ต้นเหตุของเรื่องนี้ เกิดจากที่ผมได้ข้อมูลมาว่าการใส่วาล์วน้ำองศาต่ำช่วยลดความร้อนของเครื่องยนต์ได้ คนที่เคยใช้แล้วยืนยันว่าความร้อนลดลงจริง ผมไปหาข้อมูลอ่านเพิ่ม ได้ความประมาณว่าประสิทธิภาพการระบายความร้อนมันไม่ได้ดีขึ้น แต่ความร้อนโดยเฉลี่ยจะลดลงจริง อ่านจนพอเข้าใจและพับเก็บโปรเจคไว้ก่อน
เวลาผ่านไปสักระยะ ได้เห็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องวาล์วน้ำองศาต่ำในกลุ่มคลับรถบ่อยขึ้น (เหมือนเป็นเทร็นด์ เปลี่ยนตามๆกัน) ด้วยความที่ผมอ่านมาแค่พอเข้าใจคอนเซป แต่ยังไม่เคยลองใช้เลยยังไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมที่แท้จริงของมัน ก็เลยคิดว่าถ้าได้ทดลองใช้เองจริงๆน่าจะเข้าใจมันมากขึ้น และน่าจะแนะนำคนอื่นได้ชัดเจนมากกว่านี้ครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับรถ
ยี่ห้อ-รุ่น : Toyota Altis 2004
เครื่อง-เกียร์ : 2ZZ-GE 6MT (วางเครื่องซิ่ง ไม่ใช่เครื่องตรงรุ่นรถเดิม)
วาล์วน้ำ : แท้โตโยต้า 82 องศา <--- เปลี่ยนเป็น 76 องศา ในรีวิวนี้
อุณหภูมิทำงาน : 85-95 องศา (ตามคู่มือ)
พัดลมเต็มสปีด : 97 องศา
ภาพรวมระบบระบายความร้อน
1. ปั๊มน้ำ - ช่วยดันให้น้ำเกิดการวนในระบบ (จากหม้อน้ำวนไปสู่เครื่อง จากเครื่องวนออกมาที่หม้อน้ำ)
2. น้ำยาหล่อเย็น - เป็นตัวกลางที่นำพาความร้อนออกมาจากเครื่องยนต์
3. หม้อน้ำ - เป็นตัวหลักที่ทำหน้าที่ลดความร้อน โดยใช้ประโยชน์จากลมที่ผ่านเข้ามาด้านหน้ารถ หรือจากพัดลมดูดลมเข้ามา
4. วาล์วน้ำ - ช่วยคุมไม่ให้อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิทำงานเกินไป
5. พัดลมหน้าเครื่อง - ช่วยคุมไม่ให้อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิทำงานเกินไป
เมื่อสตาร์ทรถตอนเครื่องเย็น
เมื่อสตาร์ทรถตอนเครื่องเย็น จะเข้าสู่โหมดวอร์มอัพ (เป็น open loop จะสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น) ecu จะสั่งให้เร่งรอบสูง (ประมาณ 1200-1500 รอบ) เพื่อให้เครื่องยนต์อุ่นไวๆ เพื่อให้ไปถึงช่วงอุณหภูมิทำงานได้เร็วขึ้น (จะค่อยๆเปลี่ยนเป็น close loop ก่อนถึงอุณหภูมิทำงาน) ซึ่งช่วงที่เครื่องยังเย็นอยู่ น้ำมันเครื่องจะหนืดไป ปกป้องเครื่องยนต์ได้ไม่ดี เสี่ยงที่จะสึกหรอมาก (ช่วงนี้ควรขับช้าๆคลานๆเพื่อลดการสึกหรอ) แต่ถ้าเครื่องอุ่นแล้ว อยู่ในช่วงอุณหภูมิทำงาน (85-95 องศา) น้ำมันเครื่องก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความสึกหรอได้มากที่สุด แต่ถ้าความร้อนสูงกว่า 95 ไปมากๆ ก็ปกป้องเครื่องยนต์ได้ไม่ดีอีกเช่นกัน จึงต้องมีพัดลมช่วยคุมความร้อน เมื่อความร้อนถึง 97 องศา พัดลมก็จะหมุนเต็มสปีดเพื่อระบายให้ความร้อนลดลงนั่นเองครับ
ในรถเดิมๆจะมีเพียงเกจเข็มบอกความร้อนซึ่งอ่านค่าได้หยาบๆ ชี้ที่ C ถ้าเครื่องเย็น และก็จะชี้ตรงกลางตลอดเวลาหลังจากผ่านการวอร์มอัพไปแล้ว หรือเป็นสัญลักษณ์เรือใบสีฟ้าหากเครื่องเย็น และจะดับไปหากผ่านการวอร์มอัพแล้ว (สัญลักษณ์สีฟ้าจะดับไปเมื่ออุณหภูมิราวๆ 60 อวศา ยังไม่ถึงอุณหภูมิทำงานครับ) ซึ่งก็แล้วแต่รุ่นรถครับ ถ้าอยากรู้อุณหภูมิโดยละเอียด สามารถซื้อเกจอ่านค่าความร้อนของน้ำมาติดเพิ่ม ที่นิยมกันก็จะเป็นเกจที่ใช้เสียบต่อจากพอร์ต OBD2 ของรถยนต์เอง ซึ่งวัดได้ค่อนข้างตรงครับ
คลิปเก่า แสดงให้เห็นว่าช่วงวอร์มอัพ เครื่องยนต์ทำงานอย่างไร..
