ตัดสินใจอยู่นานว่าจะลงไหม แต่เราค่อนข้างอึดอัด
อยู่บ้านแล้วไม่มีความสุข มองไปทางไหนก็หดหู่ กลับมาจากทำงานแทนที่จะได้พักก็ต้องมาเหนื่อย
บ้านเรามีแค่เรากับแม่สองคน พ่อเสียตั้งแต่เราหกขวบ เรายอมรับว่าแม่เราเป็นแม่ที่ดีมาก ไม่ยอมมีสามีใหม่เพราะกังวลเรื่องพ่อเลี้ยงลูกสาว ส่งเสียเราจบปริญญาด้วยตัวคนเดียว แต่เราไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เซ้งเค้าอยู่มาตลอด พื้นฐานแม่เราและเราเป็นคนรักสัตว์ เคยเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวประมาณสิบกว่าตัว จนเราต้องย้ายบ้าน มีเหตุให้ต้องนำทั้งสุนัขและแมวหาบ้านใหม่ พวกน้องหมาแม่เราส่งให้มูลนิธิประมาณ 5 ตัว แม่บริจาคไปสองหมื่น โดนมูลนิธิตอกกลับมาว่า สองหมื่นจะไปพออะไร น้อยมาก ซึ่งแม่เราก็จำฝังใจว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิแล้ว ส่วนแมวมีประมาณเกือบสิบตัว แม่ตัดสินใจยกให้กับคนที่รู้จักทางสมาคมรักสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งก็ไปดูบ้านแล้วเห็นว่าค่อนข้างโอเค ก็ส่งมอบให้เค้าไป มีเหลือแค่สองตัว ตัวหนึ่งแก่มาก ๆ แล้วกับอีกตัวที่ป่วยพาไปที่ใหม่ด้วยกัน เพราะบ้านที่เอาไปให้เค้าก็มีแมวเยอะอยู่แล้ว น่าจะดูแลไม่ได้มาก
เราก็ย้ายตามแม่ไปอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ จนวันหนึ่งยายซึ่งก็คือแม่เลี้ยงของแม่เรา บอกว่าซื้อบ้านไว้แล้วจะทำห้องเช่า จะให้แม่เราไปเฝ้าและคอยเก็บค่าเช่า ตอนนั้นต้องยอมรับเลยว่าเป็นช่วงที่เราสองคนลำบากที่สุด แม่ตกงานเพราะวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องออกมาขายอาหาร เรากำลังขึ้นม.ปลาย ชีวิตลำบาก บางวันไม่มีเงินเหลือเลย จึงตัดสินใจไปตามข้อเสนอของยาย ซึ่งยายมีบ้านและกิจการของเค้าอยู่แล้ว (ยายเป็นโรคไต ต้องฟอกไต ค่ารักษาจิปาถะ)
ชีวิตเริ่มดีขึ้นเหลือแมวที่ตะลอนมาด้วยกันหนึ่งตัว ตอนแรกก็ตกลงกันว่าคงไม่มีสัตว์เลี้ยงใหม่เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา ก็ตั้งใจจะพอเพียงเท่านี้ แล้วยายก็ใจดีมาก แม่เราเก็บค่าเช่าเท่าไหร่ ก็ยกให้หมด เหมือนเป็นการให้มรดกกลาย ๆ แต่ให้แม่สัญญาว่าหากยายเสีย ไม่ว่าอย่างไรห้ามขายบ้านนี้เด็ดขาด เนื่องจากยายไม่มีลูกแท้ ๆ เลย มีแต่รับมาเลี้ยง (แม่เราเป็นลูกติดของตา) ท่านรู้ดีว่าลูกแต่ละคนทำงานไม่เป็นและหากยายไม่อยู่คงผลาญสมบัติหมด กลัวจะไม่มีที่อยู่จึงบอกแม่ว่าให้เก็บไว้ เผื่อวันไหนใครต้องการมาอาศัยจะได้มีที่อยู่ที่กิน ซึ่งยายก็ใส่เป็นสองชื่อห้องละชื่อของน้าชายกับแม่เรา
ไม่นานด้วยความใจดีของแม่ ก็มีคนรู้จักแถวที่แม่ขายของบ้าง เพื่อนของแม่บ้างเอาหมา แมว มาให้แม่เลี้ยง บางคนบอกฝากเลี้ยงเดี๋ยวมารับกลับ บางคนบอกมีปัญหาชีวิตต่าง ๆ นานา แม่เราขี้สงสารและเป็นคนรักสัตว์ก็รับมาหมด บางคนแถวบ้านรู้ก็แกล้งเอามาปล่อยหน้าบ้าน แม่ก็เก็บมาหมด ชีวิตวัยเด็กเราหมดไปกับการไปโรงเรียนแล้วโดนเพื่อล้อว่า เหม็นฉี่แมวบ้าง กระโปรงขนสัตว์บ้าง ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่คิดอะไร จนเข้ามหาวิทยาลัย.......
