“จงบังคับความคิดความคิดของคุณ เพื่อสร้างความจริง มายด์เซตทางบวกจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ทางบวก”
นักเขียนหนังสือพัฒนาตนเองอย่าง ลุยส์ เฮย์, นโปเลียน ฮิลล์, แอนโทนี่ รอบบินส์ และกูรูด้านการพัฒนาตนเองอีกมากมายต่างก็เห็นด้วยกับหลักการนี้ ปัญหาคือ
มันไม่ได้ผลนะสิ!
ครั้งสุดท้ายที่เราอยากให้อะไรเกิดขึ้นดังใจ ไม่ว่าจะเป็นงานในฝัน ความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ หรือที่จอดรถในเมือง เราอาจพยายามใช้การพูดย้ำกับตัวเองในเชิงบวก เขียนสิ่งที่ต้องการลงไปบนการ์ด พกไว้กับตัวตลอดเวลา หยิบขึ้นมาท่องซ้ำๆ สิ่งที่ได้รับกลับไม่ตรงกับใจเราเลยสักนิด เมื่อไม่เห็นผล เราอาจโทษตัวเองว่าไม่ได้ทำอย่างถูกวิธี
จริงๆแล้วที่ affirmation ไม่ได้ผล เป็นเพราะมันเป็นการ
บอกกับจิตสำนึกเราโดยตรง ไม่ใช่
จิตใต้สำนึก หาก affirmation ไม่ตรงกับความเชื่อด้านลบที่อยู่ลึกในใจ ดังนั้น ผลที่ได้คือ
ความขัดแย้งในใจแทน เช่นคุณคิดว่า คุณขี้เหล่และไม่มีค่า – ซึ่งเป็นความเชื่อของคนที่ประสบกับอาการซึมเศร้าทั่วโลก- ความเชื่อนี้จะรู้สึกว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงก็ตาม
ภาพเจน ฟอนด้า จาก Vogue
ยกตัวอย่างเช่น จุดสูงสุดในอาชีพของเจน ฟอนดา นักแสดงชื่อดังชาวอเมริกา ที่ถูกยกย่องให้เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุด ณ ขณะนั้น
ชีวประวัติของเธอเปิดเผยว่า เธอตัดสินรูปลักษณ์ของเธอว่าไม่คู่ควรกับความสวย และเธอยังทรมานจากโรคการกินผิดปกติหลายสิบปี
หากคุณเชื่อและรู้สึกจริงๆว่าตัวเองขี้เหล่และไร้ค่า แต่เรากลับบอกตัวเองว่าเราสวย จะเกิดความขัดแย้งในใจเราเอง การบอกตัวเองในเชิงบวก มีแต่จะทำให้จิตใต้สำนึกร้องบอกกลับมาว่า
“มันไม่จริง ไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด!” ความขัดแย้งนี้ทำให้เราต้องใช้พลังงานมากมายมหาศาล และก่อให้เกิดความตึงเครียดในร่างกายเราจริงๆ ผลสุดท้าย ความเชื่อลึกๆจะ
แข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากต้องสู้กับการพูดเชิงบวก(ที่เราไม่เชื่อ) และไม่ได้สิ่งที่เราปรารถนาไว้อีกต่างหาก
.
.
.
งั้น ถ้า affirmation ไม่ได้ผล แล้วอะไรถึงได้ผลล่ะ? ข่าวดีคือมีวิธีง่ายๆที่สามารถนำมาใช้ได้เลย และได้ผลทันทีอีกด้วย!
มีผลการศึกษาสุดแหวกแนว ชื่อว่า Motivating Goal-Directed Behavior Through Introspective Self Talk: The Role of the Interrogative Form of Simple Future Tense ที่พาเราไปศึกษาความแตกต่างระหว่าง
self-talk แบบป่าวประกาศ กับself-talk แบบถามตัวเอง
การป่าวประกาศกับตัวเอง หรือ Declarative self-talk คือการสร้างคำพูดจูงใจเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือลบ-- ส่วนการถามกับตัวเอง คือการตั้งคำถามกลับมาที่ตัวเอง หรือ interrogative self-talk
การศึกษาครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการทดลอง 4 กลุ่ม ถูกมอบหมายให้เล่นเกมสลับคำ ก่อนจบการทดลอง คนที่ทำการทดลองบอกกับคนเหล่านี้ว่า พวกเขาสนใจการเขียนลายมือ ดังนั้นจึงให้เขียนคำใดคำหนึ่ง ดังต่อไปนี้ “I will,” “Will I,” “I” or “Will.” จำนวน 20 คำบนกระดาษ ผลออกมาว่า กลุ่มที่เขียน Will I แก้เกมสลับคำได้ไวกว่าเกือบสองเท่าเทียบกับกลุ่มอื่น จากผลการศึกษานี้และอื่นๆที่คล้ายกัน พบว่า การถามตัวเราเอง
มีพลังกว่าการบอกตัวเองอย่างเดียว เมื่อเราต้องการความสำเร็จที่ต้องการ
หนังเรื่อง King's Speech จาก Youtube
