สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
เคยอ่านบทความหนึ่ง เขาบอกว่า เราอาจตัดสินใจผิดพลาดหลายครั้งในชีวิต แต่อย่าก่นด่าตัวเอง
กับมีชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" เราเชื่ออย่างนี้นะ
ไม่จำเป็นหรอกว่าเราจะต้องตัดสินใจถูกเสมอไป เพราะชีวิตคือการเดินทาง คือการทดลอง ถ้าเราเดินตามสิ่งที่คนอื่นขีดให้ จะเรียกว่าชีวิตได้เหรอ
เราเชื่อว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าจังหวะชีวิต มันอาจจะเป็นช่วงที่เราไม่แน่ใจ แต่ต้องตัดสินใจแหละ มาถึงทางแยกแล้ว
ก็ทำไปด้วยสติปัญญาที่มีอยู่ในตอนนั้น พิจารณาตามเหตุปัจจัยเท่าที่มี ตัดสินใจไปแล้วก็อย่าเสียใจ เพราะมันทำให้ "เราเป็นเรา" จนถึงทุกวันนี้
เคยทำงานเลขาฯ เจ้านายดีมาก เงินเดือนพอใช้ ได้ไปเมืองนอกปีละครั้ง แต่เรารู้สึกว่าเรามีงานที่อยากทำมากกว่านี้ ก็ลาออกมา
ช่วงแรกที่ออก ยังไม่ได้ทำงานในฝันหรอก ไปอยู่ในออฟฟิศเล็กๆ ที่ต้องทำแทบทุกอย่างเอง โอกาสโตยังมองไม่เห็น
ทำได้ 4 เดือน จู่ๆ โอกาสคว้างานในฝันก็มา เราได้เครดิตงาน 4 เดือนนั้นไปเติมพอร์ท และเป็นส่วนหนึ่งให้ได้ทำงานในฝัน
คิดว่าจบแล้วใช่ไหม? Happy Ending เปล่าเลย ... ทำงานในฝัน ลุ่มๆ ดอนๆ เครียดทั้งคนและงาน
ระหว่างนั้นมีคนชวนไปทำงานต่างประเทศ ที่เราอาจมีโอกาสได้เรียนต่อโทด้วย
แต่เรารู้จักเขาดีเกินกว่าจะคิดว่ามันสวยงามอย่างที่ชักชวน จึงตัดสินใจไม่ไป
หลังจากนั้นตัวคนชวนก็ยังลาออกเองเลย แถมประเทศที่ว่าเกิดหายนภัยร้ายแรง ทั้งสิ่งแวดล้อมและโรคภัย
ถ้าเราตัดสินใจไปตอนนั้น ก็คงต้องลาออกเหมือนกัน
สุดท้ายหลังจากอยู่มาหลายปีกับงานในฝัน เราก็ลาออก ลาออกทั้งๆ ยังไม่มีที่ใหม่ ลาออกเพราะเชื่อใจพี่คนหนึ่งที่บอกว่าจะป้อนงานให้ไม่ขาดสาย
แต่กลายเป็นว่าพี่คนนั้นไม่ป้อนงานให้เราเลย เพิ่งให้งานเราทำหลังจากเราลาออกมาได้ 2 ปี 55555
ดีที่ตอนลาออกหัวหน้าเข้าใจ เขากลายเป็นคนให้งานเราทำตลอด ทั้งๆ ที่ก่อนลาออกเราขัดแย้งกัน ยังรู้สึกขอบคุณเขามาจนวันนี้
คิดว่าได้งานจากหัวหน้าเก่าแล้วจบใช่ไหม? ชีวิตดี เปล่าเลย ... ทำๆ ไปเงินแทบไม่พอใช้ เราเริ่มคิดว่าเราคิดผิดหรือเปล่า
ระหว่างนี้มีเพื่อนแนะนำให้ทำงานกับเขา บริษัทเปิดใหม่ ไม่รู้หมู่หรือจ่า ลองไปทำกัน มีเงินเดือน 20K เข้าออฟฟิศบางวันเท่านั้น
ฟังดูดีเนอะ แต่เหมือนเดิม เรารู้จักเพื่อนเราดีเกินกว่าจะคิดว่ามันสวยงาม เรารักเพื่อนคนนี้นะ แต่เราคิดว่าไม่รอด 555 คิดงี้แหละ สุดท้ายไม่ไปทำ
ปรากฎผ่านไปแค่ปีเดียว บริษัทเจ๊ง คนที่ร่วมหุ้นบินกลับประเทศเขาไป Game Over!
