ขอเล่าประสบการณ์เพี้ยนๆ ตอนเที่ยวญี่ปุ่นครับ

กระทู้สนทนา
ผ่านมาแล้วเกือบ 1 ปี ที่คนไทยไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้ ด้วยโรค covid-19 ที่ผมเองก็ยังไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ด้วยความอยากไปเที่ยวมากๆ เลยนึกถึงเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว ตอนนั้นมาถามข้อมูลใน Pantip ไว้เยอะ เลยอยากจะขอเล่าประสบการณ์เปิ่นๆ ที่ผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น (ซัปโปโร) คนเดียว มา 7 วัน เมื่อปีที่แล้วครับ เริ่มตั้งแต่

1. ผ่านศุลกากร (หลัง ตม.) เจ้าหน้าที่สงสัยว่ากระเป๋าผมใบใหญ่เกินไป (ผมกะไว้ซื้อของฝาก กับเอาเสื้อผ้ามาเยอะครับ 555) เลยขอตรวจค้น แต่เป็นการตรวจค้นที่นุ่มนวลมากครับ มีเจ้าหน้าที่อีกคนมาช่วยตรวจค้น คือค้นละเอียดแหละ แต่ขออนุญาติเราตลอด และขอบคุณที่อนุญาติให้ตรวจสอบด้วย และช่วยเก็บของคืนอย่างดี
2. เมื่อมาถึงสนามบินก็ไปซื้อตั๋วโดยสาร วางกระเป๋าใส่พาสปอร์ตและเงินเยนไว้บนกระเป๋าเดินทางตอนซื้อตั๋วรถไฟ แล้วลืมเก็บ เดินออกมาเลยหล่น คนญี่ปุ่นเดินมาเตือนว่าหล่น (ไม่งั้นแย่ตั้งแต่วันแรกเลยครับ เงินเยอะด้วย ถ้าเป็นเมืองไทยไม่รู้จะได้คืนหรือเปล่า)
3. หลงทาง ขึ้นรถเมล์ไป Hitsuji-ga-oka เป็นการขึ้นรถเมล์ที่ญี่ปุ่นครั้งแรก ขึ้นผิดสาย ทำอะไรไม่ถูก (คือผมไปรอรถก่อนเวลาครับ เจอป้าย hitsuji-ga-oka แล้ว เห็นคนต่อคิวกันเยอะ รถเมล์มาทุกคนรีบขึ้น เลยนึกว่าใช่) คนขับให้นั่งไปจนสุดสายเลย เจอสถานีรถไฟพอดี เลยนั่งกลับเข้าตัวเมืองได้ (คนขับรถเสียงแบบดุๆ หน่อย แต่ก็ใจดีนะครับ ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าไม่ต้องรีบ รถเมล์มาตรงเวลาเสมอ มาก่อนให้ค่อยๆ ดูหมายเลขค่อยขึ้น ถ้ามีป้ายดูป้ายให้ละเอียดด้วย รถเมล์ญี่ปุ่นจะขึ้นง่ายมากๆ ครับ สะดวกมาก)
4. ซื้อตั๋วรถไฟ ครั้งแรก ไป Asahikawa ผิดราคา (กดเครื่องอัตโนมัติไม่มีชื่อสถานีให้เลือก เลยเลือกสถานีที่ไกลที่สุดที่มีในเครื่อง) แล้วยังไปนั่งที่ Reserve seat อีก (ขึ้นรถไฟครั้งแรกครับ) เจอตอนพนักงานตรวจตั๋ว เราก็อธิบายไปว่าเราพึ่งซื้อครั้งแรก ไม่แน่ใจถูกไหม เค้าก็อธิบายมา และให้เราซื้อตั๋วใหม่กับเค้าได้ (จ่ายเงินเพิ่มแค่เท่าราคาตั๋ว reserve seat) จนตอนนี้ยังไม่กล้าซื้อตั๋วจากเครื่องอัตโนมัติไปที่ไกลๆ ที่ไม่แสดงรายชื่อสถานีให้เห็นในเครื่อง ต้องไปซื้อตั๋วกับเจ้าหน้าที่โดยตรงตลอดครับ อันนี้ที่ประทับใจมากคือการบริการของพนักงานตรวจตั๋วรถไฟครับ ไม่ต่อว่าอะไรเลย ทั้งบนรถไฟ และสถานีปลายทาง
5. ขึ้นรถเมล์จาก chitose ไป lake shikotsu (ที่จัดงานเทศกาลน้ำแข็ง) เตรียมตัวมาอย่างดีว่าต้องขึ้นรถเมล์สายอะไร ถึงเวลา งงครับ ด้วยความที่อ่านภาษาญี่ปุ่นไม่ได่เลย แถมที่ป้ายไม่ค่อยมีคนรอ เลยถามคนแก่ๆ ใส่สูท คิดว่าเป็นเจ้าหน้าที่สถานี แต่เค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เลยให้ผู้โดยสารผู้หญิงมาคุยกับเรา (ขอบคุณเจ้าหน้าที่ และน้องผู้หญิงเลยครับ ไม่งั้นคงงงและขึ้นรถผิดสายอีก สุดท้ายน้องเค้าก็ไป lake shikotsu เหมือนกัน แต่รถเต็มเลยนั่งแยกเก้าอี้กัน สุดท้ายมีการเตือนเมื่อถึงป้ายทะเลสาบด้วยว่าให้ลงได้แล้ว จ่ายเงินเท่านี้) ยังไม่พอ พอเข้าไปในงานก็ไปถ่ายรูปที่บูท พี่พนักงานก็บอกให้เรา smile smile ด้วยความที่ปกติไม่ค่อยยิ้ม เลยได้รูปที่สวยที่สุดมาครับ (เพราะยิ้มอยู่รูปเดียว 555) ประทับใจมากครับ ได้อยู่ดูดอกไม้ไฟด้วย
6. ระหว่างเที่ยวซื้อสเปรย์กันน้ำพ่นรองเท้าไว้ ใช้ไม่หมด ใสกระเป๋าเดินทางไว้ซะลึกสุดเลย ตอน check-out ออก นึกได้ว่าปกติห้ามเอาสเปรย์ขึ้น เลยบอกพนักงานที่เค้าเตอร์เช็คอินก่อนว่าเข้าได้ไหม เขาก็ขอดู แต่เราคงต้องรื้อกระเป๋า เพราะวันสุดท้ายไปสนามบินเลยไม่ได้เอาออกมาพ่น แต่มีรูป พนักงานก็ดูรูปแล้วบอกว่าจะถามกับพนักงาน security ข้างในให้ ให้เราไปรอที่ใกล้ๆ GATE เพราะหากมีปัญหาพนักงานจะได้ตามตัวได้ สุดท้ายก็ไม่มีปัญหา เอากลับเมืองไทยได้ครับ

