แชร์ประสบการณ์ขายตรงกับบริษัท A และ บริษัท B ( บริษัท B โดนมันตั้งแต่ต้นปี 64!! )

***ยาวหน่อยนะคะ เป็นกระทู้แรกของเราเลย อาจจะเขียนไม่ดีเท่าที่ควร แต่อยากให้ลองอ่านกันดูค่ะ***
เริ่มกันที่บริษัท A 
          ช่วงที่เริ่มเข้าไปทำตอนนั้นอายุประมาณ 18 ปี ( ประมาณ 3 ปีก่อน ) เนื่องจากมีเพื่อนที่คณะเดียวกันมาชวน ซึ่งตอนนั้นเราอยากหาอะไรทำอยู่พอดีประกอบกับเป็นช่วงที่เลิกกับแฟน เลยว่างมากๆอยากหาอะไรทำ นี่จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ดี ตอนนั้นโดยส่วนตัวก็รู้อยู่ว่าน่าจะเป็นการขายตรง แต่ด้วยความอยากรู้ว่าภายในองค์กรเป็นยังไงเลยตัดสินใจตอบตกลง

          หลังจากตอบตกลงเพื่อนก็นัดเวลาให้เราไปเจออัพไลน์ของเขา เพื่ออธิบายข้อมูลต่างๆ เริ่มจากประโยคที่ทุกคนคุ้นเคยเลยว่า “ Passive income “ คืออะไร ถามเรื่องครอบครัวนู่นนี่นั่น ซึ่งเราค่อนข้างเซนซิทีฟเรื่องนี้ แล้วพอเราฟังไปเรื่อยๆ มันก็ค่อยๆเปิดใจเราให้อยากลองทำมากขึ้น อยากได้เงินมาช่วยที่บ้าน เพราะเราก็เป็นคนนึงที่มีฐานะไม่ดี ไม่อยากให้แม่ทำงานหาเงินคนเดียว

          พอผ่านไปซักระยะ เขาก็จะไม่มาเจอเราแล้ว เราต้องไปเรียนรู้เองที่ center ทุกวันพุธ ซึ่งเราก็ไปเกือบทุกครั้ง ใน center ก็จะมีคนรุ่นราวคราวเดียวกับเราอยู่เยอะมาก ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักศึกษาด้วย ตอนไปครั้งแรกคือแบบตกใจมาก เพราะเวลาใครขึ้นไปพูดบนเลทีหรือแม้แต่ตอนที่เปิดคลิปไปเที่ยวต่างประเทศ ไลฟ์สไตล์ ทุกคนปรบมือ กรี๊ด ส่งเสียงแบบสุดมาก นี่คิดในใจอะไรจะขนาดนั้น!! แล้วก็ทำตามเขาไป ตอนแรกเราตื่นเต้นมากนะที่ธุรกิจนี้ทำให้ได้ไปต่างประเทศแบบฟรี ๆ ได้ด้วย ส่วนใน center ก็จะสอนเรื่องแนวคิดต่างๆ สินค้า เล่าประสบการณ์ ฯลฯ เคยมีครั้งนึงยอมเสียเงิน 1,600 บาท เพื่อไปเข้าแคมป์เลยด้วย

          พอเขาเห็นว่าเราตั้งใจอยากทำ ก็จะให้เริ่มทำ โดยเริ่มจากลิสต์รายชื่อเพื่อน ญาติ คนรู้จัก แล้วหลังจากนั้นก็จะให้นัดเวลามาคุย ให้ข้อมูลต่างๆนานา ซึ่งส่วนนี้แหละเป็นส่วนที่เราไม่ชอบเลย เพราะเหมือนว่าให้เราไปหลอกคนอื่นมาฟังแผนงานที่เหมือนกับจะไม่ใช่การขายตรง แต่จริงๆแล้ว มันก็คือการขายตรง!! เราก็ลองเริ่มทำ แต่พอทำแต่ละครั้งมันรู้สึกไม่สบายใจเลย เพราะคิดว่าถ้าทุกอย่างมันดีจริง มันขายได้จริง ทำไมไม่เปิดเผยข้อมูลตั้งแต่แรกไปเลย นอกจากนี้ยังพยายามให้เราเริ่มขายสินค้ากับคนในครอบครัวด้วย มันยิ่งทำให้เราลำบากใจไปใหญ่ เพราะมาจากครอบครัวที่ไม่มีรายได้มาก แม้แต่ญาติๆของเราเองก็เหมือนกัน ราคาสินค้าก็ไม่ใช่เล่นๆ เราจึงเริ่มรู้สึกว่า เราไม่มีทางขายได้แน่ๆ เลยค่อยๆปลีกตัวออกมา บอกเพื่อนที่ชวนเราว่ารู้สึกไม่ใช่ทาง ไม่สบายใจที่หลอกคนอื่น แล้วทุกอย่างก็จบ

