สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ ชาวพันทิปทุกท่านที่หลง เอ้ย ที่สนใจในกระทู้นี้นะคะ ><
กระทู้นี้เป็น
กระทู้แรกของ จขกท. เลยค่ะ ปกติตามส่อง เอ้ย ตามอ่านอยู่ในพันทิปมานาน แต่ไม่กล้าจะลงมือเขียนอะไรสักที..
แต่หลังจากที่เจ้าโควิด19 ได้ทำให้จขกท. ไม่สามารถขยับตัวออกไปไหนได้เลย ต้องนอนแห้งอยู่บนเตียงจนจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปแล้ว
เลยรู้สึกว่า เอาวะ... มาแชร์เรื่องราวของตนเองดีกว่า เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นวิทยากิน แง๊ วิทยาทานให้แก่
'คนคลั่งรักในประเทศญี่ปุ่น'
ที่เคยคิดว่าชาตินี้.. อยากจะไปโลดแล่น หรือไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นแบบดูวิชาการ แม่ไม่ด่าว่าไปเที่ยวเล่นแบบ จขกท.สักครั้ง
ตัวจขกท. เอง นอกจากมีความฝันที่อยากจะเป็นด็อกเตอร์แล้ว จขกท. ก็ฝันอยากจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศสักช่วงนึง
อยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ บ้างน้า ติ้กต้อก (ตอบแบบรับมงนางงาม).. แต่จริง ๆ ก็คือ อยากไปช็อปปิ้งจังเบยยย (คายความลับ แง๊) แต่จะให้ขอหม่อมแม่ไปเรียนภาษาเฉยๆ หรือ ขอไปเที่ยวสักหกเดือนได้ไหมแม่ หนูว่าหนูกระหายช็อปปิ้ง ก็เกรงว่าจะโดนกะละมังปาเอาได้
ก็เลยวางแผนใหม่ เอ้ย คิดต่อยอดเรื่องการพัฒนาตนเองขึ้นมา เพื่อพาตัวเองไปทำในสิ่งที่อยากจะทำจริง ๆ (อย่างการไปช็อปปิ้งค่ะ)
ก่อนอื่น...
จขกท. ก็ต้องขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวเองนิ้ดนึง (ที่ไม่แน่ใจว่าจะนิดนึงจริงๆ ) ก่อนนะคะ
ตัว จขกท. เอง พึ่งจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งตอนปี 62 สายสังคมศาสตร์
แต่กระบวนการดังต่อไปนี้ที่กำลังจะเล่า เป็นกระบวนการที่เริ่มทำตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่เลยนะคะ ซึ่งใช้เวลานานมากกกกกกกก ...
ด้วยความที่คณะที่จขกท. ต้องการจะเข้า สามารถเข้าได้ปีละรอบเดียว คือ รอบเมษา จึงทำให้จขกท. ต้องใช้ชีวิตเพื่อรอพี่มากที่ท่านํ้าทุกวันมานมนาน
แต่ในที่สุด ก็รออีกไม่นานแล้วค่ะ..
ตอนนี้จขกท. อยู้ในขั้นตอนรอ COE (ใบพำนัก) และจะได้ทำวีซ่า เพื่อจะไปเดือนมีนาคมนี้แล้ว ช่วยกันตื่นเต้นแทนจขกท. หน่อยค่ะ ฮ่าๆ
(แต่ถ้าญี่ปุ่นให้ฉันไปนะคะ ทุ๊กคน /ปาดนํ้าตารอบที่สามร้อย และก่นด่าอีโควิดบ้า TT)
ความต้องการของจขกท.ในตอนแรก..
จริง ๆ เนื่องด้วยตัว จขกท. เอง ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังที่จะสามารถไปเรียนด้วยตนเองทั้งหมด
ดังนั้น ตอนแรก จขกท. จึงมุ่งเป้าไปที่
'การไปเรียนต่อด้วยทุนการศึกษา' เช่น ทุน MEXT
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างก็ดันทำให้ จขกท. 'ไม่สามารถไปด้วย MEXT ทั้งสองแบบได้ /หร่องไห้ TT
จขกท. จึงคิดกระทู้นี้
น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่สามารถไปเรียนต่อด้วยทุน MEXT ทั้งแบบ Embassy และ University Recommendation
เพราะถึงแม้ว่าเราจะไปไม่ได้ด้วยทุนเหล่านั้น แต่มันยังมีหนทางนะคะ อย่าไปยอมค่ะ อย่าไปย๊อมมมมมมมมมมม !!
มาค่ะ มาหาหนทางส่งตัวเองไปโลดแล่น ไปช็อปปิ้งที่ญี่ปุ่นกันค่ะทุกคนนนน ..
โดยในกระทู้นี้ จขกท. ขอแบ่งออกเป็น 5 ช่วงมรสุม ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. ช่วงตามหาอาจารย์ที่ปรึกษา : มีใครอยากได้หนูไหมคะ ?
