เจียงใหม่...ไปโตยครับ



          “อยากไปเที่ยวเชียงใหม่” ผมมักได้ยินคำพูดหรือได้เห็นข้อความทำนองนี้อยู่บ่อย ๆ จากเพื่อนพ้องน้องพี่และคนรอบตัว แม้ว่าผมจะเคยไปเชียงใหม่อยู่บ้าง แต่ก็ยังรู้สึกว่าเชียงใหม่มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายรอให้ผมไปเยือน แม้บางที่ถึงจะเคยไปแล้วก็ยังเรียกชวนให้กลับไปอีกจนได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

          “ไปเชียงใหม่กัน ช่วงปลาย ก.ค.” รุ่นน้องที่รู้จักส่งข้อความมาชวนผม “ที่วันหยุดยาวเหรอ น้องมีแผนยังไงบ้าง” ผมลังเลอยู่บ้าง เลยถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง “ก็เดือนก่อนพึ่งลงใต้ไปสงขลา เดือนต่อมาขึ้นเชียงใหม่จะไหวเหรอ” ผมนึกในใจ ก่อนจะหาข้อมูลและวางแผนเที่ยวเชียงใหม่ นี่คงเป็นคำตอบตกลงโดยปริยายสินะ

24 ก.ค. 2563
          วันนี้เป็นวันศุกร์แห่งชาติที่จะได้หยุดยาวถึง 4 วัน ฝนตกตอนเช้า รถก็ติดรอบเช้า ฝนตกรอบบ่าย รถก็ติดตั้งแต่เย็นถึงค่ำ ชีวิตในกรุงเทพก็เป็นแบบนี้ ชีวิตดี ๆ ที่ลงตัว? เย็นวันนี้ เมื่อเวลาทำงานสิ้นสุดลง เวลาเดินทางก็เริ่มต้นขึ้น ระยะทางประมาณ 20 กิโลเมตร ในการเดินทางไปขึ้นรถไฟที่สถานีกรุงเทพ กลับต้องใช้เวลากว่า 2 ชั่วโมง “จะไปขึ้นรถไฟทันไหม” ผมแต่ภาวนาในใจและมองดูนาฬิกาข้อมืออยู่เรื่อย ๆ

          19.05 น. ถึงสถานีรถไฟกรุงเทพแล้ว เหลือเวลาอีก 30 นาที ก่อนที่รถด่วนพิเศษขบวนที่ 13 กรุงเทพ – เชียงใหม่ จะออกจากชานชาลาที่  6 ผมเจอรุ่นน้องที่มารออยู่ก่อน และขอตัวเดินไปซื้อน้ำเปล่าขวดใหญ่ไว้กินบนขบวนรถ ก่อนจะขึ้นไปนั่งตามตู้และเลขที่นั่งที่ระบุไว้ในตั๋วให้เรียบร้อย
 
          20.35 น. หลังจากเปลี่ยนตู้โดยสารคันที่ 2 ที่มีปัญหาแล้ว ก็ได้เวลาออกเดินทางไปเชียงใหม่ ล่าช้ากว่ากำหนดไป 1 ชั่วโมงพอดี แล้วพนักงานประจำตู้ก็เดินมาปูเตียง ผมปีนขึ้นไปนอนเตียงบนแล้วก็หลับไป...