          สรุป คือ เขาจะพยายามหาจุดอ่อนของเรา แล้วสร้างฝันให้กับเรา เพื่อให้เราทำธุรกิจกับเขาให้ได้ อย่างเคสของเราก็คือเรื่องครอบครัว ส่วนสินค้า บอกเลยว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพจริงๆ จากการเข้าฟังและการดูสาธิตสินค้า มันดีมาก ๆ อันนี้ไม่เถียง แล้วพวกแนวคิดที่สอนก็ดี แต่สิ่งที่ไม่ดีมาก ๆ คือ วิธีการขายที่ต้องหลอกคนไปเรื่อยๆ ไม่จบสิ้น ค่าเสียหายกับประสบการณ์ครั้งนี้หากคำนวณแล้วก็เกือบ ๆ 5,000 เพราะเราเดินทางไป center บ่อยมาก และค่ารถตู้ก็ค่อนข้างแพง แล้วก็เป็นค่าแคมป์ และเอาจริงๆนะ ที่บอกว่าเหนื่อยครั้งเดียวแล้วไม่ต้องเหนื่อยอีกเลยเนี่ย คือมันเป็นแบบนั้นจริงหรอ กว่าจะขายได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ต้องหาลูกทีมอีก แล้วถ้าได้เป็นหัวหน้าทีม แม้จะได้รายได้จากเปอร์เซ็นต์ก็ลูกทีมก็จริง มันก็ยังต้องทำอยู่ ยังต้องมาคอยเป็น speaker คอยวางแผนอยู่ดี 

 
มาต่อกันที่บริษัท B 
          เรื่องเพิ่งเกิดสดๆร้อนๆกับเราเลย ช่วงนี้เป็นช่วงโควิด-19 ต้นปี 64 ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็จะตกงานกันหรือว่างาน เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ว่างงาน เพราะเป็นช่วงรอคะแนนออกเพื่อแจ้งจบอยู่ และด้วยความที่ตอนนี้สถานการณ์การเงินของทางบ้านแย่ลงกว่าเดิม เลยคิดว่าถ้าจะรอนานขนาดนั้นคงไม่ทัน เลยเข้าไปดูในเพจหางาน แล้วก็เจอโพสต์เกี่ยวกับ “รับสมัครคนช่วยคอนเฟิร์มออร์เดอร์ รายได้ 3,000-5,000 ต่อสัปดาห์” ( ทุกคนคงเคยเห็นโพสต์แบบนี้ เพราะตอนนี้มีเยอะมาก ) เราเลยตัดสินใจแอดไลน์ไป แล้วเรื่องทุกอย่างก็ได้เริ่มต้นขึ้น

