กรรม(การกระทำ) และ การแก้กรรม

เราๆท่านๆ ที่ได้มาพบปะพูดคุยกัน สันนิษฐานเบื้องต้น ว่าอาจจะเคยมีกรรมร่วมกันมา
#1 ภัยพิบัติ กับ กรรม
- เราต่างรับรู้ สถานการณ์และความเป็นไปของโลกได้เป็นอย่างดี เพราะทุกวันนี้มีสื่อ,สำนักข่าว,อินเทอร์เนต ที่ใครๆก็สามารถเข้าถึงได้ไม่ยาก แต่จะมีใครสักกี่คนที่จะตระหนัก,คาดการณ์ ถึงสิ่งที่กำลังจะเกิด หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้จริง ในอนาคต ตามหัวข้อบอร์ด คือ ภัยพิบัติและการเตรียมการ
- จากที่เห็นผ่านๆตามา มักมีแต่ภัยพิบัติแนว ภัยธรรมชาติ โรคระบาด สงคราม ที่เห็นว่ามีการเตือนๆกันอยู่ให้เห็นโดยทั่วไป แล้วรู้หรือเปล่าว่าทำไมจึงมีแต่แนวนั้น นั่นก็เพราะการฝักใฝ่ ความเชื่อ ความหมกมุ่น (กฏแรงดึงดูด ที่ว่าไว้ ใครเชื่ออะไรก็เจอแบบนั้น) ทีนี้เราจะได้ประสบพบเจอเหตุการณ์ใดได้บ้าง ??? ก่อนอื่นต้องบอกก่อนเลยนะครับ ว่า ภัยพิบัติต่างๆนั้น ไม่ใช่เกิดขึ้น โดยบังเอิญ หรือเพราะผู้อื่นเป็นผู้ก่อ จนมันกระทบมาถึงเรา แต่เอาจริงๆ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่ก็พอจะรู้กันอยู่บ้าง แม้อาจจะขาดหลักฐาน หรือข้อบ่งชี้ ถึงที่มาที่ไป
- อย่าเพิ่งเชื่อผมนะครับ ขอให้ใช้พิจาณญาณให้ดี เพราะที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ คือ ความเชื่อส่วนบุคคล(ของผมเอง) ว่ากันว่า สิ่งที่เราๆสามารถพบเจอได้นั้น ส่วนหนึ่ง(หลักๆ)ก่อเกิดมาจากจิตใต้สำนึก แน่นอนว่ามันคือสิ่งที่แฝงเร้นซุกซ่อนอยู่ภายใต้จิตใจ ส่วนหนึ่งที่แน่นอนเลย ก็ประกอบไปด้วย ความเชื่อ ความชื่นชอบ รสนิยมส่วนตัว ล้วนแต่จัดอยู่ในกลุ่ม ความฝักใฝ่,ความหมกมุ่น (กฏแรงดึงดูด) คร่านี้!!! มันส่งผลให้เกิดเหตุการณ์ที่เจ้าตัวพบเจอได้อย่างไร??? อนึ่ง พลังงานสะสมในตัว(ของใครของมัน) ซึ่ง พลังงานสะสมนี้นั่น จะเป็นค่าสรุป นั่นคือ พลังงานบวก(บุญ,กุศล) และ พลังงานลบ(บาป) ซึ่งบวกลบแล้ว สรุปออกมาว่า เราเป็น บวก หรือ ลบ อยู่ นั่นเองแหละครับ
- หากเราเป็นบวก = ปัจจุบัน กำลังอยู่ในโซนสวรรค์ แน่นอน เมื่อเป็นลบ = กำลังอยู่ในโซนนรก
และ หากเรามีพลังงานบวกสะสม "มากพอ" ก็เหมือนเรามีกำลังทรัพย์ ที่พอจะจับจ่ายใช้สอยได้ตามงบนั่นเอง แน่นอนว่า สิ่งที่ชอบ รสนิยม ความต้องการ ก็จะมีโอกาสเกิดขึ้น,ให้ได้พบเจอ มากขึ้นไป / โอกาสสำเร็จสูงขึ้น ในทางกลับกัน หาก พลังงานลบ(บาป)สะสม "มากพอ" สิ่งที่เราเกลียด,ไม่ชอบ,ไม่อยากพบเจอ ก็จะเข้ามาหาเรามากขึ้น โชคลาภ/โอกาสสำเร็จ/เกิดผลเสียมากระทบ ก็มีโอกาสเกิดขึ้นสูงตามพลังงานสะสม สรุปก็คิอ พลังงานสะสมนั่น ได้เปรียบเสมือนค่าบัพ ความสำเร็จ/โอกาส ในสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้เราได้ประสพพบเจอในชีวิตเรานั่นเอง
- สำหรับผู้ที่ไม่เลือก(เชื่อ)ศาสนาก็จะได้แคลนสายวิทยศาสตร์ ซึ่งธรรมชาติจะปรับสมดุลพลังงานบวก-ลบที่เจ้าตัวสะสมไว้ #หยินหยาง f<=f> #กฏฟิสิกส์พื้นฐานเรื่องแรง ถอดความภาษาศาสนา ได้ว่า "กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง" เช่น ได้ตกอยู่ในสภาวะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ โรคระบาด ปรากฏการณ์ต่างๆ ได้ทุกรูปแบบทุกจินตนาการ ผีดิบซอมบี้ เอเลี่ยนบุก มีสิทธิได้เจอหมด(ตามแต่ความเชื่อของใครของมัน *ตามกฏแรงดึงดูด) สุดแล้วแต่กรรม ถ้าสามัญๆธรรมดาๆ ก็อาจแจคพอร์ตแค่ประสบภัยพิบัติหรือโรคระบาดด้วยตัวเอง แต่ผู้ไม่เชื่อศาสนาและไม่เคารพธรรมชาติ ก็มักปลอบใจตัวเองประมาณว่ามันเพราะ "ความบังเอิญ"