25 ก.ค. 63
          ผมตื่นอีกครั้งประมาณ 6 โมงเช้า รถไฟกำลังจะถึงสถานีเด่นชัย ผู้โดยสารหลายคนลงที่สถานีนี้ ซึ่งสามารถต่อรถโดยสารไปตัวเมืองแพร่หรือไปจังหวัดน่านก็ได้ แต่กว่าจะถึงเชียงใหม่ยังอีกไกลเหมือนกัน
          พนักงานประจำตู้เริ่มเก็บเตียงที่ว่างแล้ว ผมย้ายตัวลงจากเตียงบนไปนั่งแทนที่ผู้โดยสารที่ลงไปแล้ว มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นทิวเขาและต้นไม้ทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก สลับกับทุ่งนาเล็ก ๆ และหมู่บ้านเป็นบางช่วง บางคราวก็มีหมอกขาวลอยปกคลุมยอดเขาอยู่บาง ๆ รถไฟก็ยังคงแล่นลัดเลาะไปตามไหล่เขาโค้งแล้วโค้งเล่า ลอดอุโมงค์เขาพลึง อุโมงค์ปางตูบขอบ อุโมงค์ห้วยแม่ลาน อุโมงค์ขุนตาน ข้ามสะพานสองหอ สะพานสามหอ และสะพานคอมโพสิต 
          ประมาณสิบโมงกว่า ๆ รถไฟก็ถึงสถานีลำพูนแล้ว โดยมีสวนลำไยและต้นลำไยสองข้างทางเป็นเครื่องยืนยัน ถัดออกไปเป็นต้นยางนาที่ขึ้นเป็นแถวเป็นแนวไปตามถนนเชียงใหม่ – ลำพูนสายเก่า ส่วนเงาดำ ๆ ที่อยู่ไกลลิบก็คือดอยสุเทพนั่นเอง



- Stay North Gate Bed and Breakfast -

          10.40 น. กว่า 15 ชั่วโมงบนรถไฟ ถึงสถานีเชียงใหม่สักที หลังจากกรอกข้อมูลลงทะเบียนเข้าจังหวัดตามมาตรการป้องกันโรคติดเชื้อโควิด – 19 แล้ว ผมขึ้นรถแดงไปที่พักแถวประตูช้างเผือกด้านทิศเหนือของเมืองเชียงใหม่ Stay North Gate Bed and Breakfast ติดต่อเช็คอิน อาบน้ำและเปลี่ยนชุดก่อนจะออกจากที่พักอีกครั้งราว 11.30 น.

          วันนี้อากาศร้อนอบอ้าว แสงแดดแผดจ้าและท้องฟ้าสดใส ช่วงบ่ายนี้ผมวางแผนว่าจะปั่นจักรยานเที่ยววัดในเมืองเชียงใหม่ ออกจากที่พักแล้วก็เดินไปหาร้านเช่าจักรยานแถววัดล่ามช้าง ผมกับรุ่นน้องเช่ากันคนละคัน ค่าเช่า 50 บาท/24 ชั่วโมง มีเงินมัดจำอีกคันละหนึ่งพันบาท พอเช่าจักรยานเสร็จก็เที่ยงพอดี แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เที่ยงนี้ได้ฝากท้องไว้กับร้านก๋วยจั๊บน้ำข้นสามกษัตริย์ รสชาติไม่จัดมาก เครื่องเยอะใช้ได้ ราคาชามละ 80 บาท อิ่มแล้วก็เริ่มปั่นจักรยานไปวัดพระสิงห์ วัดเจดีย์หลวง วัดพันเตา วัดพันอ้น วัดศรีสุพรรณ และวัดสวนดอก ตามลำดับ 


- วัดพระสิงห์ -


- วัดเจดีย์หลวง -


- วัดพันเตา -

- วัดศรีสุพรรณ -


- วัดสวนดอก -


- แดดมันช่างจ้าซะเหลือเกิน -

          ผมกลับมาที่พักอีกครั้งราว 17.00 น. ขอตากแอร์เย็น ๆ และพักผ่อนเอาแรงหน่อย ตอนเย็นแดดร่มลมตกแล้วออกจากที่พัก เดินตามถนนพระปกเกล้ามาเรื่อย ๆ จนถึงประตูเชียงใหม่ด้านทิศใต้ของเมือง ตั้งใจว่าจะไปถนนคนเดินวัวลาย แต่พอไปถึงก็เห็นป้ายเล็ก ๆ ติดไว้ที่เสาไฟว่า “ถนนคนเดินวันเสาร์ยังไม่เปิด” พร้อมกับถนนวัวลายที่ว่างเปล่า “ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ยังมีถนนคนเดินท่าแพ” ผมปลอบใจตัวเอง ก่อนจะข้ามถนนกลับมาถ่ายรูปเล่นที่ประตูเชียงใหม่ในยามค่ำ เดินหาของกินในตลาดโต้รุ่งที่อยู่ข้าง ๆ กัน แล้วสั่งสุกี้แห้งหมูมากินหนึ่งจานก่อนเดินกลับที่พัก ฝนตกปรอย ๆ ลงมาระหว่างทาง เมืองเชียงใหม่กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง แต่ยังรอคอยแสงอาทิตย์มาปลุกให้ตื่นในวันพรุ่งนี้...