จากข้างบนคนที่แม่เราเคยเอาแมวมาฝาก เหมือนมีอยู่ครั้งหนึ่งแม่เราได้แมวมาจากใครไม่รู้ ก็เลยเอาแมวไปให้เค้าเพราะตอนนั้นเรายังอยู่ห้องเช่ากัน เค้ามีปัญหาชีวิต (อายุเท่าแม่) เลิกกับสามี ไม่มีลูก รับราชการแต่เป็นหนี้หมดไปกับการรักษาแมวเป็นแสน ๆ กำลังจะฆ่าตัวตายพร้อมแมว แต่แม่เราเอาแมวไปวันนั้นพร้อมเงินสองพันห้า เค้าจึงบอกว่าแม่เราให้ชีวิตใหม่เค้า เค้าเป็ฯหนี้บุญคุณแม่ จนวันที่เรามีบ้านแล้ว เค้าก็เริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ
พื้นฐานเค้าเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ลูกน้องก็กลัว สามีก็ทนอยู่ด้วยไม่ได้ ด้วยความเป็นข้าราชการเราต้องกู้ กยศ. เค้าก็รับรองให้ ซึ่งแม่เราก็ถือว่าเริ่มติดบุญคุณเค้า แต่เรามองว่าเค้าเห็นแม่เราเป็นผู้ช่วย มีเรื่องอะไรก็บอกว่าเดี๋ยวจ้างมาช่วยจำนำทองให้หน่อย แล้วคอยส่งดอกให้นะ (เค้าจะให้แม่เราเตือนอย่างเดียวนะ แม่เราไม่ได้จ่ายให้) เวลาต้องไปราชการต่างจังหวัด เค้าก็จะให้แม่เราคอยไปเลี้ยงแมวที่เค้าเลี้ยงไว้ในหอพัก (ราชการ) ของเค้า ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎแต่เค้าก็แอบเลี้ยง บ้านเค้าก็จ้างคนคนมาเลี้ยงแมวเพราะที่ทำงานของเค้าอยู่ไกล จนมันล้น ในที่สุดก็ต้องมาฝากบ้านเรา หน้าที่ของแม่เราก็คือ คอยเอาแมวเค้าพาไปหาหมอ ซึ่งเค้าจะมีคลินิกประจำที่เค้าติดค่ารักษาไว้หลายแสน แต่แมวในส่วนที่แม่เราได้มาเองแม่เราก็จะออกเงินเอง ไม่อยากไปรบกวนเค้า เพราะเค้าก็มีหนี้มากมาย บางครั้งแม่เราเดือดร้อนเค้าก็จะออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน เช่น มีคนเมามาอาละวาดพังเก้าอี้และร่มที่ใช้กางตอนขายของ แม่เราก็ทบมาเป็นบุญคุณ เราเองก็เคยคิดว่าในบั้นปลายชีวิตก็คงช่วยดูแลกันได้
ในวันที่เราเริ่มทำงาน แม่เราก็ยังคงไม่หยุดเอาแมวเข้ามาพร้อมกับเพื่อนแม่คนนี้ และคนรู้จักอีกคน สำหรับเพื่อนแม่เราเคยถามว่าเมื่อไหร่มันจะจบ แมวมันเพิ่มขึ้นทุกวัน จนเป็นร้อยตัว! แล้วบ้านเราเลี้ยงทั้งหมาพิการ แมวขาด้วย แมวตาบอด เวลาแม่กลับมาจากขายของเหนื่อย ๆ ก็ต้องมาเลี้ยงมาดูแลพวกนี้ต่อ แม่เราเริ่มหงุดหงิดฉุนเฉียว เราเองก็โมโหเหมือนกัน หมาแมวแต่ละตัวก็อายุยืน เป็นสิบ ๆ ปีก็ยังอยู่ แม่เราทุกข์ เราก็ทุกข์ เราเคยบอกแม่ว่า สายที่เราจบมารายได้ไม่ได้สูงนะ ถ้าเลี้ยงเยอะแบบนี้เราคงไม่พอใช้ (เรายกเงินเดือนทั้งหมดให้แม่ แล้วขอแม่เหมือนเดิมในช่วงสองปีแรก) ไหนจะเรื่องแฟนอีก เราก็บ่นว่าชาตินี้คงไม่มีใคร เพราะเค้าคงไม่สามารถรับเราได้ แม่เราก็ตอบกลับว่าถ้ารับไม่ได้ก็อย่าไปคบเค้า ซึ่งตอนนั้นเราก็อึ้ง