          พอเราแอดไลน์ไปเขาก็จะให้กรอกข้อมูล เช่น ชื่อ ชื่อเฟส ชื่อเล่น เบอร์โทร อายุ อาชีพ ซึ่งหลังจากเรากรอกไป พี่เขาก็จะส่งข้อความอธิบางานเข้ามา ( เดี๋ยวจะแนบรูปไว้ให้นะคะ ) พออ่านเสร็จแล้ว เราก็สนใจ เพราะมันก็ยังบอกแค่ช่วยคอนเฟิร์มออร์เดอร์ วันถัดมาพี่คนที่เราไปสมัครด้วยก็จะให้ลิงค์เพื่อเข้าไปเรียนการทำงานต่างๆ ซึ่งเราก็เข้าไป นั่งฟังไปทุกวันๆ ก็เป็นไปตามสเต็ปเดิม คล้ายๆ A มี speaker มาเล่าประสบการณ์ความสำเร็จ ไปเที่ยวประเทศโน้นประเทศนี้ มีชีวิตที่หรูหรา ซึ่งรอบนี้เราไม่ได้สนใจเรื่องนี้แล้ว สนใจเพียงว่าอยากได้เงินมาช่วยแม่ปลดหนี้ เลยไม่ตื่นเต้นอะไร ที่น่าสนใจจริงๆ ก็คือพาร์ทสอนงาน เราต้องฟังทุกวัน เวลา 13.00-ประมาณ 15.00 เร็วกว่านั้น และ 19.00-22.00 ผ่าน zoom ซึ่งมันกินเวลาที่เราใช้ชีวิตปกติไปเยอะมากๆ ขนาดเราว่างงานยังรู้สึกแบบนี้ แล้วคนที่ทำงานไปด้วยนี่คือ ไม่ต้องทำอะไรกันแล้วอะ เขาจะมีการเช็คด้วยนะว่าเราเข้าหรือยัง โดยให้แคปภาพที่เราเข้ามาให้ดูด้วย!! แต่ด้วยความที่เราตั้งใจกับครั้งนี้จริงๆ และมองว่าวิธีการขายสินค้ามันทำได้ง่ายกว่าของ A เพราะเราสามารถโพสต์ในกลุ่มต่างๆ สร้างไลน์ออฟฟิเชียล ผ่านไอจี หรือแอพอะไรก็ได้ที่เรามี เราเลยอยากลองทำเราตั้งใจเข้าฟังทุกวัน ถึงแม้มันจะกินเวลามากๆ ก็ไม่เป็นไร ดีกว่านอนเฉยๆ 

          หลังจากเรารู้วิธีการขายของ เราก็ลองโพสต์ตามกลุ่มไปเรื่อยๆ วันละหลายๆกลุ่ม ก็มีคนทักมานะ ซึ่งเราก็คิดว่ามันทำได้จริงและน่าจะเวิร์ค จนเราได้มาฟังแพลนของที่ปรึกษา เขาจะมีให้เลือกว่าจะเป็นแบบ partner executive หรือ professional ซึ่ง professional เนี่ย จะได้รายได้มั้งหมด 8 ช่องทาง มีจากการขายของ 1 และจากระบบอีก 7 ซึ่งเขาจะแนะนำว่าให้ทุกคนควรเป็น professional เพราะคุ้มที่สุด วันแรกอธิบายแค่นี้

          เราก็เลยเลือกบอกที่ปรึกษาว่า อยากเป็น professional พอกลางคืนก็มาฟังแพลนเหมือนเดิม ข้อมูลก็เริ่มเพิ่มขึ้นว่า การเป็น professional มี 2 ทาง คือ จ่ายเงินทั้งหมด 52,000 บาท กับ การ LOCK ID อันแรกอะเข้าใจ แต่อันหลังนี่ เอ๊ะ!! คืออะไร การ LOCK ID ก็คือ การที่เราจองที่ไว้ก่อน ซึ่งถ้าเราอยู่ในตำแหน่งที่ถูกรับเข้ามาก่อน เราก็จะได้คนที่สมัครทีหลังเรามาเป็นลูกทีม ( เฮ้ย น่าสนใจ ) จะจองได้โดยการจ่าย 5,000 ได้สินค้า 2 ชิ้น 10,000 ได้สินค้า 4 ชิ้น และ 20,000 ได้สินค้า 8 ชิ้น วันที่สองบอกแค่นี้ ซึ่งวันนี้แหละ ด้วยความที่เราอยากได้เงินเร็วๆ มีลูกทีม เพราะถือเป็นโอกาสที่ดี  เราจึงได้ทำการโอนเงินเพื่อไปจองไอดีไว้ก่อน 5,000 บาท เพราะคิดว่าถ้าเราได้ไอดีมาแล้ว เราก็จะได้ขายสินค้าเลย แล้วเราก็เริ่มทำการโพสต์อย่างจริงจัง ด้วยตอนนี้อยากช่วยที่บ้านมากจริงๆ เลยคิดในแง่ดีว่า มันคือการลงทุน ( ตอนโทรคุยกับที่ปรึกษาได้สอบถามย้ำก่อนแล้วค่ะว่า การจองไอดี ก็คือ การที่เราจะได้สายงานที่ที่ปรึกษาโยนมา อะเข้าใจถูก โดยที่ที่ปรึกษาไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมเลยว่าเราต้องจ่ายให้ครบก่อน เรื่องการส่งสินค้าก็ถามนะคะ แต่เหมือนเขาพยายามตอบอ้อมๆ ซึ่ง ณ ตอนนั้น เราเข้าใจเรื่องสินค้าว่า เราแค่รับออร์เดอร์ ยอดโอนต่างๆ แล้วสินค้าทางบริษัทจะจัดส่งเอง )
  