26 ก.ค. 63
          6.15 น. ก่อนเอาจักรยานไปคืน ผมปั่นจักรยานเล่นอีกครั้ง เข้าถนนเส้นนั้นเส้นนี้ ก่อนจะมาหยุดที่กาดจ๊างเผือกหรือตลาดช้างเผือกใกล้ ๆ กับที่พัก ที่ริมถนนด้านหน้าตลาด พ่อค้าแม่ค้านำของมาวางขายเรียงกันไป มีทั้งผัก ผลไม้ เห็ด หน่อไม้ ขนมหวาน และอาหารคาว บางอย่างเป็นอาหารพื้นเมืองที่ผมไม่เคยเห็น ราคาสินค้าอาหารที่นี่ไม่แพงเลย เงินหนึ่งร้อยบาทซื้ออาหารหวานคาว ของว่างและผลไม้ ยังมีทอน ผมซื้อข้าวนึ่ง ลาบคั่ว น้ำเต้าหู้ทรงเครื่อง และส้มสายน้ำผึ้ง กลับมากินเป็นมื้อเช้าที่โฮสเทล ส่วนอาหารเช้าของที่โฮสเทลเตรียมไว้ เป็นแบบฝรั่ง ก็มีวาฟเฟิล ซีเรียล นมสด ขนมปัง แยมและเนย พอกินข้าวเช้าเสร็จ อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ไปคืนจักรยาน สำหรับแผนการเดินทางวันนี้คือ ไปวัดพระธาตุดอยคำ และเที่ยวบนดอยสุเทพ โดยติดต่อเหมารถพร้อมคนขับไว้ให้พาเที่ยวทั้งวัน

          เริ่มต้นที่วัดพระธาตุดอยคำ วัดตั้งอยู่บนเขาด้านหลังอุทยานราชพฤกษ์ ประชาชนนิยมมากราบหลวงพ่อทันใจ และแก้บนด้วยพวงมาลัยดอกมะลิ ดอยคำแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของโครงการหลวงและเป็นที่มาของน้ำผลไม้ “ดอยคำ” 

- วัดพระธาตุดอยคำ -

         ลงจากพระธาตุดอยคำแล้ว ลุงคนขับพาเราขึ้นดอยสุเทพ ไปพระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ มีค่าเข้าชมคนละ 20 บาท อากาศบนนี้เย็นสบาย วันที่ผมไปอุณหภูมิประมาณ 27 องศาเซลเซียส แม้จะมีแดดส่อง แต่ลมเย็นที่พัดเรื่อย ๆ ก็ช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ลุงคนขับพาพวกเราเดินเที่ยวและบอกชื่อต้นไม้ต่าง ๆ ในพระตำหนักภูพิงค์ สวนดอกไม้สวย ๆ มีอยู่ทั่วไป มีพันธุ์ไม้เมืองหนาวทั้งสนสองใบ สนหางสิงโต ดอกไฮเดรนเยีย แต่ที่พบมากที่สุดน่าจะเป็นดอกกุหลาบพันธุ์ต่าง ๆที่แข่งกันบานอวดสีสันและส่งกลิ่นหอมให้ผู้คน บางส่วนเป็นแปลงโล่ง ๆ ที่กำลังเตรียมดินไว้ปลูกดอกไม้สำหรับฤดูหนาวที่จะมาถึง ผมใช้เวลาที่นี่เกือบสองชั่วโมงจึงเดินได้ทั่ว

      

- พระตำหนักภูพิงค์ -

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่