ส่วนคนรู้จักอีกคนเค้าเป็นมะเร็ง แม่เราสงสารเค้าเป็นโรคจิตพอ ๆ กันชอบไปตระเวนเก็บแมวมาให้แม่เรา ประมาณว่าคิดว่าแม่เราชอบ เราบอกว่าพอได้แล้ว บ้านเค้ารวยกว่าเรา คนรู้จักคนนี้ชอบมาคุยว่าลูกสาวคนหนึ่งเป็นสัตวแพทย์เงินเดือนสูง อีกคนสอนโรงเรียนอินเตอร์เงินเดือนก็สูง แต่ไม่เลี้ยงเอง แม่เราก็แก้ตัวแทนเค้าว่า บ้านเค้ามีแมวเจ้าถิ่น เค้าเลี้ยงไม่ได้เดี๋ยวแมวเจ้าถิ่นจะกัดตัวใหม่ อีกอย่างกลัวคนนั้นเครียดแล้วมะเร็งจะกำเริบ เราน้ำตาตกในเลย เราเห็นแม่เราเหนื่อยสายตัวแทบขาด เวลากลับมาก็ต้องมาจัดการเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้หมาแมว ทำแผลแมวพิการ เราก็เครียดกับงาน จนต้องไปทำงานในห้างบางวันเรากลับมาสี่ห้าทุ่มเราก็ต้องขึ้นดาดฟ้าไปให้อาหารแมว โกยขี้แมว เราเคยทำไปร้องไห้ไป นึกถึงตอนโดนเพื่อนล้อ นึกถึงเวลาที่วางกระเป๋าปุ๊บโดนแมวฉี่ใส่ พอเราโวยวาย แม่ก็ว่าเราว่าเราผิดจะวางให้มันฉี่ทำไม เราก็เถียงว่านี่บ้านของเรา ทำไมเวลาเรากลับมาเราไม่ได้พัก ทำไมเราไม่สามารถวางของไว้ตรงไหนของบ้านได้ เราไม่มีความสุขเลย
จุดเปลี่ยนอีกครั้งคือ พอยายเสีย น้าชายก็มาขอแบ่งบ้านเพราะเค้าเป็นหนี้จะขายบ้านอีกห้องและตะล่อมให้แม่ขายด้วยราคาถูก ๆ แต่แม่เราไม่ยอมเพราะยึดคำมั่นว่าจะไม่ขายและเก็บบ้านไว้ตามคำสั่งเสียของยาย ต้องเชิญคนเช่าบ้านออกและกู้เงินมาเพื่อกั้นบ้านสองห้องนี้ เพราะจะขายแค่ครึ่งเดียว เป็นหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิต ตอนนั้นเรามีเงินเดือนหมื่นห้า ต้องใช้หนี้ไปอีกสามสิบปี ซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราคิดว่าเราต้องกตัญญู ต้องเลี้ยงแม่ให้ได้ อยากให้แม่สบาย แต่เราก็อยากมีความสุข จนวันหนึ่งเราทะเลาะเรื่องที่แม่เอาแมวมาเพิ่ม และพอเห็นเราก็พูดแต่เรื่องเงิน เราทะเลาะกับแม่รุนแรงมาก จนในที่สุดเราก็ออกจากบ้านเลยไปอยู่กับเพื่อน ไปเช่าบ้านเค้าเป็นรายเดือน
เราเสียใจมาก อยากเป็นลูกที่ดี แต่เรารู้สึกเหมือนแม่ไม่รักเราเลย ห่วงแต่ความรู้สึกคนอื่น แต่ไม่เคยคิดถึงเราหรืออนาคตของเรา ถามหาแต่เงิน เราจึงออกมาจากตรงนั้น ในใจคิดว่าเราไม่เอาอะไรจากแม่แล้ว เราส่งเงินให้อย่างเดียว เพื่อใช้หนี้ด้วย จนวันหนึ่งแม่เราก็โทรคุยกับเพื่อนว่า เป็นหมอนรองกระดูกเคลื่อนอาจต้องผ่าตัด ซึ่งเพื่อนแม่คนนั้นก็ใช้สิทธิ์สวัสดิการให้แม่ไปทำ MRI ได้ฟรี แม่เราก็ทดไว้เป็นบุญคุณอีก พอเราได้ยินว่าแม่ป่วยเราก็ตัดสินใจกลับบ้านมาเพื่อดูแลแม่ พาแม่ไปรักษาโชคดีไปเจอวิธีการจัดกระดูก แม่หายโดยไม่ต้องผ่าตัด เราเริ่มรู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีแล้ว
จนเพื่อนของแม่เกษียณ เค้าเคยบอกว่าพอเกษียณจะเอาเงินมาซื้อบ้านข้าง ๆ เพื่อที่จะได้มาอยู่ด้วยกัน แต่พอถึงเวลาจริงเงินเค้ายังไม่พอใช้หนี้ค่ารักษาแมวเลย เค้าออกจากราชการแต่ไม่ยอมกลับบ้าน แมวที่เค้าเลี้ยงไว้ที่หอพักเอามาไว้ที่บ้านเราหมด ส่วนบ้านตัวเองบอกว่าถ้าเค้ากลับไปอยู่ พี่เลี้ยงที่จ้างไว้จะขอลากลับบ้าน เค้ายังต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อใช้หนี้ที่เหลือ จึงไม่สามารถดูแลแมวได้ จึงต้องมาอาศัยบ้านเรา
เราเคยคิดว่าเราอยากตอบแทนเค้า แต่สิ่งที่เค้าทำคือเรารู้สึกรับไม่ได้
1. เค้ามาอยู่ในห้องนอน มารื้อตู้เสื้อผ้าเรา เอาเสื้อผ้าเรามาใส่แล้วบอกว่าสวย ชอบ ขอได้ไหม