2. ช่วงงัดความสามารถออกมาโชว์ : หนูจะทำตามเงื่อนไขได้ไหมนะ ?
3. ช่วงคัดเลือกจากเอกสาร : หนูงงเหลือเกินพี่จ๋า เอกสารเยอะไปหม๊ด
4. ช่วงคัดเลือกจากการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ : หนูจะต้องเตรียมตัวอย่างไรดีจ้ะพี่จ๋าา ?
5. ช่วงวันประกาศผลสอบ : บอกป้าข้างบ้านได้ละน้า ว่าจะไปเรียนต่อ
แต่อย่างไรก็ตาม... ก่อนไปรับชมมมม
จขกท. ต้องขอพนมมือก้มกราบที่หว่างอกชาวพันทิป เพื่อขออภัยในความยืดเยื้อ เขียนไม่รู้เรื่องของจขกท. ด้วยนะคะ
เนื่องจากเป็นกระทู้แรก เลยรู้สึกว่าตัวเองเขียนกระทู้เหมือนเม้ากับเพื่อนเลยค่ะ
ปล.1 ถึงแม้ว่าจะเป็น Japanese-based program แต่เนื่องด้วยเป็นปริญญาเอก จึงได้รับอนุญาตให้เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ
จขกท. จึงไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนภาษาญี่ปุ่นในระดับสูงค่ะ แต่ยังต้องมีพื้นฐานนะคะ
ปล.2 การสมัครเรียนต่อนี้ เมื่อสมัครเข้าไปได้แล้ว จะมีรายการทุนให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสมัครค่ะ ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยนะคะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1) ช่วงตามหาอาจารย์ที่ปรึกษา : มีใครอยากได้หนูไหมคะ ?
เพื่อน ๆ บางคน หรืออาจจะทุกคน 5555 คงทราบกันแล้วว่า
การจะไปเรียนต่อญี่ปุ่นได้นั้น ไม่ว่าจะระดับปริญญาโท หรือเอก สิ่งที่สำคัญที่สุดในเจ็ดโลก ก็คือ
'อาจารย์ที่ปรึกษา' ค่ะ
เป็นขั้นตอนที่เกือบจะทำให้จขกท. ล้มเลิกความฝัน (ที่อยากไปช็อปปิ้ง เอ้ย ที่อยากจะไปเรียนต่อปอเอกที่ญี่ปุ่น) กันเลยทีเดียวค่ะ
1.1) เริ่มต้นหาอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างไรดี
ขอเล่าย้อนกลับไปตอนปีพ.ศ. 2475 (เอ้ย นานไปป่ะย้ะ) ตอนเริ่มต้นวางแผนไปช็อปปิ้งค่ะ
เพื่อนๆ รอบตัวของจขกท. ที่ส่วนใหญ่ที่เป็นสายวิทยาศาสตร์-วิศวกรรมศาสตร์
ล้วนได้รับโอกาสจากอาจารย์ที่ปรึกษาที่ไทยส่งไปเรียนต่อโท-เอกที่ญี่ปุ่นด้วยทุน MEXT แบบ University recommendation กันหมด
(**ทุนนี้ให้เงินหรือว่ามีแนวทางสนับสนุนเหมือนกับ MEXT แบบ Embassy เลยนะคะ ต่างกันแค่ไม่ต้องสอบรวมกับคนในประเทศที่จะจัดสอบปีละ 1 ครั้ง ทุนนี้จะเป็นการสมัครผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาในญี่ปุ่นเลย ขั้นตอนก็อาจจะมีการสัมภาษณ์บ้าง แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ ของจขกท. จะเป็นอาจารย์ที่ญี่ปุ่นที่มี
คอนแทค หรือความสัมพันธ์อันยาวนานกับอาจารย์ในไทย ก็เลยค่อนข้างจะสะดวกกว่าในระดับหนึ่งค่ะ**)
จขกท. ผู้ซึ่งปิ๊งไอเดียว่าอยากไปบ้างจังเลย ก็เลยริเริ่มคิดหาทางค่ะ
แต่ความโชคร้ายคือ จขกท.
