
- H A Waldron, Did the Mad Hatter have mercury poisoning?, British Medical Journal
- Richard P. Wedeen, Were the Hatters of New Jersey “Mad”?, American Journal of Industrial Medicine
- Susie Hopkins, History of Milliners, Love to Know
- Wikipedia