2. เค้าหยิบเอาลิปสติกของเราไปใช้ โดยไม่ได้ขอ พอวันหนึ่งก็มาบอกว่าเค้าหยิบไปแล้วเขียนกระดาษบอกไว้แล้ว แต่เราไม่เคยเห็นกระดาษแผ่นนั้น
3. เวลากินข้าว เค้าชอบว่าแม่เรา ว่าทำแต่อาหารรสจัด ทำไมทำอาหารร้อน ๆ กินอาหารร้อน ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ
4. เวลากินข้าว ต้องโทรเรียกเค้าลงมาจากห้อง เรากับแม่ต้องรอเค้าเพื่อจะได้กิน บางทีโทรไปก็ไม่รับ
5. เวลาดูหนัง มันจะมีโซฟาในห้องที่นั่งได้สามคน แต่เค้านอนเหยียดยาวยึดไว้คนเดียว เราไม่เท่าไหร่ เพราะเราเด็กเรานั่งได้ แต่แม่เราทั้งมีอาการปวดหลังแถวแก่เดือนกว่าเค้า แต่เค้าไม่เกรงใจเลย ปล่อยให้แม่เรานั่งที่พื้น เราโมโหมาก แต่เราก็ทำไรไม่ได้
6. เวลากินข้าว มันเป็นเก้าอี้แบบยาวสองฝั่ง เราต้องนั่งฝั่งหนึ่งกับแม่ อีกฝั่งเค้าเหยียดขาเต็มเก้าอี้ ประมาณไม่ให้ใครมานั่งข้าง ทั้งที่แม่เราค่อนข้างอ้วน เรากับเค้าตัวพอ ๆ กัน
วันหนึ่งเราคนไม่ไหว เราบอกแม่ว่าให้พูดกับเค้าเถอะ เค้าไม่มีมารยาทมากนะ กับเราเราเด็กกว่าเรารับได้ แต่กับแม่เรา เป็นเจ้าของบ้านแต่เค้าก็ไม่เกรงใจ แม่เราบอกเค้ามีบุญคุณ เราว่าเราต่างชดใช้กันหมด หนี้กยศ. เราไม่เบี้ยวเราใช้ตามปกติไม่ให้เค้าเดือดร้อน เงินที่เค้าเคยออกให้แม่เรา เราคืนให้เค้าหมดแล้ว ตอนนี้ให้เค้ามาอยู่บ้าน ทำไมถึงไม่พอหรอ? ต้องชดใช้เท่าไหร่ถึงจะหมด พอแม่ไปพูดกับเค้า สิ่งที่เค้าพูดกลับมาคือ ด่าว่าเราเป็นเด็กอกตัญญู ไม่เห็นอกเห็นใจเค้า เราฟังแล้วเราเสียใจมาก แม่เราไม่เข้าข้างเรา เราให้แม่มาตลอด เราอยากให้แม่สบาย เราพยายามหางานเพื่อให้มีเงินมากพอมาใช้หนี้ เลี้ยงแมว แต่สุดท้ายเราก็กลายเป็นเด็กอกตัญู ครั้งนี้เราก็หนีจากบ้านมาอีกครั้ง เราออกมาอยู่บ้านเพื่อน จ่ายค่าเช่าเหมือนเดิม อยู่ประมาณสองปี ก็เกิดโควิด เราก็เป็นห่วงแม่จึงกลับมาดูแลแม่เหมือนเดิม ระหว่างนั้นเราก็ยังส่งเงินมาให้แม่ทุกเดือนเหมือนเดิมนะ ไม่เคยขาด
ตอนเรากลับเหมือนแม่น่าจะตกลงกับเค้าว่าไม่รับแมวเพื่ม แล้วให้เค้าไปอยู่ห้องนอนข้างบน (ให้เค้าทั้งชั้นจะได้ไม่มาวุ่นวาย) แล้วเค้าก็ไม่มากินข้าวอีก ซึ่งเราก็รู้สึกโอเคขึ้น แม่เราตอนนี้ก็อายุมากแล้ว เริ่มปวดเข่าแต่ก็ยังต้องขึ้นดาดฟ้าไปเลี้ยงแมว ซึ่งเราเคยบอกแม่ว่าเราจะเลี้ยงเอง ไม่อยากให้แม่ขึ้น แต่แม่กลัวเราหนีออกจากบ้านอีก จึงเลี้ยงเองไม่ยอมให้เราขึ้นคนเดียว แต่ถ้าเราขึ้นด้วยได้ เรารู้ว่าแม่รักเรานะ แต่เรารับไม่ไหว เรายังเห็นเค้าเอาแมวมาเพิ่มทุกวัน เอาของของเค้ามาวางตามทางเดินทุก ๆ ชั้น เราจะเห็นของของเค้าวางเต็มไปหมด คือ ยังคงรักษามาตรฐานความไร้มารยาทเหมือนเดิม
เราถามแม่ว่า ถ้าวันไหนเกิดเค้าเสียชีวิต (เราไม่ได้แช่งนะ แค่ถามเผื่อวางแผน) แมวที่เหลือจะยังไง แม่เราบอกว่าเค้าจะยกให้มูลนิธิหมด โดยมีเงื่อนไขว่าจะยกบ้านของเค้าให้มูลนิธิ ซึ่งเราไม่เชื่อเค้าอีกแล้ว เค้าโกหกหลายอย่างมาหลายปี เราไม่แน่ใจว่าแมวกว่าร้อยชีวิตนี้สุดท้ายเราจะต้องมารับต่อยังไง หามูลนิธิต่าง ๆ แม่ก็ไม่เอาเพราะเข็ดรอบนั้นแล้ว ส่วนเพื่อนแม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เค้าบอกว่าเค้าเลี้ยงแมวดีที่สุดแล้ว เค้าไม่ไว้ใจใครนอกจากแม่เรา (ดีใจดีไหมเนี่ย)