ดีที่เราเกาะงานเก่าเหนียวแน่น ไม่งั้นคงเคว้งเหมือนกัน ระหว่างนี้มีอีกบริษัทชวน ข้อเสนอคล้ายกัน แต่จากการคุย เราเห็นอะไรที่คิดว่าไม่ใช่
แค่นั้นแหละ ตัดสินใจไม่ไป ปรากฏผ่านมาไม่กี่เดือน บริษัทนั้นเจ๊ง โดนยึดทรัพย์!
ทำงานเดิม ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด ท้อใจ งานในสายหายากเหลือเกิน คิดจะเบี่ยงเบนไปสายท่องเที่ยว คงเอาดีทางเดิมไม่ได้แล้ว
แต่ก็ยังโปรยใบสมัคร (งานอิสระในสายเดิม) ไปเรื่อยๆ อย่างมีความหวัง
วันหนึ่งสมัครงานไปที่หนึ่ง เขาให้ทำแบบทดสอบก็ทำ ผลคือผ่าน
ไม่รู้เลยว่าเขาส่งโปรไฟล์เราไปอีกที่หนึ่ง เป็นบริษัทใหญ่พอควร ปรากฏบริษัทนั้นสนใจ เราได้ทำงานกับเขาเก้าเดือน
เป็นเก้าเดือนที่รายได้เพิ่มแบบไม่เคยเยอะอย่างนี้มาก่อน และเป็นเก้าเดือนนรกที่ไม่มีวันหยุดเลย
เราได้เรียนรู้อีกแล้วว่าอะไรเหมาะกับเรา เลยถอยมาก้าวหนึ่ง มาทำงานที่ทำอยู่ในที่ปัจจุบัน
รายได้พอสมควร ไม่ต้องออกจากบ้าน มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว ไม่รวยนะ แต่สามารถเก็บเงินได้นิดหน่อย ชีวิตยังมีความหวัง
ชีวิตเหมือนหนังสือ เหมือนการผจญภัย ยังมีอีกหลายบทที่เรายังไม่ได้เจอ
อย่าคิดว่าที่เจออยู่คือหน้าสุดท้าย ไม่มีอะไรเป็นจุดจบหรอกตราบใดที่เรายังมีชีวิต
อะไรผ่านมาแล้ว ก็ให้เป็นบทเรียน อย่าไปเคียดแค้นมาก
จะเล่าเปรียบเทียบให้ฟัง
ที่บ้านมีต้นวาสนาอยู่ต้นหนึ่ง เราเห็นมันโตแบบมีลำต้นเดียวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนยอดมันโตขึ้นไปยันชายคาบ้านเพราะปลูกใกล้บ้าน
กลุ้มใจ พอจะตัดมีคนบอกว่าวาสนาอย่าตัด ไม่ดี บางคนว่าตัดได้ แต่เรามองแค่ว่ามันจะยันชายคาบ้านอยู่แล้ว ก็ตัดไป
ใจยังคิดว่า สงสัยตายแน่ ตัดครึ่งต้น ปรากฏว่ามันดันแตกกิ่ง จากลำต้นเดียว แตกออกมาจนตอนนี้วาสนาเป็นพุ่มเลย และยังแตกไม่หยุด
จากต้นเดียว ดูเหี่ยวๆ ไม่สวยเลย กลายเป็นพุ่มวาสนา แตกกิ่งออกไปเรื่อยๆ
ชีวิตมีทางไปของมัน สิ่งมีชีวิตทุกอย่างดิ้นรนเพื่อจะอยู่รอด ทิ้งใบ ทิ้งกิ่งที่เหี่ยวแห้ง แล้วแตกตาใหม่เพื่อมีชีวิตต่อ
ทางเดินทางเดิมอาจพาเราไปถูกหรือผิดก็ได้ ที่สำคัญกว่าคือเมื่อเลือกทางใหม่แล้ว อย่าเสียกำลังใจ ลองดูสักตั้ง เดี๋ยวมันก็มีทางไปต่อเองแหละ
กับมีชื่อหนังสือเล่มหนึ่งที่บอกว่า "สิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" เราเชื่ออย่างนี้นะ
ไม่จำเป็นหรอกว่าเราจะต้องตัดสินใจถูกเสมอไป เพราะชีวิตคือการเดินทาง คือการทดลอง ถ้าเราเดินตามสิ่งที่คนอื่นขีดให้ จะเรียกว่าชีวิตได้เหรอ