ไม่มีเลย ไม่มีคอนแทคเลยเจ้าค่ะ /ทำเสียงแม่หญิงจันทร์วาดในละครบุพเพสันนิวาส
อาจารย์ของจขกท. จบจากฝั่งอเมริกา ไม่มีคอนแทคกับอาจารย์ท่านใดในญี่ปุ่นเลย จึงทำให้หนทางแบบเพื่อนๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ
จึงจำใจต้องตัดออกไป 1 ช่องทาง แล้วเดินไปนั่งร้องไห้ข้างตุ่ม /ดราม่าอ่ะเนอะ
หลังจากรู้ว่าทางนี้ไม่ได้.. ก็เลยพยายามมองไปที่ ทุน MEXT แบบ Embassy
แต่อยู่ดี ๆ อีกร่างในตัวจขกท. เองก็เตือนสติมาว่า "หล่อนเก่งภาษาอังกฤษแค่ไหนกันย้ะ ?" 55555555 เหมือนโดนนํ้าสาดให้ตื่นเลยค่ะ
**หากจะสมัครด้วยช่องทางนี้ สายของจขกท. สอบภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว หรืออาจจะเลือกสอบภาษาญี่ปุ่นด้วย
จึงทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบ่งชี้ว่าไปได้หรือไปไม่ได้ค่ะ**
(ปล. หากเป็นสายอื่น ๆ จะมีวิชาที่ต้องสอบแตกต่างกันไปนะคะ อาจจะมีวิทยาศาสตร์ เลขด้วย ต้องติดตามผ่านหน้าเว็บสถานทูตค่า)
แต่จขกท. นั้น นอกจากจะไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาญี่ปุ่นก็คือไม่ได้เลย
ชีวิตช่างเศร้าอะไรแบบนี้
ก็เลยเอาวะ ตัดออกอีกช้อยส์ก็ได้.. เหลือแค่ 'พยายามสมัครทุน MEXT แบบ University Recommendation ด้วยตนเอง'
ซึ่งขั้นตอนแรกก็ คือ
'หาอาจารย์ที่ปรึกษา และติดต่อไปเอง' ค่ะ
จขกท. เริ่มต้นจากการ
เปิดดู ranking ของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น หลังจากเข้าดูแต่ละมหาวิทยาลัยว่ามีคณะ/สาขาที่ตนเองสนใจหรือไม่
หากพบว่ามี ก็จะ
หาต่อไปว่าในสาขาของมหาวิทยาลัยนั้น มีอาจารย์กี่ท่าน อาจารย์แต่ละท่านทำงานวิจัยด้านไหนบ้าง
งานวิจัยนั้นตรงกับความสนใจ และงานของเราไหม ถ้าเจอแล้วว่ามีตรงกับสิ่งที่เราตามหา ก็จะลิสต์ออกมาเรื่อยๆ ค่ะ ...
ตอนนั้นจำได้ว่าลิสต์ไว้ประมาณ 10 คนค่ะ (อาจจะดูเหมือนเยอะนะคะ แต่สุดท้ายเรื่องก็มักจะเศร้ากว่าที่เราคิดค่ะ /ปาดนํ้าตารอบที่ 500)
พอได้รายชื่อมาแล้ว ก็เริ่มส่งเมลเพื่อแนะนำตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา..
โดยเริ่มจากท่านที่รู้สึกว่าตรงกับความสนใจของเรา และมหาวิทยาลัยที่เราอยากไปมากที่สุด
ตอนนั้นจขกท. อยากไปจังหวัดนอก ๆ ค่ะ ส่วนตัวคิดว่ามหาวิทยาลัยในเมือง น่าจะโอกาสน้อย อีกทั้งค่าครองชีพแพงค่ะ
(ถึงแม้ว่าจะขัดกับความรู้สึกรักการช็อปปิ้งของตนเองก็ตาม TT)
โดยใจความในเมลก็จะเป็น : เราเป็นใคร ทำงานวิจัยเรื่องอะไร สนใจอยากจะทำอะไรต่อในปริญญาถัดไป ทำไมถึงอยากเป็นนักศึกษาของอาจารย์
พร้อมกับแนบเรซูเม่ และผลงานวิจัย เช่น คอนเฟอเร้น หรือเปเปอร์ตีพิมพ์ (ที่มีจำนวนน้อยนิดก็ไม่เป็นไร) ประกอบการพิจารณาค่ะ
หลังจากนั้น ก็ คือ รอค่ะ รออออออออย่างเดียว TTT
อาจารย์บางท่านจะตอบเร็วมาก บางคนตอบช้าหน่อย หรือบางท่านอาจจะไม่ตอบเลยก็มีค่ะ
ที่จขกท. เจอ ก็มีหลายรูปแบบมากค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็คือ ไม่มีทุน MEXT สำหรับสาขานี้ (เยอะมาก), อาจารย์ไม่รับเด็กต่างชาติ ด้วยข้อจำกัดของภาษา,
ไม่รับเด็กปอเอก, จะรับเด็กต่างชาติที่มีความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นระดับสูง,... เป็นต้นค่ะ
*** จากที่ฟังต่อ ๆกันมา+ประสบการณ์ตรงของตนเอง พบว่า สายสังคม ถ้าจะสมัครแบบนี้ไม่ค่อยมีทุนค่ะ ส่วนใหญ่ทุนมักจะไปที่สายวิทย์/วิศวะ***
พอยังไม่มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดท่านไหนตอบรับ
จขกท. ก็เลยพุ่งเป้าว่าจะติดต่ออาจารย์ท่านที่อยู่ในเมืองใหญ่ ๆ บ้าง ทำไปแบบนี้เรื่อย ๆ ค่ะ..
