ธปท.เผยเอสเอ็มอีขอพักหนี้ต่อ5% ยาวถึงมิ.ย.64
https://www.dailynews.co.th/economic/814397
ธปท.เผยมีลูกหนี้เอสเอ็มอีติดต่อไม่ได้ โทรฯ ไม่รับ 2% และรายย่อย 1% ชี้ลูกหนี้ธุรกิจขอพักหนี้ต่อ 5% ยาวถึง มิ.ย.64 พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มหากจำเป็น
นาง
วิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะมีลูกหนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 100 ล้านบาท ได้รับการพักหนี้แบบมีเงื่อนไข เช่น พักทั้งต้นทั้งดอกเบี้ย หรือพักเงินต้น จ่ายแค่ดอกเบี้ย เป็นต้น อยู่ที่ 5% ไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.64 และมีอยู่ 95% ที่ได้รับการช่วยเหลือถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งสามารถกลับมาชำระหนี้ได้แล้ว ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถติดต่อลูกหนี้ธุรกิจได้ ทั้งโทรฯ ไม่รับ ติดต่อไม่ได้ ไม่ติดต่อกลับ อยู่ 2% ของลูกหนี้ธุรกิจทั้งหมด
ทั้งนี้ในด้านของลูกหนี้รายย่อยพบว่า 70% สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข และ 29% ต้องปรับโครงสร้างหนี้หรือมีมาตรการผ่อนปรนมารองรับ โดยกลุ่มนี้มี 1% ยังเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งความช่วยเหลือในช่วงที่ผ่านมาทยอยลดลงจาก 7.2 ล้านล้านบาท ในเดือน ก.ค. 63 เหลือ 6 ล้านล้านบาท ในเดือนต.ค. 63 โดยเมื่อครบกำหนดมาตรการการพักชำระหนี้ ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ขอรับความช่วยเหลือต่อ และสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ทั้งนี้ การช่วยเหลือที่ผ่านมาเป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 55% และของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (แบงก์รัฐ) 45%
“ความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้ ประเมินว่ามาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของ ธปท. ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 63 จากการให้ความช่วยเหลือเป็นการทั่วไปในวงกว้าง ปรับให้มาเป็นการให้ความช่วยเหลือเชิงรุกและตรงจุดที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้แต่ละรายนั้น ได้ผลและมีความคืบหน้าตามเจตนารมณ์ของการปรับนโยบายจากครอบคลุมเป็นเจาะจง เห็นได้จากสถานะและความสามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขของลูกหนี้ในภาพรวมปรับดีขึ้น จึงไม่เกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว หลังมาตรการพักชำระหนี้ที่ทยอยครบกำหนด”
อย่างไรก็ตาม ธปท.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมออกมาตรการช่วยเหลือหากจำเป็น ซึ่งกรณีการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ได้แจ้งสถาบันการเงินเร่งช่วยเหลือ ติดต่อลูกค้า เพราะช่วงเวลานี้มีบางสาขาปิดให้บริการ และเน้นติดต่อผ่านโทรศัพท์และออนไลน์เป็นหลัก แต่ยอมรับว่าการแพร่ระบาดยังคาดเดายากและมีความเสี่ยงสูง ทำให้ทุกธนาคารต้องคุยกับลูกหนี้ให้มาก ตามกันให้ใกล้ชิด
ส่วนลูกหนี้ที่ประสบปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมสามารถติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งได้โดยตรง หรือ โทร. 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริหารทางการเงิน ธปท. ขณะที่ลูกหนี้ที่มีปัญหาการติดต่อสถาบันการเงิน สามารถแจ้งความต้องการที่จะปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินผ่านทางด่วนแก้หนี้ของ ธปท.ได้
ไฟเขียวแผนการคลังระยะกลาง4ปี กู้อีก2.8ล้านล้านบาท
https://www.posttoday.com/finance-stock/news/640981
อนุมัติแผนการคลังระยะกลาง 4 ปี กู้ขาดชดเชยขาดดุลปีละ 7 แสนล้าน รวมกู้ 2.8 ล้านล้านบาท
นาย
อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพล.อ.
ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2565 – 2568 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยระยะยาวรัฐบาลยังมีเป้าหมายทำงบประมาณแบบสมดุล โดยลดการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ จีดีพี ปี 2565 ขยายตัว 3-4% ประมาณการรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท ประมาณการรายจ่าย 3.1 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท ส่วนยอดหนี้สาธารณะคงค้าง 57.6% ต่อจีดีพี
ปีงบประมาณ 2566 คาดการณ์จีดีพี 2.7-3.7% ประมาณการรายได้ 2.49 ล้านล้านบาท ประมาณการรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณที่ 7.1 แสนล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง 58.6% ต่อจีดีพี
ปีงบประมาณ 2567 คาดการณ์จีดีพี 2.9-3.9% ประมาณการรายได้สุทธิ 2.61 ล้านล้านบาท ประมาณการรายจ่าย อยู่ที่ 3.31 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 6.9 แสนล้านบาท ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง 59% ต่อจีดีพี
ปีงบประมาณ 2568 คาดการณ์จีดีพีขยายตัว 3.2-4.2% ประมาณการรายได้สุทธิ 2.75 ล้านล้านบาท งบประมาณรายจ่าย 3.42 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณที่ 6.69 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง 58.7% ต่อจีดีดี
ทั้งนี้ ประมาณการรายได้สุทธิดังกล่าวมีสมมติฐานด้านนโยบายภาษีที่สำคัญ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (อี-เซอร์วิส), รายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม รวมทั้งผลจากการปรับเปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC)
ขณะที่ประมาณการรายจ่าย อยู่ภายใต้สมมติฐานที่สำคัญ เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2-3.5% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วน 2.5-4% ของวงเงินงบประมาณ ค่าใช้จ่ายบุคลากรมีอัตราเพิ่มโดยเฉลี่ยไม่เกิน 3.5% เป็นต้น
โดยเป้าหมายและนโยบายการคลังในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ให้ภาคการคลังสามารถรองรับสถานการณ์และพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ขณะที่เป้าหมายระยะยาว ยังกำหนดให้มีการปรับลดขนาดการขาดดุลและมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในที่สุด
นาย
อนุชา กล่าวอีกว่า ที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบแนวทาง 3Rs เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ประกอบด้วย
1. Reform หรือการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอากร ทบทวนโครงสร้างภาษีในปัจจุบันเพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้
2. Reshape คือ การปรับเพื่อควบคุมการจัดสรรงบประมาณ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนสำคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชะลอปรับลดยกเลิกโครงการที่ไม่มีความจำเป็น
และ 3.Resilience การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีภูมิคุ้มกันและสามารถรองรับต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ ได้ โดยยึดหลักความระมัดระวังสูงสุด (Conservative) การกู้เงินที่เน้นความเสี่ยงต่ำภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อให้เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญให้กับทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนด้วย
JJNY : ธปท.เผยเอสเอ็มอีขอพักหนี้ต่อถึงมิ.ย.64/ไฟเขียวกู้อีก2.8ล้านล้านบาท/หมอเรวัตอัดแถลงการณ์ตู่/กมธ.แรงงานจี้สตช.แจง
https://www.dailynews.co.th/economic/814397