วาล์วน้ำองศาต่ำไม่ตรงรุ่น
วาล์วน้ำองศาต่ำแท้โตโยต้าสำหรับอัลติสตรงรุ่นรถผมนั้นไม่มีครับ อู่บอกว่าคนที่หาๆมาใส่กันก็เอาของวิออสมาใส่ (เป็นของแท้โตโยต้าเหมือนกัน) ซึ่งขนาดมันเท่ากันต่างกันแค่ตูด ใส่กันได้ แต่อู่ย้ำว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้เย็นนะ แต่ถ้าอยากลองก็ได้ ที่นี่มี ใส่มาให้หลายคันแล้ว ผมก็เลยจัดไปครับ พร้อมรับความเสี่ยง ถ้าดีขึ้นหรือเหมือนเดิมก็จะได้รู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้รู้จากที่ฟังคนอื่นมา พร้อมกันนี้ก็เปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นและฝาปิดหม้อน้ำด้วย เพราะฝามันเริ่มเสื่อมแล้ว
ตอนใช้วาล์วน้ำ 82 องศา
ตอนวอร์มเครื่อง 0-82 ความร้อนจะขึ้นเร็ว หลัง 82 ไปความร้อนจะขึ้นช้าลงหน่อย (ผมจะนิยมขับช้าๆไม่เกิน 40-60 กม./ชม. จนความร้อนถึง 80 องศาถึงจะขับเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นหลัง 80 ไปอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไรครับ)
ในช่วงขับใช้งาน รถแต่ละรุ่นอุณหภูมิความร้อนอาจจะไม่เท่ากันนะครับ สำหรับรถผมเป็นรถวางเครื่องซิ่งมา ตอนที่ใช้วาล์วน้ำ 82 องศา อุณหภูมิเมื่อขับด้วยความเร็วปานกลาง (60-80 กม./ชม.) นิ่งๆจะอยู่ที่ 88 องศา และต่ำที่สุดๆในช่วงที่อากาศเย็น ยังไงก็ไม่เคยต่ำกว่า 87 องศาครับ ถ้าขับความเร็วเดินทาง (80-120 กม./ชม.) จะอยู่ที่ราว 88-90 องศา ส่วนถ้าขับความเร็วปานกลางแบบเร่งๆผ่อนๆ จะอยู่ที่ 92-97 องศา และถ้าขับในเมืองรถติดๆ ต้องเร่งๆเบรคๆติดกันนานๆ ความร้อนจะอยู่ราวๆ 95 และขึ้นไปถึง 97 จนพัดลม full speed ต้องทำงานก็บ่อยครั้ง ยิ่งสำหรับการขับโหลดสูงๆอย่างตอนที่ขับไต่ขึ้นเขาทางชันต่อเนื่อง ความร้อนจะไต่ขึ้นไปเกิน 97 องศา ไปถึง 100 องศาเป็นประจำ แต่พอถึง 100 ผมก็มักจะผ่อนลงไม่ตะบี้ตะบันกดต่อครับ แต่การขับขึ้นเขาความร้อนก็ยังเป็นรองการขับซิ่งๆในทางราบครับ เคยขับแบบซิ่งๆรอบสูงๆยาวๆ ความร้อนขึ้นไปถึง 107 องศา! ผมนี่รีบเบาแล้วเข้าเลนซ้ายชะลอความเร็วเหลือ 60 เลยครับ ตอนนั้นตกใจมาก แต่เหลือบมองเกจความร้อนของรถก็ยังไม่กระดิกขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ยังมีอีก 2 เรื่องที่ผมพยายามสังเกตรถผมคือเรื่องความอืดกับท่อดัง การขับแบบหวานเย็นไปนานๆ ความร้อนอยู่ราวๆ 88-90 ความร้อนสะสมก็ต่ำ เวลากดเร่งแซง รถจะพุ่งดีแซงง่ายไม่อืด แต่ถ้าขับใช้งานแบบเร่งๆเบรคๆ ความร้อนอยู่ช่วง 95-97 ถ้าอยู่ระดับนี้นานๆ จะมีความร้อนสะสม เวลากดเร่งแซงมันจะมีความอืดลงกว่าเดิมนิดหน่อย บวกกับเสียงท่อก็จะดังกว่าเดิมอีกหน่อยด้วยครับ