เราเชื่อว่ามันมีสิ่งที่เรียกว่าจังหวะชีวิต มันอาจจะเป็นช่วงที่เราไม่แน่ใจ แต่ต้องตัดสินใจแหละ มาถึงทางแยกแล้ว
ก็ทำไปด้วยสติปัญญาที่มีอยู่ในตอนนั้น พิจารณาตามเหตุปัจจัยเท่าที่มี ตัดสินใจไปแล้วก็อย่าเสียใจ เพราะมันทำให้ "เราเป็นเรา" จนถึงทุกวันนี้
เคยทำงานเลขาฯ เจ้านายดีมาก เงินเดือนพอใช้ ได้ไปเมืองนอกปีละครั้ง แต่เรารู้สึกว่าเรามีงานที่อยากทำมากกว่านี้ ก็ลาออกมา
ช่วงแรกที่ออก ยังไม่ได้ทำงานในฝันหรอก ไปอยู่ในออฟฟิศเล็กๆ ที่ต้องทำแทบทุกอย่างเอง โอกาสโตยังมองไม่เห็น
ทำได้ 4 เดือน จู่ๆ โอกาสคว้างานในฝันก็มา เราได้เครดิตงาน 4 เดือนนั้นไปเติมพอร์ท และเป็นส่วนหนึ่งให้ได้ทำงานในฝัน
คิดว่าจบแล้วใช่ไหม? Happy Ending เปล่าเลย ... ทำงานในฝัน ลุ่มๆ ดอนๆ เครียดทั้งคนและงาน
ระหว่างนั้นมีคนชวนไปทำงานต่างประเทศ ที่เราอาจมีโอกาสได้เรียนต่อโทด้วย
แต่เรารู้จักเขาดีเกินกว่าจะคิดว่ามันสวยงามอย่างที่ชักชวน จึงตัดสินใจไม่ไป
หลังจากนั้นตัวคนชวนก็ยังลาออกเองเลย แถมประเทศที่ว่าเกิดหายนภัยร้ายแรง ทั้งสิ่งแวดล้อมและโรคภัย
ถ้าเราตัดสินใจไปตอนนั้น ก็คงต้องลาออกเหมือนกัน
สุดท้ายหลังจากอยู่มาหลายปีกับงานในฝัน เราก็ลาออก ลาออกทั้งๆ ยังไม่มีที่ใหม่ ลาออกเพราะเชื่อใจพี่คนหนึ่งที่บอกว่าจะป้อนงานให้ไม่ขาดสาย
แต่กลายเป็นว่าพี่คนนั้นไม่ป้อนงานให้เราเลย เพิ่งให้งานเราทำหลังจากเราลาออกมาได้ 2 ปี 55555
ดีที่ตอนลาออกหัวหน้าเข้าใจ เขากลายเป็นคนให้งานเราทำตลอด ทั้งๆ ที่ก่อนลาออกเราขัดแย้งกัน ยังรู้สึกขอบคุณเขามาจนวันนี้
คิดว่าได้งานจากหัวหน้าเก่าแล้วจบใช่ไหม? ชีวิตดี เปล่าเลย ... ทำๆ ไปเงินแทบไม่พอใช้ เราเริ่มคิดว่าเราคิดผิดหรือเปล่า
ระหว่างนี้มีเพื่อนแนะนำให้ทำงานกับเขา บริษัทเปิดใหม่ ไม่รู้หมู่หรือจ่า ลองไปทำกัน มีเงินเดือน 20K เข้าออฟฟิศบางวันเท่านั้น
ฟังดูดีเนอะ แต่เหมือนเดิม เรารู้จักเพื่อนเราดีเกินกว่าจะคิดว่ามันสวยงาม เรารักเพื่อนคนนี้นะ แต่เราคิดว่าไม่รอด 555 คิดงี้แหละ สุดท้ายไม่ไปทำ
ปรากฎผ่านไปแค่ปีเดียว บริษัทเจ๊ง คนที่ร่วมหุ้นบินกลับประเทศเขาไป Game Over!
ดีที่เราเกาะงานเก่าเหนียวแน่น ไม่งั้นคงเคว้งเหมือนกัน ระหว่างนี้มีอีกบริษัทชวน ข้อเสนอคล้ายกัน แต่จากการคุย เราเห็นอะไรที่คิดว่าไม่ใช่
แค่นั้นแหละ ตัดสินใจไม่ไป ปรากฏผ่านมาไม่กี่เดือน บริษัทนั้นเจ๊ง โดนยึดทรัพย์!