ธปท.เผยมีลูกหนี้เอสเอ็มอีติดต่อไม่ได้ โทรฯ ไม่รับ 2% และรายย่อย 1% ชี้ลูกหนี้ธุรกิจขอพักหนี้ต่อ 5% ยาวถึง มิ.ย.64 พร้อมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มหากจำเป็น
นางวิเรขา สันตะพันธุ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกำกับและตรวจสอบสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าของการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 จะมีลูกหนี้ธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีวงเงินสินเชื่อต่ำกว่า 100 ล้านบาท ได้รับการพักหนี้แบบมีเงื่อนไข เช่น พักทั้งต้นทั้งดอกเบี้ย หรือพักเงินต้น จ่ายแค่ดอกเบี้ย เป็นต้น อยู่ที่ 5% ไปจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.64 และมีอยู่ 95% ที่ได้รับการช่วยเหลือถึงสิ้นปีนี้ ซึ่งสามารถกลับมาชำระหนี้ได้แล้ว ในขณะที่ธนาคารพาณิชย์ไม่สามารถติดต่อลูกหนี้ธุรกิจได้ ทั้งโทรฯ ไม่รับ ติดต่อไม่ได้ ไม่ติดต่อกลับ อยู่ 2% ของลูกหนี้ธุรกิจทั้งหมด
ทั้งนี้ในด้านของลูกหนี้รายย่อยพบว่า 70% สามารถชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไข และ 29% ต้องปรับโครงสร้างหนี้หรือมีมาตรการผ่อนปรนมารองรับ โดยกลุ่มนี้มี 1% ยังเป็นกลุ่มเปราะบางที่ไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งความช่วยเหลือในช่วงที่ผ่านมาทยอยลดลงจาก 7.2 ล้านล้านบาท ในเดือน ก.ค. 63 เหลือ 6 ล้านล้านบาท ในเดือนต.ค. 63 โดยเมื่อครบกำหนดมาตรการการพักชำระหนี้ ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้ขอรับความช่วยเหลือต่อ และสามารถกลับมาชำระหนี้ได้ตามปกติ ทั้งนี้ การช่วยเหลือที่ผ่านมาเป็นลูกหนี้ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 55% และของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ (แบงก์รัฐ) 45%
“ความคืบหน้าการช่วยเหลือลูกหนี้ ประเมินว่ามาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของ ธปท. ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 63 จากการให้ความช่วยเหลือเป็นการทั่วไปในวงกว้าง ปรับให้มาเป็นการให้ความช่วยเหลือเชิงรุกและตรงจุดที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกหนี้แต่ละรายนั้น ได้ผลและมีความคืบหน้าตามเจตนารมณ์ของการปรับนโยบายจากครอบคลุมเป็นเจาะจง เห็นได้จากสถานะและความสามารถจ่ายชำระหนี้ได้ตามเงื่อนไขของลูกหนี้ในภาพรวมปรับดีขึ้น จึงไม่เกิดปัญหาผิดนัดชำระหนี้จำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว หลังมาตรการพักชำระหนี้ที่ทยอยครบกำหนด”
อย่างไรก็ตาม ธปท.จะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพร้อมออกมาตรการช่วยเหลือหากจำเป็น ซึ่งกรณีการระบาดรอบใหม่ของโควิด-19 ได้แจ้งสถาบันการเงินเร่งช่วยเหลือ ติดต่อลูกค้า เพราะช่วงเวลานี้มีบางสาขาปิดให้บริการ และเน้นติดต่อผ่านโทรศัพท์และออนไลน์เป็นหลัก แต่ยอมรับว่าการแพร่ระบาดยังคาดเดายากและมีความเสี่ยงสูง ทำให้ทุกธนาคารต้องคุยกับลูกหนี้ให้มาก ตามกันให้ใกล้ชิด
ส่วนลูกหนี้ที่ประสบปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติมสามารถติดต่อผ่านคอลเซ็นเตอร์ ของสถาบันการเงินแต่ละแห่งได้โดยตรง หรือ โทร. 1213 ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริหารทางการเงิน ธปท. ขณะที่ลูกหนี้ที่มีปัญหาการติดต่อสถาบันการเงิน สามารถแจ้งความต้องการที่จะปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินผ่านทางด่วนแก้หนี้ของ ธปท.ได้
ไฟเขียวแผนการคลังระยะกลาง4ปี กู้อีก2.8ล้านล้านบาท
https://www.posttoday.com/finance-stock/news/640981
อนุมัติแผนการคลังระยะกลาง 4 ปี กู้ขาดชดเชยขาดดุลปีละ 7 แสนล้าน รวมกู้ 2.8 ล้านล้านบาท
นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบแผนการคลังระยะปานกลาง ปีงบประมาณ 2565 – 2568 เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ โดยระยะยาวรัฐบาลยังมีเป้าหมายทำงบประมาณแบบสมดุล โดยลดการขาดดุลอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ จีดีพี ปี 2565 ขยายตัว 3-4% ประมาณการรายได้ 2.4 ล้านล้านบาท ประมาณการรายจ่าย 3.1 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท ส่วนยอดหนี้สาธารณะคงค้าง 57.6% ต่อจีดีพี
ปีงบประมาณ 2566 คาดการณ์จีดีพี 2.7-3.7% ประมาณการรายได้ 2.49 ล้านล้านบาท ประมาณการรายจ่าย 3.2 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณที่ 7.1 แสนล้านบาท หนี้สาธารณะคงค้าง 58.6% ต่อจีดีพี
ปีงบประมาณ 2567 คาดการณ์จีดีพี 2.9-3.9% ประมาณการรายได้สุทธิ 2.61 ล้านล้านบาท ประมาณการรายจ่าย อยู่ที่ 3.31 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ อยู่ที่ 6.9 แสนล้านบาท ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง 59% ต่อจีดีพี
ปีงบประมาณ 2568 คาดการณ์จีดีพีขยายตัว 3.2-4.2% ประมาณการรายได้สุทธิ 2.75 ล้านล้านบาท งบประมาณรายจ่าย 3.42 ล้านล้านบาท ขาดดุลงบประมาณที่ 6.69 แสนล้านบาท ขณะที่ยอดหนี้สาธารณะคงค้าง 58.7% ต่อจีดีดี
ทั้งนี้ ประมาณการรายได้สุทธิดังกล่าวมีสมมติฐานด้านนโยบายภาษีที่สำคัญ ได้แก่ การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้ให้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์จากต่างประเทศ (อี-เซอร์วิส), รายได้จากค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคม รวมทั้งผลจากการปรับเปลี่ยนระบบสัญญาสัมปทานปิโตรเลียมเป็นระบบสัญญาแบ่งปันผลผลิต (Production Sharing Contract: PSC)
ขณะที่ประมาณการรายจ่าย อยู่ภายใต้สมมติฐานที่สำคัญ เช่น สัดส่วนงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น 2-3.5% ของวงเงินงบประมาณ รายจ่ายชำระคืนต้นเงินกู้มีสัดส่วน 2.5-4% ของวงเงินงบประมาณ ค่าใช้จ่ายบุคลากรมีอัตราเพิ่มโดยเฉลี่ยไม่เกิน 3.5% เป็นต้น
โดยเป้าหมายและนโยบายการคลังในระยะสั้นถึงระยะปานกลาง เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สาธารณะ ให้ภาคการคลังสามารถรองรับสถานการณ์และพร้อมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้ ขณะที่เป้าหมายระยะยาว ยังกำหนดให้มีการปรับลดขนาดการขาดดุลและมุ่งสู่การจัดทำงบประมาณสมดุลในที่สุด
นายอนุชา กล่าวอีกว่า ที่ประชุม ครม. ยังเห็นชอบแนวทาง 3Rs เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการคลัง ประกอบด้วย
1. Reform หรือการปฏิรูปการจัดเก็บรายได้ เพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บภาษีอากร ทบทวนโครงสร้างภาษีในปัจจุบันเพื่อสร้างความมั่นคงด้านรายได้
2. Reshape คือ การปรับเพื่อควบคุมการจัดสรรงบประมาณ ให้สอดคล้องเชื่อมโยงกับแผนสำคัญ เช่น ยุทธศาสตร์ชาติแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นโยบายสำคัญของรัฐบาล เป็นต้น รวมทั้งให้ความสำคัญกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และชะลอปรับลดยกเลิกโครงการที่ไม่มีความจำเป็น
และ 3.Resilience การบริหารหนี้สาธารณะอย่างมีภูมิคุ้มกันและสามารถรองรับต่อเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ ได้ โดยยึดหลักความระมัดระวังสูงสุด (Conservative) การกู้เงินที่เน้นความเสี่ยงต่ำภายใต้ต้นทุนที่เหมาะสม รวมทั้งส่งเสริมการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศ เพื่อให้เป็นแหล่งระดมทุนสำคัญให้กับทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชนด้วย