ตอนนั้นรู้สึกได้ว่ามีนํ้าตาเอ่อทุกวันที่ตื่นมาเห็นเมล หรือมาเช็คอีเมลในตอนเช้าค่ะ
แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้นะคะ ร้องไห้ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาท่านใหม่ไปเรื่อย ๆ
รู้สึกตัวอีกที ตอนนั้นน่าจะ
ติดต่อไป ถึง20 กว่าคนค่ะทุ๊กคน โดนปฏิเสธจนชินชาบ้าง หรือการตอบกลับเงียบบ้าง
1.2) ฟ้ามาโปรดดดหนูแล้ว
แต่ในที่สุดค่ะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยในเมือง ส่งเมลตอบกลับมาว่า.. 'ยินดีจะรับจขกท. เป็นนิสิตในที่ปรึกษา แต่ว่าทางมหาลัยไม่มีทุน MEXT แบบ University Recommendation ให้นะ แต่อาจารย์ยินดีจะหาทุนอย่างอื่นให้ สนใจหรือเปล่าาาาาาา'
**ตอนแรกอยากอยู่ธรรมชาติ ไม่มีใครรับเลยค่ะ สงสัยดวงจะได้ไปอยู่ใกล้ตลาดอะเมะโยโกะจริงๆค่ะ อิอิ**
โ
อ้โห้วววว วันนั้นฟีลแบบวันนี้ที่รอคอย ดอกไม้ช่างสวยงาม ท้องฟ้าช่างสดใสสประมาณนั้นเลยค่ะ
จขกท. เลยรีบตอบกลับเมลอย่างรวดเร็วว่า 'สนใจค่ะ' แต่เนื่องด้วยตัวเองไม่มีทุนสนับสนุนในการไปเรียนเลย
จึงอยากทราบเกี่ยวกับรายละเอียดทุนว่าเป็นอย่างไร บอกกับอาจารย์ไปตรงๆ เลยค่ะ ว่าหนูไม่มีตังค่ะอาจารย์ แง๊
อาจารย์ก็พยายามหารายละเอียดทุนมาให้ว่ามีทุนนี้ๆ นะ รายละเอียดเป็นแบบนี้ มันเป็นทุนค่าเรียนนะ สมัครหลังจากเป็นนักศึกษาแล้ว
แต่ความคิดหนักคือ แล้วฉันจะอยู่จะกินอย่างไรรรร ค่าครองชีพก็แพงเหลือเกิน แม่เจ้า
อาจารย์ก็เลยแนะนำว่าจขกท. สามารถทำงานพิเศษ และขอทุนค่าอยู่ค่ากินเพิ่มเติมได้ภายหลังค่ะ มหาวิทยาลัยมีทุนเยอะมาก ><
สุดท้าย จขกท. ก็มีที่พักพิงแล้วค่าาาาาาาาาา ...
จากการร้องไห้เพราะโดนปฎิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนนน แต่ไม่ยอมค่ะ ตลาดอะเมโยโกะรอเราอยู่ 555
1.3) พบอาจารย์ที่ปรึกษาครั้งแรก
เนื่องด้วยตอนนั้นจขกท. มีไปนำเสนองานที่คอนเฟอเร้นที่โตเกียวพอดี ก็เลยสอบถามอาจารย์ไปว่าอาจารย์ได้เข้าร่วมงานนี้หรือไม่
ปรากฏว่าอาจารย์ท่านก็ไปค่ะ ท่านก็เลยชวนจขกท. ไปกินข้าวแถว ๆ มหาลัยด้วยกัน จึงเป็นการเจอกันครั้งแรกแบบตื่นเต้นมากค่ะ
ตอนไปกินข้าวกับอาจารย์ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกสอบสัมภาษณ์อยู่เลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นไปในรูปแบบสบายๆนะคะ
เพราะอาจารย์จะมีคำถามเกี่ยวกับมุมมองในการวิจัย ถามเกี่ยวกับงานวิจัยในปอโทว่าทำอย่างไร ทำไมถึงทำเรื่องนั้น และอยากจะทำอะไรในปอเอก
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้น อาจารย์ท่านบอกกับจขกท. ว่าเนื่องด้วยคณะที่จขกท. จะเข้าเป็น Japanese-based program จึงทำให้ขั้นตอนทุกอย่างจะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องกลัวนะ อาจารย์พร้อมจะช่วยทุกอย่าง แต่อาจารย์อยากให้หลังจากนี้ จขกท. เตรียมตัวบางอย่าง จะได้ไม่ลำบากตอนมาเรียน …
'ชาตินี้.. ฉันต้องไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นให้ได้' (**แชร์ประสบการณ์สมัครเข้ามหาลัยที่ญี่ปุ่น แบบไปขอทุนทีหลัง**)
กระทู้นี้เป็นกระทู้แรกของ จขกท. เลยค่ะ ปกติตามส่อง เอ้ย ตามอ่านอยู่ในพันทิปมานาน แต่ไม่กล้าจะลงมือเขียนอะไรสักที..