หลังใช้วาล์วน้ำ 76 องศา
ตอนวอร์มเครื่อง 0-76 ความร้อนจะขึ้นเร็ว หลัง 76 ไปความร้อนจะขึ้นช้าลง (ผมจะนิยมขับช้าๆไม่ เกิน 40-60 จนความร้อนถึง 80 องศา สังเกตได้ชัดเลยว่าหลัง 76 มันขยับช้ากว่าเดิมมากครับ ลุ้นอยู่นานกว่าจะถึง 80 จะได้หยุดคลานซะที)
หลังเปลี่ยนมาใช้วาล์วน้ำองศาต่ำ ภาพรวมคือมันก็เกิดความแตกต่างจริงในช่วง floor ครับ กล่าวคือ จากปกติผมขับยังไงความร้อนต่ำสุดก็ไม่ต่ำกว่า 87 องศา แต่ตอนนี้ขับความเร็วปานกลางความเร็วคงที่ ความร้อนจะลดลงเหลือแค่ 84 องศาเท่านั้นเอง! (ต่ำสุดที่เคยเจอคือ 82 ครับ แต่ก็ยากมากที่จะลงไปถึง 82) แต่มันก็ดีขึ้นแค่เคสดียว ในการขับความเร็วปานกลางแบบเร่งๆผ่อนๆ ความร้อนก็ไปอยู่ที่ 92-97 เหมือนเดิมอยู่ดี และถ้าขับรถติดๆเร่งๆเบรคๆ ความร้อนก็จะขึ้นไปถึง 97 จนพัดลมต้องทำงานเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าโอกาสที่มันจะขึ้นไปถึง 97 ให้พัดลมทำงานนั้นน้อยลง เพราะจากเดิมมันเริ่มไต่จาก 88 -> 97 แต่ตอนนี้มันไต่จาก 83 -> 97 มันเลยใช้เวลาในการไต่ไปให้ถึงจุดนั้นนานขึ้นนั่นเองครับ รวมๆก็คือทำให้พัดลมทำงานน้อยลงจริง และอุณหภูมิเฉลี่ยของระบบน้ำลดลงจริง สำหรับการใช้งานทั่วไปแบบผมนะครับ
ส่วนเรื่องท่อดังกับเร่งแซงอืด ถ้าขับเร่งๆเบรคๆเป็นเวลานานๆจนความร้อนสะสมสูง ท่อก็ยังดังและเร่งอืดเหมือนกันครับ เพียงแต่มันจะเกิดเหตุการณ์นั้นยากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง
สรุปผลการทดลอง
วาล์วน้ำองศาต่ำไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการลดความร้อนดีขึ้น (เพราะอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ลดความร้อนคือหม้อน้ำและพัดลม) แต่ช่วยลด floor ให้ต่ำลง ขับใช้งานโหลดน้อยๆขับหวานเย็นอุณหภูมิน้ำจะต่ำกว่าเดิม แต่ขับโหดโหลดสูง ขับเร่งๆเบรคๆ หรือขับปีนทางชันต่อเนื่องจะยังคงอุณหภูมิสูงเหมือนเดิม แต่เพราะช่วงต่างอุณหภูมิมากขึ้น ก็ทำให้ความร้อนขึ้นไปถึงจุดที่พัดลม full speed ทำงานยากขึ้น และทำให้พัดลมทำงานน้อยลงครับ

*ความเร็วช้าและปานกลางที่อ้างถึงตัวเลขความเร็วนั้นๆ ใช้เพื่อคุยกันเข้าใจง่ายๆในรีวิวนี้เท่านั้นนะครับ
** ขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่คิดจะใช้วาล์วน้ำองศาต่ำนะครับ
(1) ต้องทราบก่อนว่าอุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์รถท่านนั้นกี่องศา (รถผมคือ 85-95 องศา)
(2) มีเกจอ่านค่าความร้อนเห็นตัวเลขอุณหภูมิระบบน้ำชัดเจน (รถผม 87-97 องศา)
(3) อุณหภูมิที่ใช้งานจริง สูงกว่าอุณหภูมิทำงานปกติขั้นต่ำตลอดเวลา (รถผมคือ ขั้นต่ำ 87 องศา สูงกว่า 85 องศา)
=> ถ้าเป็นไแตามนี้ ก็อาจพิจารณาใช้วาล์วน้ำองศาต่ำได้ครับ
แต่หากใช้วาล์วน้ำเดิมๆแล้วอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิทำงานขั้นต่ำอยู่แล้วก็ไม่ควรใช้เพราะอุณหภูมิจะต่ำเกินไปครับ ผมเห็นในกลุ่มรถต่างๆ โชว์ค่าความร้อน 82 บ้าง 83 บ้าง แต่ก็ยังมาโพสต์ถามว่าจะเปลี่ยนวาล์วน้ำองศาต่ำดีไหม สำหรับผม ผมว่าไม่ควรเลยครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาด ใช้คำไม่เหมาะสมหรือมีคำผิด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ..
ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/
[CR] รีวิวสามัญชน: วาล์วน้ำองศาต่ำ ลดความร้อนได้จริงเหรอ?
เวลาผ่านไปสักระยะ ได้เห็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องวาล์วน้ำองศาต่ำในกลุ่มคลับรถบ่อยขึ้น (เหมือนเป็นเทร็นด์ เปลี่ยนตามๆกัน) ด้วยความที่ผมอ่านมาแค่พอเข้าใจคอนเซป แต่ยังไม่เคยลองใช้เลยยังไม่ค่อยเข้าใจพฤติกรรมที่แท้จริงของมัน ก็เลยคิดว่าถ้าได้ทดลองใช้เองจริงๆน่าจะเข้าใจมันมากขึ้น และน่าจะแนะนำคนอื่นได้ชัดเจนมากกว่านี้ครับ
ข้อมูลเกี่ยวกับรถ
ยี่ห้อ-รุ่น : Toyota Altis 2004
เครื่อง-เกียร์ : 2ZZ-GE 6MT (วางเครื่องซิ่ง ไม่ใช่เครื่องตรงรุ่นรถเดิม)
วาล์วน้ำ : แท้โตโยต้า 82 องศา <--- เปลี่ยนเป็น 76 องศา ในรีวิวนี้
อุณหภูมิทำงาน : 85-95 องศา (ตามคู่มือ)
พัดลมเต็มสปีด : 97 องศา
ภาพรวมระบบระบายความร้อน
1. ปั๊มน้ำ - ช่วยดันให้น้ำเกิดการวนในระบบ (จากหม้อน้ำวนไปสู่เครื่อง จากเครื่องวนออกมาที่หม้อน้ำ)
2. น้ำยาหล่อเย็น - เป็นตัวกลางที่นำพาความร้อนออกมาจากเครื่องยนต์
3. หม้อน้ำ - เป็นตัวหลักที่ทำหน้าที่ลดความร้อน โดยใช้ประโยชน์จากลมที่ผ่านเข้ามาด้านหน้ารถ หรือจากพัดลมดูดลมเข้ามา
4. วาล์วน้ำ - ช่วยคุมไม่ให้อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิทำงานเกินไป
5. พัดลมหน้าเครื่อง - ช่วยคุมไม่ให้อุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิทำงานเกินไป
เมื่อสตาร์ทรถตอนเครื่องเย็น
เมื่อสตาร์ทรถตอนเครื่องเย็น จะเข้าสู่โหมดวอร์มอัพ (เป็น open loop จะสั่งจ่ายน้ำมันมากขึ้น) ecu จะสั่งให้เร่งรอบสูง (ประมาณ 1200-1500 รอบ) เพื่อให้เครื่องยนต์อุ่นไวๆ เพื่อให้ไปถึงช่วงอุณหภูมิทำงานได้เร็วขึ้น (จะค่อยๆเปลี่ยนเป็น close loop ก่อนถึงอุณหภูมิทำงาน) ซึ่งช่วงที่เครื่องยังเย็นอยู่ น้ำมันเครื่องจะหนืดไป ปกป้องเครื่องยนต์ได้ไม่ดี เสี่ยงที่จะสึกหรอมาก (ช่วงนี้ควรขับช้าๆคลานๆเพื่อลดการสึกหรอ) แต่ถ้าเครื่องอุ่นแล้ว อยู่ในช่วงอุณหภูมิทำงาน (85-95 องศา) น้ำมันเครื่องก็จะทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดความสึกหรอได้มากที่สุด แต่ถ้าความร้อนสูงกว่า 95 ไปมากๆ ก็ปกป้องเครื่องยนต์ได้ไม่ดีอีกเช่นกัน จึงต้องมีพัดลมช่วยคุมความร้อน เมื่อความร้อนถึง 97 องศา พัดลมก็จะหมุนเต็มสปีดเพื่อระบายให้ความร้อนลดลงนั่นเองครับ
ในรถเดิมๆจะมีเพียงเกจเข็มบอกความร้อนซึ่งอ่านค่าได้หยาบๆ ชี้ที่ C ถ้าเครื่องเย็น และก็จะชี้ตรงกลางตลอดเวลาหลังจากผ่านการวอร์มอัพไปแล้ว หรือเป็นสัญลักษณ์เรือใบสีฟ้าหากเครื่องเย็น และจะดับไปหากผ่านการวอร์มอัพแล้ว (สัญลักษณ์สีฟ้าจะดับไปเมื่ออุณหภูมิราวๆ 60 อวศา ยังไม่ถึงอุณหภูมิทำงานครับ) ซึ่งก็แล้วแต่รุ่นรถครับ ถ้าอยากรู้อุณหภูมิโดยละเอียด สามารถซื้อเกจอ่านค่าความร้อนของน้ำมาติดเพิ่ม ที่นิยมกันก็จะเป็นเกจที่ใช้เสียบต่อจากพอร์ต OBD2 ของรถยนต์เอง ซึ่งวัดได้ค่อนข้างตรงครับ
คลิปเก่า แสดงให้เห็นว่าช่วงวอร์มอัพ เครื่องยนต์ทำงานอย่างไร..
วาล์วน้ำองศาต่ำไม่ตรงรุ่น
วาล์วน้ำองศาต่ำแท้โตโยต้าสำหรับอัลติสตรงรุ่นรถผมนั้นไม่มีครับ อู่บอกว่าคนที่หาๆมาใส่กันก็เอาของวิออสมาใส่ (เป็นของแท้โตโยต้าเหมือนกัน) ซึ่งขนาดมันเท่ากันต่างกันแค่ตูด ใส่กันได้ แต่อู่ย้ำว่ามันไม่ได้ช่วยทำให้เย็นนะ แต่ถ้าอยากลองก็ได้ ที่นี่มี ใส่มาให้หลายคันแล้ว ผมก็เลยจัดไปครับ พร้อมรับความเสี่ยง ถ้าดีขึ้นหรือเหมือนเดิมก็จะได้รู้ด้วยตัวเอง ไม่ได้รู้จากที่ฟังคนอื่นมา พร้อมกันนี้ก็เปลี่ยนถ่ายน้ำยาหล่อเย็นและฝาปิดหม้อน้ำด้วย เพราะฝามันเริ่มเสื่อมแล้ว
ตอนใช้วาล์วน้ำ 82 องศา
ตอนวอร์มเครื่อง 0-82 ความร้อนจะขึ้นเร็ว หลัง 82 ไปความร้อนจะขึ้นช้าลงหน่อย (ผมจะนิยมขับช้าๆไม่เกิน 40-60 กม./ชม. จนความร้อนถึง 80 องศาถึงจะขับเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นหลัง 80 ไปอาจจะไม่ค่อยได้สังเกตเท่าไรครับ)