ทำงานเดิม ลุ่มๆ ดอนๆ มาตลอด ท้อใจ งานในสายหายากเหลือเกิน คิดจะเบี่ยงเบนไปสายท่องเที่ยว คงเอาดีทางเดิมไม่ได้แล้ว
แต่ก็ยังโปรยใบสมัคร (งานอิสระในสายเดิม) ไปเรื่อยๆ อย่างมีความหวัง
วันหนึ่งสมัครงานไปที่หนึ่ง เขาให้ทำแบบทดสอบก็ทำ ผลคือผ่าน
ไม่รู้เลยว่าเขาส่งโปรไฟล์เราไปอีกที่หนึ่ง เป็นบริษัทใหญ่พอควร ปรากฏบริษัทนั้นสนใจ เราได้ทำงานกับเขาเก้าเดือน
เป็นเก้าเดือนที่รายได้เพิ่มแบบไม่เคยเยอะอย่างนี้มาก่อน และเป็นเก้าเดือนนรกที่ไม่มีวันหยุดเลย
เราได้เรียนรู้อีกแล้วว่าอะไรเหมาะกับเรา เลยถอยมาก้าวหนึ่ง มาทำงานที่ทำอยู่ในที่ปัจจุบัน
รายได้พอสมควร ไม่ต้องออกจากบ้าน มีเวลาให้ตัวเองและครอบครัว ไม่รวยนะ แต่สามารถเก็บเงินได้นิดหน่อย ชีวิตยังมีความหวัง
ชีวิตเหมือนหนังสือ เหมือนการผจญภัย ยังมีอีกหลายบทที่เรายังไม่ได้เจอ
อย่าคิดว่าที่เจออยู่คือหน้าสุดท้าย ไม่มีอะไรเป็นจุดจบหรอกตราบใดที่เรายังมีชีวิต
อะไรผ่านมาแล้ว ก็ให้เป็นบทเรียน อย่าไปเคียดแค้นมาก
จะเล่าเปรียบเทียบให้ฟัง
ที่บ้านมีต้นวาสนาอยู่ต้นหนึ่ง เราเห็นมันโตแบบมีลำต้นเดียวสูงขึ้นเรื่อยๆ จนยอดมันโตขึ้นไปยันชายคาบ้านเพราะปลูกใกล้บ้าน
กลุ้มใจ พอจะตัดมีคนบอกว่าวาสนาอย่าตัด ไม่ดี บางคนว่าตัดได้ แต่เรามองแค่ว่ามันจะยันชายคาบ้านอยู่แล้ว ก็ตัดไป
ใจยังคิดว่า สงสัยตายแน่ ตัดครึ่งต้น ปรากฏว่ามันดันแตกกิ่ง จากลำต้นเดียว แตกออกมาจนตอนนี้วาสนาเป็นพุ่มเลย และยังแตกไม่หยุด
จากต้นเดียว ดูเหี่ยวๆ ไม่สวยเลย กลายเป็นพุ่มวาสนา แตกกิ่งออกไปเรื่อยๆ
ชีวิตมีทางไปของมัน สิ่งมีชีวิตทุกอย่างดิ้นรนเพื่อจะอยู่รอด ทิ้งใบ ทิ้งกิ่งที่เหี่ยวแห้ง แล้วแตกตาใหม่เพื่อมีชีวิตต่อ
ทางเดินทางเดิมอาจพาเราไปถูกหรือผิดก็ได้ ที่สำคัญกว่าคือเมื่อเลือกทางใหม่แล้ว อย่าเสียกำลังใจ ลองดูสักตั้ง เดี๋ยวมันก็มีทางไปต่อเองแหละ
ความคิดเห็นที่ 15
10 กว่าปีก่อนตอนเราจบใหม่ๆ เราเคยสอบได้โครงการผู้บริหารรุ่นใหม่ fast track ของราชการ จำได้ว่าสอบแข่งกับคนเกือบแสนละมั้ง
สอบ 3-4 รอบ (ถ้าจำไม่ผิด) สอบทั่วไปก่อน แล้วมาสอบข้อเขียน ตามด้วยสอบสัมภาษณ์
ที่พีคคือตอนนั้นมี evaluation รอบสุดท้ายที่แบ่งเป็นฐาน ให้จับกลุ่มให้แต่ละคนอยู่ปนๆกัน วนไปทำกิจกรรมแต่ละฐาน มีผู้สังเกตการณ์คอยดูแต่ละคน และให้คะแนน
โครงการเลือกแค่ 30 คนหรือยังไงนี่แหละ เราจำได้ว่าเราเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น ยังงงๆว่าผ่านมาได้ไง