แต่หลังจากที่เจ้าโควิด19 ได้ทำให้จขกท. ไม่สามารถขยับตัวออกไปไหนได้เลย ต้องนอนแห้งอยู่บนเตียงจนจะกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงไปแล้ว
เลยรู้สึกว่า เอาวะ... มาแชร์เรื่องราวของตนเองดีกว่า เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจ เป็นวิทยากิน แง๊ วิทยาทานให้แก่ 'คนคลั่งรักในประเทศญี่ปุ่น'
ที่เคยคิดว่าชาตินี้.. อยากจะไปโลดแล่น หรือไปใช้ชีวิตในญี่ปุ่นแบบดูวิชาการ แม่ไม่ด่าว่าไปเที่ยวเล่นแบบ จขกท.สักครั้ง
ตัวจขกท. เอง นอกจากมีความฝันที่อยากจะเป็นด็อกเตอร์แล้ว จขกท. ก็ฝันอยากจะไปใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศสักช่วงนึง
อยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไร ฉันจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ บ้างน้า ติ้กต้อก (ตอบแบบรับมงนางงาม).. แต่จริง ๆ ก็คือ อยากไปช็อปปิ้งจังเบยยย (คายความลับ แง๊) แต่จะให้ขอหม่อมแม่ไปเรียนภาษาเฉยๆ หรือ ขอไปเที่ยวสักหกเดือนได้ไหมแม่ หนูว่าหนูกระหายช็อปปิ้ง ก็เกรงว่าจะโดนกะละมังปาเอาได้
ก็เลยวางแผนใหม่ เอ้ย คิดต่อยอดเรื่องการพัฒนาตนเองขึ้นมา เพื่อพาตัวเองไปทำในสิ่งที่อยากจะทำจริง ๆ (อย่างการไปช็อปปิ้งค่ะ)
ก่อนอื่น...
จขกท. ก็ต้องขอเกริ่นเกี่ยวกับตัวเองนิ้ดนึง (ที่ไม่แน่ใจว่าจะนิดนึงจริงๆ ) ก่อนนะคะ
ตัว จขกท. เอง พึ่งจบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยรัฐแห่งหนึ่งตอนปี 62 สายสังคมศาสตร์
แต่กระบวนการดังต่อไปนี้ที่กำลังจะเล่า เป็นกระบวนการที่เริ่มทำตั้งแต่ตอนยังเรียนอยู่เลยนะคะ ซึ่งใช้เวลานานมากกกกกกกก ...
ด้วยความที่คณะที่จขกท. ต้องการจะเข้า สามารถเข้าได้ปีละรอบเดียว คือ รอบเมษา จึงทำให้จขกท. ต้องใช้ชีวิตเพื่อรอพี่มากที่ท่านํ้าทุกวันมานมนาน
แต่ในที่สุด ก็รออีกไม่นานแล้วค่ะ..
ตอนนี้จขกท. อยู้ในขั้นตอนรอ COE (ใบพำนัก) และจะได้ทำวีซ่า เพื่อจะไปเดือนมีนาคมนี้แล้ว ช่วยกันตื่นเต้นแทนจขกท. หน่อยค่ะ ฮ่าๆ
(แต่ถ้าญี่ปุ่นให้ฉันไปนะคะ ทุ๊กคน /ปาดนํ้าตารอบที่สามร้อย และก่นด่าอีโควิดบ้า TT)
ความต้องการของจขกท.ในตอนแรก..
จริง ๆ เนื่องด้วยตัว จขกท. เอง ไม่ได้มีเงินถุงเงินถังที่จะสามารถไปเรียนด้วยตนเองทั้งหมด
ดังนั้น ตอนแรก จขกท. จึงมุ่งเป้าไปที่ 'การไปเรียนต่อด้วยทุนการศึกษา' เช่น ทุน MEXT
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างก็ดันทำให้ จขกท. 'ไม่สามารถไปด้วย MEXT ทั้งสองแบบได้ /หร่องไห้ TT
จขกท. จึงคิดกระทู้นี้น่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่ไม่สามารถไปเรียนต่อด้วยทุน MEXT ทั้งแบบ Embassy และ University Recommendation
เพราะถึงแม้ว่าเราจะไปไม่ได้ด้วยทุนเหล่านั้น แต่มันยังมีหนทางนะคะ อย่าไปยอมค่ะ อย่าไปย๊อมมมมมมมมมมม !!
มาค่ะ มาหาหนทางส่งตัวเองไปโลดแล่น ไปช็อปปิ้งที่ญี่ปุ่นกันค่ะทุกคนนนน ..
โดยในกระทู้นี้ จขกท. ขอแบ่งออกเป็น 5 ช่วงมรสุม ดังต่อไปนี้ค่ะ
1. ช่วงตามหาอาจารย์ที่ปรึกษา : มีใครอยากได้หนูไหมคะ ?
2. ช่วงงัดความสามารถออกมาโชว์ : หนูจะทำตามเงื่อนไขได้ไหมนะ ?