หนีออกจากบ้านสองครั้งเพราะแมว
อยู่บ้านแล้วไม่มีความสุข มองไปทางไหนก็หดหู่ กลับมาจากทำงานแทนที่จะได้พักก็ต้องมาเหนื่อย
บ้านเรามีแค่เรากับแม่สองคน พ่อเสียตั้งแต่เราหกขวบ เรายอมรับว่าแม่เราเป็นแม่ที่ดีมาก ไม่ยอมมีสามีใหม่เพราะกังวลเรื่องพ่อเลี้ยงลูกสาว ส่งเสียเราจบปริญญาด้วยตัวคนเดียว แต่เราไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง เซ้งเค้าอยู่มาตลอด พื้นฐานแม่เราและเราเป็นคนรักสัตว์ เคยเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวประมาณสิบกว่าตัว จนเราต้องย้ายบ้าน มีเหตุให้ต้องนำทั้งสุนัขและแมวหาบ้านใหม่ พวกน้องหมาแม่เราส่งให้มูลนิธิประมาณ 5 ตัว แม่บริจาคไปสองหมื่น โดนมูลนิธิตอกกลับมาว่า สองหมื่นจะไปพออะไร น้อยมาก ซึ่งแม่เราก็จำฝังใจว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับมูลนิธิแล้ว ส่วนแมวมีประมาณเกือบสิบตัว แม่ตัดสินใจยกให้กับคนที่รู้จักทางสมาคมรักสัตว์ต่าง ๆ ซึ่งก็ไปดูบ้านแล้วเห็นว่าค่อนข้างโอเค ก็ส่งมอบให้เค้าไป มีเหลือแค่สองตัว ตัวหนึ่งแก่มาก ๆ แล้วกับอีกตัวที่ป่วยพาไปที่ใหม่ด้วยกัน เพราะบ้านที่เอาไปให้เค้าก็มีแมวเยอะอยู่แล้ว น่าจะดูแลไม่ได้มาก
เราก็ย้ายตามแม่ไปอยู่ห้องเช่าเล็ก ๆ จนวันหนึ่งยายซึ่งก็คือแม่เลี้ยงของแม่เรา บอกว่าซื้อบ้านไว้แล้วจะทำห้องเช่า จะให้แม่เราไปเฝ้าและคอยเก็บค่าเช่า ตอนนั้นต้องยอมรับเลยว่าเป็นช่วงที่เราสองคนลำบากที่สุด แม่ตกงานเพราะวิกฤตต้มยำกุ้ง ต้องออกมาขายอาหาร เรากำลังขึ้นม.ปลาย ชีวิตลำบาก บางวันไม่มีเงินเหลือเลย จึงตัดสินใจไปตามข้อเสนอของยาย ซึ่งยายมีบ้านและกิจการของเค้าอยู่แล้ว (ยายเป็นโรคไต ต้องฟอกไต ค่ารักษาจิปาถะ)
ชีวิตเริ่มดีขึ้นเหลือแมวที่ตะลอนมาด้วยกันหนึ่งตัว ตอนแรกก็ตกลงกันว่าคงไม่มีสัตว์เลี้ยงใหม่เพราะที่นี่ไม่ใช่บ้านเรา ก็ตั้งใจจะพอเพียงเท่านี้ แล้วยายก็ใจดีมาก แม่เราเก็บค่าเช่าเท่าไหร่ ก็ยกให้หมด เหมือนเป็นการให้มรดกกลาย ๆ แต่ให้แม่สัญญาว่าหากยายเสีย ไม่ว่าอย่างไรห้ามขายบ้านนี้เด็ดขาด เนื่องจากยายไม่มีลูกแท้ ๆ เลย มีแต่รับมาเลี้ยง (แม่เราเป็นลูกติดของตา) ท่านรู้ดีว่าลูกแต่ละคนทำงานไม่เป็นและหากยายไม่อยู่คงผลาญสมบัติหมด กลัวจะไม่มีที่อยู่จึงบอกแม่ว่าให้เก็บไว้ เผื่อวันไหนใครต้องการมาอาศัยจะได้มีที่อยู่ที่กิน ซึ่งยายก็ใส่เป็นสองชื่อห้องละชื่อของน้าชายกับแม่เรา
ไม่นานด้วยความใจดีของแม่ ก็มีคนรู้จักแถวที่แม่ขายของบ้าง เพื่อนของแม่บ้างเอาหมา แมว มาให้แม่เลี้ยง บางคนบอกฝากเลี้ยงเดี๋ยวมารับกลับ บางคนบอกมีปัญหาชีวิตต่าง ๆ นานา แม่เราขี้สงสารและเป็นคนรักสัตว์ก็รับมาหมด บางคนแถวบ้านรู้ก็แกล้งเอามาปล่อยหน้าบ้าน แม่ก็เก็บมาหมด ชีวิตวัยเด็กเราหมดไปกับการไปโรงเรียนแล้วโดนเพื่อล้อว่า เหม็นฉี่แมวบ้าง กระโปรงขนสัตว์บ้าง ซึ่งตอนนั้นเราก็ไม่คิดอะไร จนเข้ามหาวิทยาลัย.......