ในช่วงขับใช้งาน รถแต่ละรุ่นอุณหภูมิความร้อนอาจจะไม่เท่ากันนะครับ สำหรับรถผมเป็นรถวางเครื่องซิ่งมา ตอนที่ใช้วาล์วน้ำ 82 องศา อุณหภูมิเมื่อขับด้วยความเร็วปานกลาง (60-80 กม./ชม.) นิ่งๆจะอยู่ที่ 88 องศา และต่ำที่สุดๆในช่วงที่อากาศเย็น ยังไงก็ไม่เคยต่ำกว่า 87 องศาครับ ถ้าขับความเร็วเดินทาง (80-120 กม./ชม.) จะอยู่ที่ราว 88-90 องศา ส่วนถ้าขับความเร็วปานกลางแบบเร่งๆผ่อนๆ จะอยู่ที่ 92-97 องศา และถ้าขับในเมืองรถติดๆ ต้องเร่งๆเบรคๆติดกันนานๆ ความร้อนจะอยู่ราวๆ 95 และขึ้นไปถึง 97 จนพัดลม full speed ต้องทำงานก็บ่อยครั้ง ยิ่งสำหรับการขับโหลดสูงๆอย่างตอนที่ขับไต่ขึ้นเขาทางชันต่อเนื่อง ความร้อนจะไต่ขึ้นไปเกิน 97 องศา ไปถึง 100 องศาเป็นประจำ แต่พอถึง 100 ผมก็มักจะผ่อนลงไม่ตะบี้ตะบันกดต่อครับ แต่การขับขึ้นเขาความร้อนก็ยังเป็นรองการขับซิ่งๆในทางราบครับ เคยขับแบบซิ่งๆรอบสูงๆยาวๆ ความร้อนขึ้นไปถึง 107 องศา! ผมนี่รีบเบาแล้วเข้าเลนซ้ายชะลอความเร็วเหลือ 60 เลยครับ ตอนนั้นตกใจมาก แต่เหลือบมองเกจความร้อนของรถก็ยังไม่กระดิกขึ้นเลยแม้แต่น้อย
ยังมีอีก 2 เรื่องที่ผมพยายามสังเกตรถผมคือเรื่องความอืดกับท่อดัง การขับแบบหวานเย็นไปนานๆ ความร้อนอยู่ราวๆ 88-90 ความร้อนสะสมก็ต่ำ เวลากดเร่งแซง รถจะพุ่งดีแซงง่ายไม่อืด แต่ถ้าขับใช้งานแบบเร่งๆเบรคๆ ความร้อนอยู่ช่วง 95-97 ถ้าอยู่ระดับนี้นานๆ จะมีความร้อนสะสม เวลากดเร่งแซงมันจะมีความอืดลงกว่าเดิมนิดหน่อย บวกกับเสียงท่อก็จะดังกว่าเดิมอีกหน่อยด้วยครับ
หลังใช้วาล์วน้ำ 76 องศา
ตอนวอร์มเครื่อง 0-76 ความร้อนจะขึ้นเร็ว หลัง 76 ไปความร้อนจะขึ้นช้าลง (ผมจะนิยมขับช้าๆไม่ เกิน 40-60 จนความร้อนถึง 80 องศา สังเกตได้ชัดเลยว่าหลัง 76 มันขยับช้ากว่าเดิมมากครับ ลุ้นอยู่นานกว่าจะถึง 80 จะได้หยุดคลานซะที)
หลังเปลี่ยนมาใช้วาล์วน้ำองศาต่ำ ภาพรวมคือมันก็เกิดความแตกต่างจริงในช่วง floor ครับ กล่าวคือ จากปกติผมขับยังไงความร้อนต่ำสุดก็ไม่ต่ำกว่า 87 องศา แต่ตอนนี้ขับความเร็วปานกลางความเร็วคงที่ ความร้อนจะลดลงเหลือแค่ 84 องศาเท่านั้นเอง! (ต่ำสุดที่เคยเจอคือ 82 ครับ แต่ก็ยากมากที่จะลงไปถึง 82) แต่มันก็ดีขึ้นแค่เคสดียว ในการขับความเร็วปานกลางแบบเร่งๆผ่อนๆ ความร้อนก็ไปอยู่ที่ 92-97 เหมือนเดิมอยู่ดี และถ้าขับรถติดๆเร่งๆเบรคๆ ความร้อนก็จะขึ้นไปถึง 97 จนพัดลมต้องทำงานเหมือนเดิม เพียงแต่ว่าโอกาสที่มันจะขึ้นไปถึง 97 ให้พัดลมทำงานนั้นน้อยลง เพราะจากเดิมมันเริ่มไต่จาก 88 -> 97 แต่ตอนนี้มันไต่จาก 83 -> 97 มันเลยใช้เวลาในการไต่ไปให้ถึงจุดนั้นนานขึ้นนั่นเองครับ รวมๆก็คือทำให้พัดลมทำงานน้อยลงจริง และอุณหภูมิเฉลี่ยของระบบน้ำลดลงจริง สำหรับการใช้งานทั่วไปแบบผมนะครับ