คำถามมีพลังเพราะทำให้เรา
พยายามหาคำตอบ ย้ำเตือนสิ่งที่เรารู้หรือมี และกระตุ้นความสงสัย สิ่งที่เราต้องการคือ
การบิดคำพูด นิดหน่อยเท่านั้น
สมมติว่าเรากำลังจะพรีเซนต์ และรู้สึกกระวนกระวายใจ เราอาจพยายามใช้ คำพูดเชิงบวกกับตัวเองอย่าง "เรากำลังจะพรีเซนต์สิ่งที่มีคุณค่า และเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ฟัง" ซึ่งแทนที่สร้างกำลังใจกลับเพิ่ม
ความกดดันให้ตัวเองสะงั้น และปิดประตูของความเป็นไปได้ของการเข้าถึงความรู้และความสร้างสรรค์ที่เรามีอยู่ภายใน ที่เป็นกุญแจไปสู่สำเร็จได้
งั้นเราลองบิดคำพูดด้านบนสักหน่อยเป็น
“ฉันพรีเซนต์ไม่เก่งหรือเปล่า มันเคยไปได้สวยหรือไม่” หรือ
“การพรีเซนต์ของเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนฟังได้มั้ย” คำตอบที่อาจเป็นไปได้คือ
“ฉันขี้อายและวุ่นวายใจ แถมคนฟังก็ไม่สนใจฟังฉันเลย ยังไงก็ตาม การพรีเซนต์ครั้งล่าสุด เราพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจและสามารถดึงให้คนฟังเราได้จริงๆ เราสามารถทำได้มากกว่านี้มั้ย?” “การพรีเซนต์ครั้งล่าสุดไปได้ด้วยดี ฉันสามารถทำอะไรเพิ่มได้บ้าง”
กลยุทธ์นี้ได้ผลดีกว่าคำพูดเชิงบวก เพราะชี้ให้เห็นถึงความคิดและความรู้สึกเชิงลบ และลดความต้องการที่จะสู้กับมัน คุณเริ่มผูกมิตรกับจิตใต้สำนึกได้แล้ว และช่วยให้เกิดความร่วมมือกัน และแน่นอนว่าจิตใต้สำนึกมาพร้อมกับไอเดียบรรเจิดมากมาย
สรุป เราสามารถใช้คำพูดแบบคำถาม เพื่อผลักดันตัวเองได้ เป็นการกระตุ้นให้เราคิดทุกครั้งที่เราพูดออกมา
แล้วเพื่อนๆ ใช้ self-talk กับตัวเองแบบไหนกันบ้าง มีใครใช้วิธีนี้บางมั้ยคะ มาแชร์ความรู้กันได้นะ ^^
-Pianonimal-
[PianoNimal] ทำไม Affirmation หรือการพูดบวกกับตัวเองซ้ำๆ ถึงไม่ได้ผล--แล้วอะไรถึงได้ผล?
นักเขียนหนังสือพัฒนาตนเองอย่าง ลุยส์ เฮย์, นโปเลียน ฮิลล์, แอนโทนี่ รอบบินส์ และกูรูด้านการพัฒนาตนเองอีกมากมายต่างก็เห็นด้วยกับหลักการนี้ ปัญหาคือ มันไม่ได้ผลนะสิ!
ครั้งสุดท้ายที่เราอยากให้อะไรเกิดขึ้นดังใจ ไม่ว่าจะเป็นงานในฝัน ความสัมพันธ์ที่สมบูรณ์แบบ หรือที่จอดรถในเมือง เราอาจพยายามใช้การพูดย้ำกับตัวเองในเชิงบวก เขียนสิ่งที่ต้องการลงไปบนการ์ด พกไว้กับตัวตลอดเวลา หยิบขึ้นมาท่องซ้ำๆ สิ่งที่ได้รับกลับไม่ตรงกับใจเราเลยสักนิด เมื่อไม่เห็นผล เราอาจโทษตัวเองว่าไม่ได้ทำอย่างถูกวิธี
จริงๆแล้วที่ affirmation ไม่ได้ผล เป็นเพราะมันเป็นการบอกกับจิตสำนึกเราโดยตรง ไม่ใช่จิตใต้สำนึก หาก affirmation ไม่ตรงกับความเชื่อด้านลบที่อยู่ลึกในใจ ดังนั้น ผลที่ได้คือความขัดแย้งในใจแทน เช่นคุณคิดว่า คุณขี้เหล่และไม่มีค่า – ซึ่งเป็นความเชื่อของคนที่ประสบกับอาการซึมเศร้าทั่วโลก- ความเชื่อนี้จะรู้สึกว่าเป็นความจริงอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไงก็ตาม
ชีวประวัติของเธอเปิดเผยว่า เธอตัดสินรูปลักษณ์ของเธอว่าไม่คู่ควรกับความสวย และเธอยังทรมานจากโรคการกินผิดปกติหลายสิบปี
หากคุณเชื่อและรู้สึกจริงๆว่าตัวเองขี้เหล่และไร้ค่า แต่เรากลับบอกตัวเองว่าเราสวย จะเกิดความขัดแย้งในใจเราเอง การบอกตัวเองในเชิงบวก มีแต่จะทำให้จิตใต้สำนึกร้องบอกกลับมาว่า “มันไม่จริง ไม่ใช่ความจริงเลยสักนิด!” ความขัดแย้งนี้ทำให้เราต้องใช้พลังงานมากมายมหาศาล และก่อให้เกิดความตึงเครียดในร่างกายเราจริงๆ ผลสุดท้าย ความเชื่อลึกๆจะแข็งแกร่งมากขึ้น เนื่องจากต้องสู้กับการพูดเชิงบวก(ที่เราไม่เชื่อ) และไม่ได้สิ่งที่เราปรารถนาไว้อีกต่างหาก
.