#2 ความเห็นส่วนตัว  "กฏสรรพสิ่ง  ทุกสิ่งทุกอย่างคือหนึ่งเดียวกัน"
#3 สำหรับคนรอบตัว ถ้าว่าตามกฏความหลากหลาย แต่ละคนก็จะมี "มิติช่องความถี่(เอกภพ,โลกธาตุ)" เป็นของตนเอง (อิงรหัสประชาชน)
โดยมีร่างตัวแทนของ คน/สิ่งอื่นๆ ปรากฏในมิติ(โลกธาตุ)ของตน ที่เรียกว่า "นาอิบ(นอมินี)" โดยตัวจริงอยู่ในมิติของตน(ร่างPrime)
ประมาณว่า ถ้าเราทำอะไรตัวแทนเขา เขาในโลกเขา มีสิทธิ์ทำกับ(ร่างตัวแทน)เรา เหมือนที่เราทำกับร่างตัวแทนเขา
ทีนี้ เขาสามารถให้อภัย ให้อโหสิกรรม การกระทำที่เราเจตนาทำเขา(ร่างPrime) โดยดูจากการกระทำของเราที่มีแก่ร่างตัวแทนเขาในโลกเรา  
โดยว่ากันตามจริงแล้ว การให้อภัย/อโหสิกรรม มันเท่ากับ การให้เซ็นต์ ให้ติดค้างไว้ก่อน แน่นอนว่าถ้าเราไปทำกับร่างตัวแทนเขา ในเชิงบีบบังคับ โดยที่เขาไม่เต็มใจ เขาสามารถเอากลับ(ทวงหนี้) ในลักษณะที่เราไม่เต็มใจ(เหมือนที่เขาโดน)ให้ โดยเรายากที่จะขัดขืน
   *หากไปติดเขาหนักๆ แน่นอนว่าเขามีสิทธิ์ทวง(หนี้) เขาสามารถส่งตัวแทนอื่นๆของเขาในโลกเรา เพื่อทวงหนี้ กับเราร่างPrime ได้เต็มขั้น