จากข้างบนคนที่แม่เราเคยเอาแมวมาฝาก เหมือนมีอยู่ครั้งหนึ่งแม่เราได้แมวมาจากใครไม่รู้ ก็เลยเอาแมวไปให้เค้าเพราะตอนนั้นเรายังอยู่ห้องเช่ากัน เค้ามีปัญหาชีวิต (อายุเท่าแม่) เลิกกับสามี ไม่มีลูก รับราชการแต่เป็นหนี้หมดไปกับการรักษาแมวเป็นแสน ๆ กำลังจะฆ่าตัวตายพร้อมแมว แต่แม่เราเอาแมวไปวันนั้นพร้อมเงินสองพันห้า เค้าจึงบอกว่าแม่เราให้ชีวิตใหม่เค้า เค้าเป็ฯหนี้บุญคุณแม่ จนวันที่เรามีบ้านแล้ว เค้าก็เริ่มเข้ามาเจ้ากี้เจ้าการ
พื้นฐานเค้าเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการ ลูกน้องก็กลัว สามีก็ทนอยู่ด้วยไม่ได้ ด้วยความเป็นข้าราชการเราต้องกู้ กยศ. เค้าก็รับรองให้ ซึ่งแม่เราก็ถือว่าเริ่มติดบุญคุณเค้า แต่เรามองว่าเค้าเห็นแม่เราเป็นผู้ช่วย มีเรื่องอะไรก็บอกว่าเดี๋ยวจ้างมาช่วยจำนำทองให้หน่อย แล้วคอยส่งดอกให้นะ (เค้าจะให้แม่เราเตือนอย่างเดียวนะ แม่เราไม่ได้จ่ายให้) เวลาต้องไปราชการต่างจังหวัด เค้าก็จะให้แม่เราคอยไปเลี้ยงแมวที่เค้าเลี้ยงไว้ในหอพัก (ราชการ) ของเค้า ทั้ง ๆ ที่ผิดกฎแต่เค้าก็แอบเลี้ยง บ้านเค้าก็จ้างคนคนมาเลี้ยงแมวเพราะที่ทำงานของเค้าอยู่ไกล จนมันล้น ในที่สุดก็ต้องมาฝากบ้านเรา หน้าที่ของแม่เราก็คือ คอยเอาแมวเค้าพาไปหาหมอ ซึ่งเค้าจะมีคลินิกประจำที่เค้าติดค่ารักษาไว้หลายแสน แต่แมวในส่วนที่แม่เราได้มาเองแม่เราก็จะออกเงินเอง ไม่อยากไปรบกวนเค้า เพราะเค้าก็มีหนี้มากมาย บางครั้งแม่เราเดือดร้อนเค้าก็จะออกค่าใช้จ่ายให้ก่อน เช่น มีคนเมามาอาละวาดพังเก้าอี้และร่มที่ใช้กางตอนขายของ แม่เราก็ทบมาเป็นบุญคุณ เราเองก็เคยคิดว่าในบั้นปลายชีวิตก็คงช่วยดูแลกันได้
ในวันที่เราเริ่มทำงาน แม่เราก็ยังคงไม่หยุดเอาแมวเข้ามาพร้อมกับเพื่อนแม่คนนี้ และคนรู้จักอีกคน สำหรับเพื่อนแม่เราเคยถามว่าเมื่อไหร่มันจะจบ แมวมันเพิ่มขึ้นทุกวัน จนเป็นร้อยตัว! แล้วบ้านเราเลี้ยงทั้งหมาพิการ แมวขาด้วย แมวตาบอด เวลาแม่กลับมาจากขายของเหนื่อย ๆ ก็ต้องมาเลี้ยงมาดูแลพวกนี้ต่อ แม่เราเริ่มหงุดหงิดฉุนเฉียว เราเองก็โมโหเหมือนกัน หมาแมวแต่ละตัวก็อายุยืน เป็นสิบ ๆ ปีก็ยังอยู่ แม่เราทุกข์ เราก็ทุกข์ เราเคยบอกแม่ว่า สายที่เราจบมารายได้ไม่ได้สูงนะ ถ้าเลี้ยงเยอะแบบนี้เราคงไม่พอใช้ (เรายกเงินเดือนทั้งหมดให้แม่ แล้วขอแม่เหมือนเดิมในช่วงสองปีแรก) ไหนจะเรื่องแฟนอีก เราก็บ่นว่าชาตินี้คงไม่มีใคร เพราะเค้าคงไม่สามารถรับเราได้ แม่เราก็ตอบกลับว่าถ้ารับไม่ได้ก็อย่าไปคบเค้า ซึ่งตอนนั้นเราก็อึ้ง
ส่วนคนรู้จักอีกคนเค้าเป็นมะเร็ง แม่เราสงสารเค้าเป็นโรคจิตพอ ๆ กันชอบไปตระเวนเก็บแมวมาให้แม่เรา ประมาณว่าคิดว่าแม่เราชอบ เราบอกว่าพอได้แล้ว บ้านเค้ารวยกว่าเรา คนรู้จักคนนี้ชอบมาคุยว่าลูกสาวคนหนึ่งเป็นสัตวแพทย์เงินเดือนสูง อีกคนสอนโรงเรียนอินเตอร์เงินเดือนก็สูง แต่ไม่เลี้ยงเอง แม่เราก็แก้ตัวแทนเค้าว่า บ้านเค้ามีแมวเจ้าถิ่น เค้าเลี้ยงไม่ได้เดี๋ยวแมวเจ้าถิ่นจะกัดตัวใหม่ อีกอย่างกลัวคนนั้นเครียดแล้วมะเร็งจะกำเริบ เราน้ำตาตกในเลย เราเห็นแม่เราเหนื่อยสายตัวแทบขาด เวลากลับมาก็ต้องมาจัดการเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้หมาแมว ทำแผลแมวพิการ เราก็เครียดกับงาน จนต้องไปทำงานในห้างบางวันเรากลับมาสี่ห้าทุ่มเราก็ต้องขึ้นดาดฟ้าไปให้อาหารแมว โกยขี้แมว เราเคยทำไปร้องไห้ไป นึกถึงตอนโดนเพื่อนล้อ นึกถึงเวลาที่วางกระเป๋าปุ๊บโดนแมวฉี่ใส่ พอเราโวยวาย แม่ก็ว่าเราว่าเราผิดจะวางให้มันฉี่ทำไม เราก็เถียงว่านี่บ้านของเรา ทำไมเวลาเรากลับมาเราไม่ได้พัก ทำไมเราไม่สามารถวางของไว้ตรงไหนของบ้านได้ เราไม่มีความสุขเลย
จุดเปลี่ยนอีกครั้งคือ พอยายเสีย น้าชายก็มาขอแบ่งบ้านเพราะเค้าเป็นหนี้จะขายบ้านอีกห้องและตะล่อมให้แม่ขายด้วยราคาถูก ๆ แต่แม่เราไม่ยอมเพราะยึดคำมั่นว่าจะไม่ขายและเก็บบ้านไว้ตามคำสั่งเสียของยาย ต้องเชิญคนเช่าบ้านออกและกู้เงินมาเพื่อกั้นบ้านสองห้องนี้ เพราะจะขายแค่ครึ่งเดียว เป็นหนี้ก้อนใหญ่ก้อนแรกในชีวิต ตอนนั้นเรามีเงินเดือนหมื่นห้า ต้องใช้หนี้ไปอีกสามสิบปี ซึ่งเราก็ทำอะไรไม่ได้ เราคิดว่าเราต้องกตัญญู ต้องเลี้ยงแม่ให้ได้ อยากให้แม่สบาย แต่เราก็อยากมีความสุข จนวันหนึ่งเราทะเลาะเรื่องที่แม่เอาแมวมาเพิ่ม และพอเห็นเราก็พูดแต่เรื่องเงิน เราทะเลาะกับแม่รุนแรงมาก จนในที่สุดเราก็ออกจากบ้านเลยไปอยู่กับเพื่อน ไปเช่าบ้านเค้าเป็นรายเดือน
เราเสียใจมาก อยากเป็นลูกที่ดี แต่เรารู้สึกเหมือนแม่ไม่รักเราเลย ห่วงแต่ความรู้สึกคนอื่น แต่ไม่เคยคิดถึงเราหรืออนาคตของเรา ถามหาแต่เงิน เราจึงออกมาจากตรงนั้น ในใจคิดว่าเราไม่เอาอะไรจากแม่แล้ว เราส่งเงินให้อย่างเดียว เพื่อใช้หนี้ด้วย จนวันหนึ่งแม่เราก็โทรคุยกับเพื่อนว่า เป็นหมอนรองกระดูกเคลื่อนอาจต้องผ่าตัด ซึ่งเพื่อนแม่คนนั้นก็ใช้สิทธิ์สวัสดิการให้แม่ไปทำ MRI ได้ฟรี แม่เราก็ทดไว้เป็นบุญคุณอีก พอเราได้ยินว่าแม่ป่วยเราก็ตัดสินใจกลับบ้านมาเพื่อดูแลแม่ พาแม่ไปรักษาโชคดีไปเจอวิธีการจัดกระดูก แม่หายโดยไม่ต้องผ่าตัด เราเริ่มรู้สึกว่าเราได้ทำหน้าที่ลูกที่ดีแล้ว
จนเพื่อนของแม่เกษียณ เค้าเคยบอกว่าพอเกษียณจะเอาเงินมาซื้อบ้านข้าง ๆ เพื่อที่จะได้มาอยู่ด้วยกัน แต่พอถึงเวลาจริงเงินเค้ายังไม่พอใช้หนี้ค่ารักษาแมวเลย เค้าออกจากราชการแต่ไม่ยอมกลับบ้าน แมวที่เค้าเลี้ยงไว้ที่หอพักเอามาไว้ที่บ้านเราหมด ส่วนบ้านตัวเองบอกว่าถ้าเค้ากลับไปอยู่ พี่เลี้ยงที่จ้างไว้จะขอลากลับบ้าน เค้ายังต้องทำงานพาร์ทไทม์เพื่อใช้หนี้ที่เหลือ จึงไม่สามารถดูแลแมวได้ จึงต้องมาอาศัยบ้านเรา
เราเคยคิดว่าเราอยากตอบแทนเค้า แต่สิ่งที่เค้าทำคือเรารู้สึกรับไม่ได้
1. เค้ามาอยู่ในห้องนอน มารื้อตู้เสื้อผ้าเรา เอาเสื้อผ้าเรามาใส่แล้วบอกว่าสวย ชอบ ขอได้ไหม
2. เค้าหยิบเอาลิปสติกของเราไปใช้ โดยไม่ได้ขอ พอวันหนึ่งก็มาบอกว่าเค้าหยิบไปแล้วเขียนกระดาษบอกไว้แล้ว แต่เราไม่เคยเห็นกระดาษแผ่นนั้น