          แต่ๆ พอมาวันที่สาม ที่ปรึกษาถามว่า จะวางแผนยังไงให้เป็น pro เราก็บอกว่าจากการขายของไงพี่ ที่ปรึกษาเลยบอกว่า “แล้วจะขายได้ยังไงยังไม่มีของนะ ถ้าน้องไม่มีสินค้า จะส่งของให้ลูกค้าได้ยังไง ( เราก็คิดว่าบริษัทก็ส่งไปสิ ) กว่าจะส่งจากบริษัทไป มันนานมาก ถ้าลูกค้าได้รับของช้าพี่ก็เสียเครดิตไปด้วย พี่คงไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น” ทีนี้แหละจึงได้รู้แจ่มแจ้งว่า ถึงแม้จะจองไอดีไปแล้ว แต่เราก็ต้องหาเงินให้ได้ครบ 52,000 บาทก่อน การจองไอดีก็เหมือนกับแค่เราผ่อนส่วนหนึ่งเท่านั้น และธุรกิจนี้ต้องสต๊อกสินค้าจ้า!! ที่ปรึกษาเราก็พยายามพูดทุกวิถีทางเพื่อให้เราหาเงินมาเพิ่ม ทั้งบอกให้ไปยืมเงิน ไปลองขายสินค้าให้แม่ ซึ่งเราไม่สามารถทำแบบนั้นได้เลย แม่เราไม่ได้มีรายได้ขนาดนั้น เราจึงเริ่มคิดที่จะถอนตัวออกมาค่ะ พอเราบอกว่า ไม่มีเงินจริงๆ ที่ปรึกษาก็บอกเราว่า “แค่นี้ทำให้แม่ไม่ได้หรอ แค่นี้ก็ไม่สู้ มีข้ออ้างเยอะแล้ว งั้นไม่ต้องทำ” ( ใช่สิได้เงินไปแล้ว ) เราโกรธมากค่ะ เรารู้ตัวเองดีว่าเราสู้มาตลอด เราทำงานช่วยแม่มาตลอด ทำไมต้องมาพูดแบบนี้ด้วย เขาแค่พยายามจะพูดเพื่อให้ตัวเองได้เงิน เขาไม่ได้เข้าใจเราจริงๆ เขาแค่ต้องการเงิน!! 

          หลังจากนั้นเราก็ตัดสินใจไม่ทำต่อค่ะ เงิน 5,000 ที่เสียไป ก็ได้สินค้า 2 ชิ้นมาแทน ขอคืนไม่ได้!! วันนั้นเราร้องไห้ทั้งวันเลยค่ะ โกรธตัวเองที่ไม่รอบคอบ ที่ตัดสินใจอะไรเร็วไป เงิน 5,000 บาทสำหรับเรา ไม่ใช่จำนวนที่น้อยๆเลยค่ะ ถือเป็นบทเรียนที่สำคัญตั้งแต่ต้นปี 64 เลย

          สำหรับใครที่กำลังจะหางานอยู่ก็ดูดีๆนะคะ อย่าให้เขาหลอกได้ พวกนี้เขาพูดเก่ง โน้มน้าวใจเก่ง อย่ารีบตัดสินใจอะไร ถ้าคนที่งบน้อยอย่างเรา เข้าใจเลยค่ะว่าอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ตั้งใจทำงานค่ะ แล้วค่อยๆเก็บเงินสร้างธุรกิจต่อยอดไป อย่าต้องเอาเงินมาให้กับคนพวกนี้เลย

          สรุป สินค้าดี แต่วิธีการหาเงินของพวกเขาก็คือการหลอกลวงคนอื่น ทำเป็นสงสาร เห็นใจ เข้าใจ แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่ ธุรกิจก็คือธุรกิจ

          เพื่อนๆคนไหนเคยเจอมาเหมือนกัน มาร่วมแบ่งปันกันได้นะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่