.
.
งั้น ถ้า affirmation ไม่ได้ผล แล้วอะไรถึงได้ผลล่ะ? ข่าวดีคือมีวิธีง่ายๆที่สามารถนำมาใช้ได้เลย และได้ผลทันทีอีกด้วย!
มีผลการศึกษาสุดแหวกแนว ชื่อว่า Motivating Goal-Directed Behavior Through Introspective Self Talk: The Role of the Interrogative Form of Simple Future Tense ที่พาเราไปศึกษาความแตกต่างระหว่าง self-talk แบบป่าวประกาศ กับself-talk แบบถามตัวเอง
การป่าวประกาศกับตัวเอง หรือ Declarative self-talk คือการสร้างคำพูดจูงใจเชิงบวก ไม่ว่าจะเป็นเชิงบวกหรือลบ-- ส่วนการถามกับตัวเอง คือการตั้งคำถามกลับมาที่ตัวเอง หรือ interrogative self-talk
การศึกษาครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมการทดลอง 4 กลุ่ม ถูกมอบหมายให้เล่นเกมสลับคำ ก่อนจบการทดลอง คนที่ทำการทดลองบอกกับคนเหล่านี้ว่า พวกเขาสนใจการเขียนลายมือ ดังนั้นจึงให้เขียนคำใดคำหนึ่ง ดังต่อไปนี้ “I will,” “Will I,” “I” or “Will.” จำนวน 20 คำบนกระดาษ ผลออกมาว่า กลุ่มที่เขียน Will I แก้เกมสลับคำได้ไวกว่าเกือบสองเท่าเทียบกับกลุ่มอื่น จากผลการศึกษานี้และอื่นๆที่คล้ายกัน พบว่า การถามตัวเราเองมีพลังกว่าการบอกตัวเองอย่างเดียว เมื่อเราต้องการความสำเร็จที่ต้องการ
สมมติว่าเรากำลังจะพรีเซนต์ และรู้สึกกระวนกระวายใจ เราอาจพยายามใช้ คำพูดเชิงบวกกับตัวเองอย่าง "เรากำลังจะพรีเซนต์สิ่งที่มีคุณค่า และเป็นแรงบันดาลใจแก่ผู้ฟัง" ซึ่งแทนที่สร้างกำลังใจกลับเพิ่มความกดดันให้ตัวเองสะงั้น และปิดประตูของความเป็นไปได้ของการเข้าถึงความรู้และความสร้างสรรค์ที่เรามีอยู่ภายใน ที่เป็นกุญแจไปสู่สำเร็จได้
งั้นเราลองบิดคำพูดด้านบนสักหน่อยเป็น “ฉันพรีเซนต์ไม่เก่งหรือเปล่า มันเคยไปได้สวยหรือไม่” หรือ “การพรีเซนต์ของเราจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนฟังได้มั้ย” คำตอบที่อาจเป็นไปได้คือ “ฉันขี้อายและวุ่นวายใจ แถมคนฟังก็ไม่สนใจฟังฉันเลย ยังไงก็ตาม การพรีเซนต์ครั้งล่าสุด เราพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจและสามารถดึงให้คนฟังเราได้จริงๆ เราสามารถทำได้มากกว่านี้มั้ย?” “การพรีเซนต์ครั้งล่าสุดไปได้ด้วยดี ฉันสามารถทำอะไรเพิ่มได้บ้าง”
กลยุทธ์นี้ได้ผลดีกว่าคำพูดเชิงบวก เพราะชี้ให้เห็นถึงความคิดและความรู้สึกเชิงลบ และลดความต้องการที่จะสู้กับมัน คุณเริ่มผูกมิตรกับจิตใต้สำนึกได้แล้ว และช่วยให้เกิดความร่วมมือกัน และแน่นอนว่าจิตใต้สำนึกมาพร้อมกับไอเดียบรรเจิดมากมาย
สรุป เราสามารถใช้คำพูดแบบคำถาม เพื่อผลักดันตัวเองได้ เป็นการกระตุ้นให้เราคิดทุกครั้งที่เราพูดออกมา
แล้วเพื่อนๆ ใช้ self-talk กับตัวเองแบบไหนกันบ้าง มีใครใช้วิธีนี้บางมั้ยคะ มาแชร์ความรู้กันได้นะ ^^