ช่วงเทรนของโครงการคือส่งเข้าไปเรียนในศศินของจุฬา ต่อด้วยเทรนในหน่วยงานรัฐส่วนกลางก่อน แล้วไปส่วนภูมิภาค ต่อด้วยส่งไปเทรนในภาคเอกชน แล้วไปอยู่สถานทูตไทยในต่างประเทศ รวมทั้งหมด 2 ปี แล้วถึงถูกประเมินและจำหน่ายเข้าหน่วยงานรัฐตามความเหมาะสมของแต่ละคน
เป็นโครงการที่รัฐลงทุนมากนะสำหรับสมัยนั้น แต่ไม่รู้ทำไม วันที่ต้องเซ็นต์สัญญา จะมีปฐมนิเทศนตอนเช้า เซ็นต์สัญญาตอนบ่าย
เราอยู่ช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายเราก็เดินออกจากห้อง เรียกแท็กซี่กลับบ้าน
ทุกคนที่บ้านเฟลมาก เฟลมากๆ
เราอธบายไม่ถูกเลยว่าตอนนั้นแม่เรารู้สึกแย่ขนาดไหน เพราะแม่เราเองก็เป็นข้าราชการ และคาดหวังว่าเราจะไปรุ่งกับโครงการนี้มาก ใครๆก็อยากได้ แม่บอก
แต่แม่เคารพในการตัดสินใจของเรา การตัดสินใจที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยมารองรับในตอนนั้น แค่เพราะเรารู้สึกว่า "มันไม่ใช่"
ผ่านมา 10 กว่าปี ชีวิตเราตอนนี้ก็ใช่ว่าจะรุ่งเรืองนะคะ 555 ลุ่มๆดอนๆมาพอควร แต่ก็ถือว่าไม่แย่
เราจบปริญญาโท มีโอกาสไปใช้ชีวิตหาประสบการณ์ต่างประเทศระยะหนึ่ง กลับมาทำงาน UN ตอนนี้ทำงานบริษัท Global แห่งหนึ่ง ก็คงกำลังเดินทางต่อไปเรื่อยๆตามประสาสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" น่ะนะ
เราเคยสงสัยเหมือนกันว่าพี่ๆรุ่นเดียวกับเรา ตอนนี้คงไปได้ไกลแล้วละมั้ง รู้แต่ว่าทั้งรุ่น มีเราที่ไม่เซ็นต์สัญญา 1 คน และอีก 2 คนลาออกเพราะมีเหตุผลจำเป็น
แต่เราไม่เคยรู้สึกเสียดายเลยนะ ไม่เคยเลยแม้แต่นาทีเดียว เราอาจจะเคยสงสัยว่าจะเป็นยังไงกันนะถ้าวันนั้นเราเลือกเซ็นต์สัญญาไป แต่ก็เป็นแค่ความขี้สงสัย เราไม่ได้เสียดาย
เขียนมายาวเลย เราแค่จะบอกว่าบางครั้งเราก็ต้องใช้ความรู้สึกนำทางค่ะ และเราต้องเข้มแข็งกับสิ่งที่เรามี ที่เราเป็นในทุกวันนี้ การกลับไปมองวันเก่าๆ กับประโยคที่เริ่มว่า "รู้งี้" มันไม่มีประโยชน์เลย นอกจากจะรั้งเราไว้ไม่ให้กล้าใช้ชีวิตของเราต่อ
ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน เราแค่ต้องเชื่อมันและเข้มแข็งค่ะ
สอบ 3-4 รอบ (ถ้าจำไม่ผิด) สอบทั่วไปก่อน แล้วมาสอบข้อเขียน ตามด้วยสอบสัมภาษณ์
ที่พีคคือตอนนั้นมี evaluation รอบสุดท้ายที่แบ่งเป็นฐาน ให้จับกลุ่มให้แต่ละคนอยู่ปนๆกัน วนไปทำกิจกรรมแต่ละฐาน มีผู้สังเกตการณ์คอยดูแต่ละคน และให้คะแนน
โครงการเลือกแค่ 30 คนหรือยังไงนี่แหละ เราจำได้ว่าเราเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในรุ่น ยังงงๆว่าผ่านมาได้ไง