3. เวลากินข้าว เค้าชอบว่าแม่เรา ว่าทำแต่อาหารรสจัด ทำไมทำอาหารร้อน ๆ กินอาหารร้อน ๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ
4. เวลากินข้าว ต้องโทรเรียกเค้าลงมาจากห้อง เรากับแม่ต้องรอเค้าเพื่อจะได้กิน บางทีโทรไปก็ไม่รับ
5. เวลาดูหนัง มันจะมีโซฟาในห้องที่นั่งได้สามคน แต่เค้านอนเหยียดยาวยึดไว้คนเดียว เราไม่เท่าไหร่ เพราะเราเด็กเรานั่งได้ แต่แม่เราทั้งมีอาการปวดหลังแถวแก่เดือนกว่าเค้า แต่เค้าไม่เกรงใจเลย ปล่อยให้แม่เรานั่งที่พื้น เราโมโหมาก แต่เราก็ทำไรไม่ได้
6. เวลากินข้าว มันเป็นเก้าอี้แบบยาวสองฝั่ง เราต้องนั่งฝั่งหนึ่งกับแม่ อีกฝั่งเค้าเหยียดขาเต็มเก้าอี้ ประมาณไม่ให้ใครมานั่งข้าง ทั้งที่แม่เราค่อนข้างอ้วน เรากับเค้าตัวพอ ๆ กัน
วันหนึ่งเราคนไม่ไหว เราบอกแม่ว่าให้พูดกับเค้าเถอะ เค้าไม่มีมารยาทมากนะ กับเราเราเด็กกว่าเรารับได้ แต่กับแม่เรา เป็นเจ้าของบ้านแต่เค้าก็ไม่เกรงใจ แม่เราบอกเค้ามีบุญคุณ เราว่าเราต่างชดใช้กันหมด หนี้กยศ. เราไม่เบี้ยวเราใช้ตามปกติไม่ให้เค้าเดือดร้อน เงินที่เค้าเคยออกให้แม่เรา เราคืนให้เค้าหมดแล้ว ตอนนี้ให้เค้ามาอยู่บ้าน ทำไมถึงไม่พอหรอ? ต้องชดใช้เท่าไหร่ถึงจะหมด พอแม่ไปพูดกับเค้า สิ่งที่เค้าพูดกลับมาคือ ด่าว่าเราเป็นเด็กอกตัญญู ไม่เห็นอกเห็นใจเค้า เราฟังแล้วเราเสียใจมาก แม่เราไม่เข้าข้างเรา เราให้แม่มาตลอด เราอยากให้แม่สบาย เราพยายามหางานเพื่อให้มีเงินมากพอมาใช้หนี้ เลี้ยงแมว แต่สุดท้ายเราก็กลายเป็นเด็กอกตัญู ครั้งนี้เราก็หนีจากบ้านมาอีกครั้ง เราออกมาอยู่บ้านเพื่อน จ่ายค่าเช่าเหมือนเดิม อยู่ประมาณสองปี ก็เกิดโควิด เราก็เป็นห่วงแม่จึงกลับมาดูแลแม่เหมือนเดิม ระหว่างนั้นเราก็ยังส่งเงินมาให้แม่ทุกเดือนเหมือนเดิมนะ ไม่เคยขาด
ตอนเรากลับเหมือนแม่น่าจะตกลงกับเค้าว่าไม่รับแมวเพื่ม แล้วให้เค้าไปอยู่ห้องนอนข้างบน (ให้เค้าทั้งชั้นจะได้ไม่มาวุ่นวาย) แล้วเค้าก็ไม่มากินข้าวอีก ซึ่งเราก็รู้สึกโอเคขึ้น แม่เราตอนนี้ก็อายุมากแล้ว เริ่มปวดเข่าแต่ก็ยังต้องขึ้นดาดฟ้าไปเลี้ยงแมว ซึ่งเราเคยบอกแม่ว่าเราจะเลี้ยงเอง ไม่อยากให้แม่ขึ้น แต่แม่กลัวเราหนีออกจากบ้านอีก จึงเลี้ยงเองไม่ยอมให้เราขึ้นคนเดียว แต่ถ้าเราขึ้นด้วยได้ เรารู้ว่าแม่รักเรานะ แต่เรารับไม่ไหว เรายังเห็นเค้าเอาแมวมาเพิ่มทุกวัน เอาของของเค้ามาวางตามทางเดินทุก ๆ ชั้น เราจะเห็นของของเค้าวางเต็มไปหมด คือ ยังคงรักษามาตรฐานความไร้มารยาทเหมือนเดิม
เราถามแม่ว่า ถ้าวันไหนเกิดเค้าเสียชีวิต (เราไม่ได้แช่งนะ แค่ถามเผื่อวางแผน) แมวที่เหลือจะยังไง แม่เราบอกว่าเค้าจะยกให้มูลนิธิหมด โดยมีเงื่อนไขว่าจะยกบ้านของเค้าให้มูลนิธิ ซึ่งเราไม่เชื่อเค้าอีกแล้ว เค้าโกหกหลายอย่างมาหลายปี เราไม่แน่ใจว่าแมวกว่าร้อยชีวิตนี้สุดท้ายเราจะต้องมารับต่อยังไง หามูลนิธิต่าง ๆ แม่ก็ไม่เอาเพราะเข็ดรอบนั้นแล้ว ส่วนเพื่อนแม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เค้าบอกว่าเค้าเลี้ยงแมวดีที่สุดแล้ว เค้าไม่ไว้ใจใครนอกจากแม่เรา (ดีใจดีไหมเนี่ย)