จากที่กล่าวใน #3  แต่ละคนก็จะมี "มิติช่องความถี่(เอกภพ,โลกธาตุ)" เป็นของตนเอง (อิงรหัสประชาชน,Prime) ซึ่งแต่ละพื้นที่ "เวลา" จะเดินช้าเร็วไม่เท่ากัน เนื่องจาก "กฏแรงดึงดูด" เช่น พื้นที่มิติหนึ่ง เวลาผ่านไป 100 ปี ขณะที่อีก มิติพื้นที่หนึ่ง ผ่านไปเพียง 100 วัน
ซึ่งขอนิยามแทนพื้นที่ดังกล่าวเป็น พื้นที่วงกลมที่ซึ่งเมื่อมีการเกี่ยวพันธ์(สร้างกรรม)กัน สมมติว่า 2 Primes ก็จะเกิดพื้นที่ส่วนกลาง(ระหว่างมิติของ Prime)
จากที่แทนไว้ว่า คือ พื้นที่วงกลม 2 วง คาบเกี่ยวกัน และการกระทำร่วมกัน จะเกิดขึ้นที่ พื้นที่ระหว่างมิติ(ส่วนที่คาบเกี่ยวกัน) ที่ซึ่งเป็นพื้นที่เกิด "กรรม"
ครานี้ หากกล่าวตาม #3 ซึ่งเกี่ยวกับกรณี เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ในที่นี้ขอใช้นิยามส่วนตัว 
ต.ย.สมมติ เช่น การเกิดคดีอาญา ที่ซึ่งได้ผ่านการสรุปคดีแล้ว เช่น ต้องให้ผู้ก่อเหตุชดใช้ชดเชยแก่เหยื่อ ก็อาจจะใช้วิธีการทำสัญญากู้ยืมกัน
และว่าตามสัญญา เช่น สัญญา 1 ปี หากครบปีแล้ว จะเพิ่มค่าเสียเวลา ร้อยละ 10 ต่อปี(ของต้นที่เหลือ) เมื่อครบปี ทบต้นทบดอก เป็นต้นใหม่ 
สมมติว่า ฝ่ายลูกหนี้ ไปกบดานที่มิติตนเอง ที่ซึ่งเวลา เดินเร็วกว่า มิติส่วนกลาง
จากที่กล่าวใน #3  แต่ละคนก็จะมี "มิติช่องความถี่(เอกภพ,โลกธาตุ)" เป็นของตนเอง (อิงรหัสประชาชน,Prime) ซึ่งแต่ละพื้นที่ "เวลา" จะเดินช้าเร็วไม่เท่ากัน เนื่องจาก "กฏแรงดึงดูด" เช่น พื้นที่มิติหนึ่ง เวลาผ่านไป 100 ปี ขณะที่อีก มิติพื้นที่หนึ่ง ผ่านไปเพียง 100 วัน
ซึ่งขอนิยามแทนพื้นที่ดังกล่าวเป็น พื้นที่วงกลมที่ซึ่งเมื่อมีการเกี่ยวพันธ์(สร้างกรรม)กัน สมมติว่า 2 Primes ก็จะเกิดพื้นที่ส่วนกลาง(ระหว่างมิติของ Prime)
จากที่แทนไว้ว่า คือ พื้นที่วงกลม 2 วง คาบเกี่ยวกัน และการกระทำร่วมกัน จะเกิดขึ้นที่ พื้นที่ระหว่างมิติ(ส่วนที่คาบเกี่ยวกัน) ที่ซึ่งเป็นพื้นที่เกิด "กรรม"

ครานี้ หากกล่าวตาม #3 ซึ่งเกี่ยวกับกรณี เจ้าหนี้-ลูกหนี้ ในที่นี้ขอใช้นิยามส่วนตัว 
ต.ย.สมมติ เช่น การเกิดคดีอาญา ที่ซึ่งได้ผ่านการสรุปคดีแล้ว เช่น ต้องให้ผู้ก่อเหตุชดใช้ชดเชยแก่เหยื่อ ก็อาจจะใช้วิธีการทำสัญญากู้ยืมกัน
และว่าตามสัญญา เช่น สัญญา 1 ปี หากครบปีแล้ว จะเพิ่มค่าเสียเวลา ร้อยละ 10 ต่อปี(ของต้นที่เหลือ) เมื่อครบปี ทบต้นทบดอก เป็นต้นใหม่ 
สมมติว่า ฝ่ายลูกหนี้ ไปกบดานที่มิติตนเอง ที่ซึ่งเวลา เดินเร็วกว่า มิติส่วนกลาง (มิติลูกหนี้ ผ่านไป 10 ปี ,มิติส่วนกลาง ผ่านไป 10 วัน,มิติที่เจ้าหนี้อยู่ อาจจะผ่านไปเพียง 10 นาที) ส่วนหนึ่งเพื่อให้ลูกหนี้ได้มีเวลาหา,สร้างทรัพย์สิน เพื่อนำไปชดใช้แก่เจ้าหนี้ อย่างเหมาะสม
ดังนั้น ทางเจ้าหนี้ อาจจะรอรับชำระ ที่มิติตนเอง หรือมิติส่วนกลางก็ได้ ซึ่ง 1 ปี ที่ลูกหนี้ได้รับ ,ทางเจ้าหนี้อาจจะรอเพียง 1 นาที หรือ 1 วันเท่านั้น
กรณีที่ทับซ้อนกันกับ เงินกู้รายวัน *ตามแต่ตกลงเจรจากัน

* แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น "ลูกหนี้" คือ ผู้ถือ และ คือ สินทรัพย์ ที่จะต้องชำระแก่เจ้าหนี้ ดังนั้น ค่าเสียเวลา จะคิดตามระยะเวลา ของ เวลาที่ลูกหนี้ได้ใช้  ไปเนื่องจากว่า "ลูกหนี้" และ "เจ้าหนี้" ที่ติดค้างกัน มีเวลา ช้า-เร็ว ไม่เท่ากัน (มิติลูกหนี้ ผ่านไป 10 ปี ,มิติส่วนกลาง ผ่านไป 10 วัน,มิติที่เจ้าหนี้อยู่ อาจจะผ่านไปเพียง 10 นาที) เพื่อให้ลูกหนี้ได้มีเวลาหา,สร้างทรัพย์สิน เพื่อนำไปชดใช้แก่เจ้าหนี้ ซึ่งเจ้าหนี้รอ 1 นาที ขณะที่ลูกหนี้มีเวลา 1 ปี "ผ่อนผันระดับ 1"
ดังนั้น การคิด "ค่าเสียเวลา" จึงคิดตามระยะเวลาที่อิงกับ "เวลาของลูกหนี้" (ระยะเวลาที่ลูกหนี้ครอบครอง "สินทรัพย์" ที่ต้องชำระคืนแก่เจ้าหนี้)
ซึ่งแน่นอนว่า หากคิดโดยอิงกับเวลาส่วนกลาง(ที่เจ้าหนี้อยู่) ซึ่งผ่านไป 10 วัน นั้น ยังไม่ครบตามสัญญาก็จริง
แต่จริงๆ มิติส่วนกลาง คือการ "ยืดระยะเวลาชำระ" ที่เป็นการ "ผ่อนผันระดับ 2"   โดยหากการ ผ่อนผันระดับ 2 ไม่สัมฤทธิ์ผล ก็จะมี ผ่อนผันระดับ 3
ซึ่งการผ่อนผันทั้ง 3 ระดับ จะแบ่งออกเป็น

ระดับ 1 , ยืดเวลา 1 วันของเจ้าหนี้ ให้ ยาวนานเป็น 1 ปี  สำหรับลูกหนี้
ระดับ 2 , ยืดเวลา 1 วันของเจ้าหนี้ ให้ ยาวนานเป็น 1 ปี  สำหรับ "มิติส่วนกลาง" ที่ซึ่ง ในมิติของลูกหนี้ จะมี 360 ปี (ปฏิทิน ยูดาห์ 1 วัน = 1 ปี มี 360 วัน)
ระดับ 3 , ยืดเวลา 1 วันของเจ้าหนี้ ให้ ยาวนานเป็น 1 ชาติภพ   "สำหรับลูกหนี้"
ซึ่งใน ระดับ 3 นี้เอง ที่ซึ่ง "เจ้าหนี้" สามารถ ทวงเมื่อไหร่ก็ได้ ใน ปัจจุบัน ของลูกหนี้ และหากลูกหนี้หนีหนี้ การใช้ "ไฟชำระ" จึงมักเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