3. ช่วงคัดเลือกจากเอกสาร : หนูงงเหลือเกินพี่จ๋า เอกสารเยอะไปหม๊ด
4. ช่วงคัดเลือกจากการสอบข้อเขียนและสัมภาษณ์ : หนูจะต้องเตรียมตัวอย่างไรดีจ้ะพี่จ๋าา ?
5. ช่วงวันประกาศผลสอบ : บอกป้าข้างบ้านได้ละน้า ว่าจะไปเรียนต่อ
แต่อย่างไรก็ตาม... ก่อนไปรับชมมมม
จขกท. ต้องขอพนมมือก้มกราบที่หว่างอกชาวพันทิป เพื่อขออภัยในความยืดเยื้อ เขียนไม่รู้เรื่องของจขกท. ด้วยนะคะ
เนื่องจากเป็นกระทู้แรก เลยรู้สึกว่าตัวเองเขียนกระทู้เหมือนเม้ากับเพื่อนเลยค่ะ
ปล.1 ถึงแม้ว่าจะเป็น Japanese-based program แต่เนื่องด้วยเป็นปริญญาเอก จึงได้รับอนุญาตให้เขียนวิทยานิพนธ์เป็นภาษาอังกฤษ
จขกท. จึงไม่จำเป็นต้องใช้คะแนนภาษาญี่ปุ่นในระดับสูงค่ะ แต่ยังต้องมีพื้นฐานนะคะ
ปล.2 การสมัครเรียนต่อนี้ เมื่อสมัครเข้าไปได้แล้ว จะมีรายการทุนให้นักศึกษาของมหาวิทยาลัยสมัครค่ะ ขึ้นอยู่กับแต่ละมหาวิทยาลัยนะคะ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
1) ช่วงตามหาอาจารย์ที่ปรึกษา : มีใครอยากได้หนูไหมคะ ?
เพื่อน ๆ บางคน หรืออาจจะทุกคน 5555 คงทราบกันแล้วว่า
การจะไปเรียนต่อญี่ปุ่นได้นั้น ไม่ว่าจะระดับปริญญาโท หรือเอก สิ่งที่สำคัญที่สุดในเจ็ดโลก ก็คือ 'อาจารย์ที่ปรึกษา' ค่ะ
เป็นขั้นตอนที่เกือบจะทำให้จขกท. ล้มเลิกความฝัน (ที่อยากไปช็อปปิ้ง เอ้ย ที่อยากจะไปเรียนต่อปอเอกที่ญี่ปุ่น) กันเลยทีเดียวค่ะ
1.1) เริ่มต้นหาอาจารย์ที่ปรึกษาอย่างไรดี
ขอเล่าย้อนกลับไปตอนปีพ.ศ. 2475 (เอ้ย นานไปป่ะย้ะ) ตอนเริ่มต้นวางแผนไปช็อปปิ้งค่ะ
เพื่อนๆ รอบตัวของจขกท. ที่ส่วนใหญ่ที่เป็นสายวิทยาศาสตร์-วิศวกรรมศาสตร์
ล้วนได้รับโอกาสจากอาจารย์ที่ปรึกษาที่ไทยส่งไปเรียนต่อโท-เอกที่ญี่ปุ่นด้วยทุน MEXT แบบ University recommendation กันหมด
(**ทุนนี้ให้เงินหรือว่ามีแนวทางสนับสนุนเหมือนกับ MEXT แบบ Embassy เลยนะคะ ต่างกันแค่ไม่ต้องสอบรวมกับคนในประเทศที่จะจัดสอบปีละ 1 ครั้ง ทุนนี้จะเป็นการสมัครผ่านอาจารย์ที่ปรึกษาในญี่ปุ่นเลย ขั้นตอนก็อาจจะมีการสัมภาษณ์บ้าง แต่ส่วนใหญ่เพื่อน ๆ ของจขกท. จะเป็นอาจารย์ที่ญี่ปุ่นที่มี
คอนแทค หรือความสัมพันธ์อันยาวนานกับอาจารย์ในไทย ก็เลยค่อนข้างจะสะดวกกว่าในระดับหนึ่งค่ะ**)
จขกท. ผู้ซึ่งปิ๊งไอเดียว่าอยากไปบ้างจังเลย ก็เลยริเริ่มคิดหาทางค่ะ
แต่ความโชคร้ายคือ จขกท. ไม่มีเลย ไม่มีคอนแทคเลยเจ้าค่ะ /ทำเสียงแม่หญิงจันทร์วาดในละครบุพเพสันนิวาส
อาจารย์ของจขกท. จบจากฝั่งอเมริกา ไม่มีคอนแทคกับอาจารย์ท่านใดในญี่ปุ่นเลย จึงทำให้หนทางแบบเพื่อนๆ นั้นเป็นไปไม่ได้เลยค่ะ
จึงจำใจต้องตัดออกไป 1 ช่องทาง แล้วเดินไปนั่งร้องไห้ข้างตุ่ม /ดราม่าอ่ะเนอะ
หลังจากรู้ว่าทางนี้ไม่ได้.. ก็เลยพยายามมองไปที่ ทุน MEXT แบบ Embassy
แต่อยู่ดี ๆ อีกร่างในตัวจขกท. เองก็เตือนสติมาว่า "หล่อนเก่งภาษาอังกฤษแค่ไหนกันย้ะ ?" 55555555 เหมือนโดนนํ้าสาดให้ตื่นเลยค่ะ