ช่วงเทรนของโครงการคือส่งเข้าไปเรียนในศศินของจุฬา ต่อด้วยเทรนในหน่วยงานรัฐส่วนกลางก่อน แล้วไปส่วนภูมิภาค ต่อด้วยส่งไปเทรนในภาคเอกชน แล้วไปอยู่สถานทูตไทยในต่างประเทศ รวมทั้งหมด 2 ปี แล้วถึงถูกประเมินและจำหน่ายเข้าหน่วยงานรัฐตามความเหมาะสมของแต่ละคน
เป็นโครงการที่รัฐลงทุนมากนะสำหรับสมัยนั้น แต่ไม่รู้ทำไม วันที่ต้องเซ็นต์สัญญา จะมีปฐมนิเทศนตอนเช้า เซ็นต์สัญญาตอนบ่าย
เราอยู่ช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายเราก็เดินออกจากห้อง เรียกแท็กซี่กลับบ้าน
ทุกคนที่บ้านเฟลมาก เฟลมากๆ
เราอธบายไม่ถูกเลยว่าตอนนั้นแม่เรารู้สึกแย่ขนาดไหน เพราะแม่เราเองก็เป็นข้าราชการ และคาดหวังว่าเราจะไปรุ่งกับโครงการนี้มาก ใครๆก็อยากได้ แม่บอก
แต่แม่เคารพในการตัดสินใจของเรา การตัดสินใจที่ไม่มีเหตุผลอะไรเลยมารองรับในตอนนั้น แค่เพราะเรารู้สึกว่า "มันไม่ใช่"
ผ่านมา 10 กว่าปี ชีวิตเราตอนนี้ก็ใช่ว่าจะรุ่งเรืองนะคะ 555 ลุ่มๆดอนๆมาพอควร แต่ก็ถือว่าไม่แย่
เราจบปริญญาโท มีโอกาสไปใช้ชีวิตหาประสบการณ์ต่างประเทศระยะหนึ่ง กลับมาทำงาน UN ตอนนี้ทำงานบริษัท Global แห่งหนึ่ง ก็คงกำลังเดินทางต่อไปเรื่อยๆตามประสาสิ่งที่เรียกว่า "ชีวิต" น่ะนะ
เราเคยสงสัยเหมือนกันว่าพี่ๆรุ่นเดียวกับเรา ตอนนี้คงไปได้ไกลแล้วละมั้ง รู้แต่ว่าทั้งรุ่น มีเราที่ไม่เซ็นต์สัญญา 1 คน และอีก 2 คนลาออกเพราะมีเหตุผลจำเป็น
แต่เราไม่เคยรู้สึกเสียดายเลยนะ ไม่เคยเลยแม้แต่นาทีเดียว เราอาจจะเคยสงสัยว่าจะเป็นยังไงกันนะถ้าวันนั้นเราเลือกเซ็นต์สัญญาไป แต่ก็เป็นแค่ความขี้สงสัย เราไม่ได้เสียดาย
เขียนมายาวเลย เราแค่จะบอกว่าบางครั้งเราก็ต้องใช้ความรู้สึกนำทางค่ะ และเราต้องเข้มแข็งกับสิ่งที่เรามี ที่เราเป็นในทุกวันนี้ การกลับไปมองวันเก่าๆ กับประโยคที่เริ่มว่า "รู้งี้" มันไม่มีประโยชน์เลย นอกจากจะรั้งเราไว้ไม่ให้กล้าใช้ชีวิตของเราต่อ
ทุกอย่างมีเหตุผลของมัน เราแค่ต้องเชื่อมันและเข้มแข็งค่ะ
แสดงความคิดเห็น
ใครเคยทิ้งโอกาสดีๆในชีวิต แต่กลายเป็นว่า มันกลับเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องบ้างคะ
แต่ที่แน่ๆคือ ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจละทิ้งโอกาสนั้นมา เราเองก็ต้องเสียอย่างอื่นรอบตัวไปด้วย แต่ได้โอกาสอื่นๆใหม่ๆที่ดีขึ้นเรื่อยๆเหมือนกัน ชีวิตเราก็ดีขึ้นและมีความสุขนะคะ เพียงแต่มีบางทีที่แอบเสียดาย
เพื่อนเราบอกว่า ดีแล้วที่เราตัดสินใจแบบนี้ เพราะถ้าเราตกลงรับวันนั้น วันนี้อาจจะแย่มากกว่าเป็นผลดีก็ได้
มีใครที่เคยทิ้งโอกาสดีๆไป แต่กลับกลายเป็นว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องบ้างมั้ยคะ