ด้วยความไปเที่ยงเองคนเดียว บางอย่างไม่ตรงตามแผนบ้าง เช่น จาก otaru ซื้อตั๋วรถไฟกลับ sapporo แต่ต้องรอนาน เลยได้นั่งรถบัสจาก otaru มา sapporo แทน ได้ประสบการณ์ดีไปอีกแบบ

สิ่งที่ประทับใจ ผมชอบคุณป้าคุณยายที่ขายของตามร้านที่ otaru มากด้วยครับ ขายแบบเน้นว่าสินค้านั้นทำอะไรได้บ้าง จะเอากลับเมืองไทยอย่างไร แนวแนะนำสินค้า ถ้าอันไหนเอากลับไม่ได้ เครื่องแก้วจะหักง่าย เค้าก็บอกเรามาตรงๆ และเจ้าหน้าที่โรงแรมที่ทักทายกัน คอยเตือนว่าวันนี้หิมะตกหนักมากนะ (ที่เคยพักโรงแรมเมืองไทยไม่มีการทักทายแบบนี้ครับ)

สุดท้ายนี้ ประสบการณ์นี้สอนผมว่า การเที่ยวคนเดียวต้องเตรียมตัวอย่างดี ศึกษาตั้งแต่สถานที่ การเดินทาง วัฒนธรรม สุดท้ายนี้บางอย่างเป็นเพราะผมเองครับ ที่พลาด สะเพร่า (ลืมของ ลืมดูป้ายสายรถเมล์) เตรียมตัวอ่านคู่มือมาไม่ดีพอ (เรื่องรถไฟ) แต่ถ้าผมไม่ได้เดินทางคนเดียว ผมคงไม่ได้เจอประสบการณ์แบบนี้ (ผมกล้าพูดภาษาอังกฤษกว่าที่ตัวเองคิดไว้เยอะเลยครับ และเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม และเรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สามด้วย) และอีกอย่างที่ลืมไม่ได้ คือ ได้รู้ว่ามีคนเป็นห่วงเราแค่ไหนครับ (ตอนตัดสินใจทุกคนถามเหมือนกัน คือ จะไหวเหรอ? เอาจริงเหรอ? ถึงจะดูเล่นๆ แต่ใกล้ถึงวันเดินทางก็สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วง ทั้งพี่น้องเพื่อนร่วมงาน และครอบครัว ขอบคุณครอบครัวที่ไม่ห้าม เปิดโอกาสให้ไปครับ)
 
ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ผมชอบประเทศญี่ปุ่นมากครับ คนญี่ปุ่นที่ผมเจอทั้งใจดี มีน้ำใจมาก เป็นการเที่ยวญี่ปุ่นคนเดียวและไปครั้งแรก ที่สนุกมากครับ ให้ไปซ้ำอีกก็อยากไป ผมวางแผนจะไป แถบโตเกียว คนเดียว ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว คิดว่าช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีนี้จะไปได้ สุดท้ายเลื่อนมาคิดว่าช่วงฤดูร้อนปีนี้ เปลี่ยนแผนเป็นไปปีนภูเขาไฟฟูจิ แต่คิดว่าคงไม่ได้ไปอีก เลื่อนยาวเลยครับ 55TT55

ขอบคุณที่พยายามอ่านจนจบ อาจจะเขียนเยอะไปบ้าง ขอบคุณครับ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่