**หากจะสมัครด้วยช่องทางนี้ สายของจขกท. สอบภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว หรืออาจจะเลือกสอบภาษาญี่ปุ่นด้วย
จึงทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่จะบ่งชี้ว่าไปได้หรือไปไม่ได้ค่ะ**
(ปล. หากเป็นสายอื่น ๆ จะมีวิชาที่ต้องสอบแตกต่างกันไปนะคะ อาจจะมีวิทยาศาสตร์ เลขด้วย ต้องติดตามผ่านหน้าเว็บสถานทูตค่า)
แต่จขกท. นั้น นอกจากจะไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้ว ภาษาญี่ปุ่นก็คือไม่ได้เลย ชีวิตช่างเศร้าอะไรแบบนี้
ก็เลยเอาวะ ตัดออกอีกช้อยส์ก็ได้.. เหลือแค่ 'พยายามสมัครทุน MEXT แบบ University Recommendation ด้วยตนเอง'
ซึ่งขั้นตอนแรกก็ คือ 'หาอาจารย์ที่ปรึกษา และติดต่อไปเอง' ค่ะ
จขกท. เริ่มต้นจากการเปิดดู ranking ของมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่น หลังจากเข้าดูแต่ละมหาวิทยาลัยว่ามีคณะ/สาขาที่ตนเองสนใจหรือไม่
หากพบว่ามี ก็จะหาต่อไปว่าในสาขาของมหาวิทยาลัยนั้น มีอาจารย์กี่ท่าน อาจารย์แต่ละท่านทำงานวิจัยด้านไหนบ้าง
งานวิจัยนั้นตรงกับความสนใจ และงานของเราไหม ถ้าเจอแล้วว่ามีตรงกับสิ่งที่เราตามหา ก็จะลิสต์ออกมาเรื่อยๆ ค่ะ ...
ตอนนั้นจำได้ว่าลิสต์ไว้ประมาณ 10 คนค่ะ (อาจจะดูเหมือนเยอะนะคะ แต่สุดท้ายเรื่องก็มักจะเศร้ากว่าที่เราคิดค่ะ /ปาดนํ้าตารอบที่ 500)
พอได้รายชื่อมาแล้ว ก็เริ่มส่งเมลเพื่อแนะนำตัวกับอาจารย์ที่ปรึกษา..
โดยเริ่มจากท่านที่รู้สึกว่าตรงกับความสนใจของเรา และมหาวิทยาลัยที่เราอยากไปมากที่สุด
ตอนนั้นจขกท. อยากไปจังหวัดนอก ๆ ค่ะ ส่วนตัวคิดว่ามหาวิทยาลัยในเมือง น่าจะโอกาสน้อย อีกทั้งค่าครองชีพแพงค่ะ
(ถึงแม้ว่าจะขัดกับความรู้สึกรักการช็อปปิ้งของตนเองก็ตาม TT)
โดยใจความในเมลก็จะเป็น : เราเป็นใคร ทำงานวิจัยเรื่องอะไร สนใจอยากจะทำอะไรต่อในปริญญาถัดไป ทำไมถึงอยากเป็นนักศึกษาของอาจารย์
พร้อมกับแนบเรซูเม่ และผลงานวิจัย เช่น คอนเฟอเร้น หรือเปเปอร์ตีพิมพ์ (ที่มีจำนวนน้อยนิดก็ไม่เป็นไร) ประกอบการพิจารณาค่ะ
หลังจากนั้น ก็ คือ รอค่ะ รออออออออย่างเดียว TTT
อาจารย์บางท่านจะตอบเร็วมาก บางคนตอบช้าหน่อย หรือบางท่านอาจจะไม่ตอบเลยก็มีค่ะ
ที่จขกท. เจอ ก็มีหลายรูปแบบมากค่ะ แต่ส่วนใหญ่ก็คือ ไม่มีทุน MEXT สำหรับสาขานี้ (เยอะมาก), อาจารย์ไม่รับเด็กต่างชาติ ด้วยข้อจำกัดของภาษา,
ไม่รับเด็กปอเอก, จะรับเด็กต่างชาติที่มีความสามารถทางภาษาญี่ปุ่นระดับสูง,... เป็นต้นค่ะ
*** จากที่ฟังต่อ ๆกันมา+ประสบการณ์ตรงของตนเอง พบว่า สายสังคม ถ้าจะสมัครแบบนี้ไม่ค่อยมีทุนค่ะ ส่วนใหญ่ทุนมักจะไปที่สายวิทย์/วิศวะ***
พอยังไม่มีอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างจังหวัดท่านไหนตอบรับ
จขกท. ก็เลยพุ่งเป้าว่าจะติดต่ออาจารย์ท่านที่อยู่ในเมืองใหญ่ ๆ บ้าง ทำไปแบบนี้เรื่อย ๆ ค่ะ..