ส่วนเรื่องท่อดังกับเร่งแซงอืด ถ้าขับเร่งๆเบรคๆเป็นเวลานานๆจนความร้อนสะสมสูง ท่อก็ยังดังและเร่งอืดเหมือนกันครับ เพียงแต่มันจะเกิดเหตุการณ์นั้นยากขึ้นอีกหน่อยเท่านั้นเอง
สรุปผลการทดลอง
วาล์วน้ำองศาต่ำไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในการลดความร้อนดีขึ้น (เพราะอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ลดความร้อนคือหม้อน้ำและพัดลม) แต่ช่วยลด floor ให้ต่ำลง ขับใช้งานโหลดน้อยๆขับหวานเย็นอุณหภูมิน้ำจะต่ำกว่าเดิม แต่ขับโหดโหลดสูง ขับเร่งๆเบรคๆ หรือขับปีนทางชันต่อเนื่องจะยังคงอุณหภูมิสูงเหมือนเดิม แต่เพราะช่วงต่างอุณหภูมิมากขึ้น ก็ทำให้ความร้อนขึ้นไปถึงจุดที่พัดลม full speed ทำงานยากขึ้น และทำให้พัดลมทำงานน้อยลงครับ
*ความเร็วช้าและปานกลางที่อ้างถึงตัวเลขความเร็วนั้นๆ ใช้เพื่อคุยกันเข้าใจง่ายๆในรีวิวนี้เท่านั้นนะครับ
** ขอแนะนำเพิ่มเติมสำหรับผู้ที่คิดจะใช้วาล์วน้ำองศาต่ำนะครับ
(1) ต้องทราบก่อนว่าอุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์รถท่านนั้นกี่องศา (รถผมคือ 85-95 องศา)
(2) มีเกจอ่านค่าความร้อนเห็นตัวเลขอุณหภูมิระบบน้ำชัดเจน (รถผม 87-97 องศา)
(3) อุณหภูมิที่ใช้งานจริง สูงกว่าอุณหภูมิทำงานปกติขั้นต่ำตลอดเวลา (รถผมคือ ขั้นต่ำ 87 องศา สูงกว่า 85 องศา)
=> ถ้าเป็นไแตามนี้ ก็อาจพิจารณาใช้วาล์วน้ำองศาต่ำได้ครับ
แต่หากใช้วาล์วน้ำเดิมๆแล้วอุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิทำงานขั้นต่ำอยู่แล้วก็ไม่ควรใช้เพราะอุณหภูมิจะต่ำเกินไปครับ ผมเห็นในกลุ่มรถต่างๆ โชว์ค่าความร้อน 82 บ้าง 83 บ้าง แต่ก็ยังมาโพสต์ถามว่าจะเปลี่ยนวาล์วน้ำองศาต่ำดีไหม สำหรับผม ผมว่าไม่ควรเลยครับ
สุดท้ายนี้ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจ ถ้ามีสิ่งใดผิดพลาด ใช้คำไม่เหมาะสมหรือมีคำผิด ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ..
ฝากติดตามผลงานที่เพจ Need For Slow ด้วยครับ:
https://www.facebook.com/Needforslow247/
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้