และ การเทียบ ระยะเวลา อีกรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นกลางๆ นอกจากรูปแบบอิงกับ "ปฏิทินยูดาห์"
คือรูปแบบ 1 เดือน เท่ากับ  1 ปี  และ  1 ปี เท่ากับ  1 เดือน  (1 ปี มี 12 เดือน ทับซ้อนกับ  12 ปี เท่ากับ  1 รอบปี (1 รอบปี  ซ้อนกับ 1 เดือน)  )
ซึ่งรูปแบบของการทับซ้อนของเวลานั้น สำหรับ "คู่กรณี" จะมีการอิงโดย ขึ้นอยู่กับ "กรรม" ที่เกี่ยวข้องกัน
และ อีกรูปแบบที่ใช้ในการอิง "เวลาที่ต่างกัน ของ กรณีภพภูมิที่ต่างกัน"  ที่ซึ่งเวลาทับซ้อนและเดิน ช้า-เร็ว ต่างกัน

ยกตัวอย่างเช่น 
1. 1 วันของสวรรค์ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 50 ปีโลกมนุษย์
2. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 100 ปีโลกมนุษย์
3. 1 วันของสวรรค์ชั้น ยามา เท่ากับ 200 ปีโลกมนุษย์
4. 1 วันของสวรรค์ชั้น ดุสิต เท่ากับ 400 ปีโลกมนุษย์
5. 1 วันของสวรรค์ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 800 ปีโลกมนุษย์
6. 1 วันของสวรรค์ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 1,600 ปีโลกมนุษย์
อายุของเทวดาในสวรรค์ชั้นต่างๆ ถ้าจะเทียบกับเวลาในมนุษย์จะได้ดังนี้
1. ชั้น จาตุมมหาราชิกา เท่ากับ 9 ล้านปีมนุษย์ (500 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 50ปีมนุษย์ )
2. ชั้น ดาวดึงส์ เท่ากับ 36 ล้านปีมนุษย์ (1,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 100ปีมนุษย์ )
3. ชั้นยามา เท่ากับ 144 ล้านปีมนุษย์ (2,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 200ปีมนุษย์ )
4. ชั้น ดุสิต เท่ากับ 576 ล้านปีมนุษย์ (4,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 400ปีมนุษย์ )
5. ชั้น นิมมานรดี เท่ากับ 2,304 ล้านปีมนุษย์ (8,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 800ปีมนุษย์ )
6. ชั้น ปรนิมมิตวสวัตตี เท่ากับ 9,216 ล้านปีมนุษย์ (16,000 ปีสวรรค์ * 12 เดือน * 30 วัน * 1,600ปีมนุษย์ )

#4 สำหรับการแก้กรรมที่ดีนั้น คือ "การสำนึกผิด ยิ่งจริงใจมาก ราคายิ่งดี"  ดั่งการคิดราคาน้ำยางสด  
จะคิดโดยน้ำหนักน้ำยางดิบ(การสำนึก(บ่อยมั้ย)) X ความเข้มข้น %ยาง(ความจริงใจ) 
แล้วก็จะได้ น้ำหนักยางดิบ (เข้มข้น 100%) แล้วจึงเอาไป X กับราคา    *สำนึกบ่อย X ความจริงใจสูง = "ราคาดี"
ก็จะได้ราคาน้ำยางดิบนั้นๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น ล้วนมีปัจจัยสำคัญตัวหนึ่ง นั่นคือ "จิตสำนึก" ของคนนั้นๆ และปัจจัยกระตุ้นอีกตัว คือ "ความตระหนักรู้"
หากเข้าใจ ธรรม(ชาติ) อย่างถ่องแท้(บรรลุ) ก็จะเข้าใจระบบกลไกของธรรมชาติ ที่ซึ่งดำรงค์อยู่ โดยไร้จุดเริ่มต้นและไร้จุดสิ้นสุด โดยเฉพาะ "ไฟชำระ"



ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่
https://pantip.com/topic/39612065   โลกเรากลมหรือแบน    "เรากำลังอยู่ในวงล้อมของ "นรก" ตลอดเวลา"
   https://pantip.com/topic/39920300   the Death / Afterlife  "ตายแล้วไปไหน"
      https://pantip.com/topic/40002400   Verse / Multiverse "ความเป็นไป ของ อนันตภพ"
         https://pantip.com/topic/40109204   นิพพาน / อาบาดัน "เส้นทางสู่ความเป็นอมตะ"
{สรุปจาก "ปัจจัตตัง" ประสบการณ์ส่วนตัว ที่ได้พยายามเรียบเรียงให้เข้าใจได้ง่ายที่สุดแล้ว}
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่