ตอนนั้นรู้สึกได้ว่ามีนํ้าตาเอ่อทุกวันที่ตื่นมาเห็นเมล หรือมาเช็คอีเมลในตอนเช้าค่ะ
แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้นะคะ ร้องไห้ไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาท่านใหม่ไปเรื่อย ๆ
รู้สึกตัวอีกที ตอนนั้นน่าจะติดต่อไป ถึง20 กว่าคนค่ะทุ๊กคน โดนปฏิเสธจนชินชาบ้าง หรือการตอบกลับเงียบบ้าง
1.2) ฟ้ามาโปรดดดหนูแล้ว
แต่ในที่สุดค่ะ มีอาจารย์ท่านหนึ่งจากมหาวิทยาลัยในเมือง ส่งเมลตอบกลับมาว่า.. 'ยินดีจะรับจขกท. เป็นนิสิตในที่ปรึกษา แต่ว่าทางมหาลัยไม่มีทุน MEXT แบบ University Recommendation ให้นะ แต่อาจารย์ยินดีจะหาทุนอย่างอื่นให้ สนใจหรือเปล่าาาาาาา'
**ตอนแรกอยากอยู่ธรรมชาติ ไม่มีใครรับเลยค่ะ สงสัยดวงจะได้ไปอยู่ใกล้ตลาดอะเมะโยโกะจริงๆค่ะ อิอิ**
โอ้โห้วววว วันนั้นฟีลแบบวันนี้ที่รอคอย ดอกไม้ช่างสวยงาม ท้องฟ้าช่างสดใสสประมาณนั้นเลยค่ะ
จขกท. เลยรีบตอบกลับเมลอย่างรวดเร็วว่า 'สนใจค่ะ' แต่เนื่องด้วยตัวเองไม่มีทุนสนับสนุนในการไปเรียนเลย
จึงอยากทราบเกี่ยวกับรายละเอียดทุนว่าเป็นอย่างไร บอกกับอาจารย์ไปตรงๆ เลยค่ะ ว่าหนูไม่มีตังค่ะอาจารย์ แง๊
อาจารย์ก็พยายามหารายละเอียดทุนมาให้ว่ามีทุนนี้ๆ นะ รายละเอียดเป็นแบบนี้ มันเป็นทุนค่าเรียนนะ สมัครหลังจากเป็นนักศึกษาแล้ว
แต่ความคิดหนักคือ แล้วฉันจะอยู่จะกินอย่างไรรรร ค่าครองชีพก็แพงเหลือเกิน แม่เจ้า
อาจารย์ก็เลยแนะนำว่าจขกท. สามารถทำงานพิเศษ และขอทุนค่าอยู่ค่ากินเพิ่มเติมได้ภายหลังค่ะ มหาวิทยาลัยมีทุนเยอะมาก ><
สุดท้าย จขกท. ก็มีที่พักพิงแล้วค่าาาาาาาาาา ...
จากการร้องไห้เพราะโดนปฎิเสธมานับครั้งไม่ถ้วนนน แต่ไม่ยอมค่ะ ตลาดอะเมโยโกะรอเราอยู่ 555
1.3) พบอาจารย์ที่ปรึกษาครั้งแรก
เนื่องด้วยตอนนั้นจขกท. มีไปนำเสนองานที่คอนเฟอเร้นที่โตเกียวพอดี ก็เลยสอบถามอาจารย์ไปว่าอาจารย์ได้เข้าร่วมงานนี้หรือไม่
ปรากฏว่าอาจารย์ท่านก็ไปค่ะ ท่านก็เลยชวนจขกท. ไปกินข้าวแถว ๆ มหาลัยด้วยกัน จึงเป็นการเจอกันครั้งแรกแบบตื่นเต้นมากค่ะ
ตอนไปกินข้าวกับอาจารย์ รู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังถูกสอบสัมภาษณ์อยู่เลยค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นไปในรูปแบบสบายๆนะคะ
เพราะอาจารย์จะมีคำถามเกี่ยวกับมุมมองในการวิจัย ถามเกี่ยวกับงานวิจัยในปอโทว่าทำอย่างไร ทำไมถึงทำเรื่องนั้น และอยากจะทำอะไรในปอเอก
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนั้น อาจารย์ท่านบอกกับจขกท. ว่าเนื่องด้วยคณะที่จขกท. จะเข้าเป็น Japanese-based program จึงทำให้ขั้นตอนทุกอย่างจะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องกลัวนะ อาจารย์พร้อมจะช่วยทุกอย่าง แต่อาจารย์อยากให้หลังจากนี้ จขกท. เตรียมตัวบางอย่าง จะได้ไม่ลำบากตอนมาเรียน …