เนื่องจากป่วยเป็นโรคไบโพลาร์ชนิดที่2
รักษามา8ปี อาการขึ้นๆลงๆ เปลี่ยนคุณหมอ
เปลี่ยน รพ. มีปรับการรักษาเป็นแบบรักษาโรคซึมเศร้าแล้วพอคุณหยุดยา ได้เดือน 2 เดือน
ไปลงทุนทำธุรกิจ มันดีดขึ้น(ไฮโปแมเนีย)
มั่นใจมาก มีความสุขมากๆ ในตอนนั้น คิดว่าตัวเอง
ทำได้ทุกอย่าง มีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่นๆ
หลงผิด ก้าวร้าว ใช้เงินแบบไม่คิดหน้าหลัง
จ่ยง่าย ชอบให้ ชอบแจก ชอบช่วยเหลือ
มีปัญหากับคนรอบข้าง เพราะเราไม่ทน ไม่ฟังใครเลย เชื่อแต่ตัวเอง โปรเจ็คเยอะมาก คิดเร็วมาก
แต่โฟกัสอะไรไม่ได้ จนเงินหมด ไม่มีเงินหมุน
แค่6เดือน ต้องขอยืมเงินจากทางบ้านเพิ่ม
เริ่มรู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่น่ารัก
หวาดระแวง ทีนี้รู้ตัวอีกทีดีเพลส(ซึมเศร้า)หนัก
เริ่มขังตัวเองในห้อง โทษแต่ตัวเอง ดูธรรมะออนไลน์เยอะมากเพราะเราทุกข์มากและไม่อยากเป็นคนไม่ดีจนตัดสินใจกลับไปหาคุณหมอ เล่าอาการ คุณหมอก็บอกเป็นไบโพลาร์ชนิดที่2 ปรับการรักษาใหม่ คุณหมอให้กินยา 2-3 อย่าง เม็ดละ 80บาทกับ120บาท
อาการค่อยๆ ดีขึ้น เรื่อยๆ คุมได้ยาวนานเกินปี ทีนี้คุณหมอลาออก เลยต้องเปลี่ยนคุณหมอ คุณหมอก็ให้กินยา 2ตัว คุมอาการไว้ ปรับเป็นนัดห่างขึ้น
3 เดือน เป็น 4เดือน 6เดือน 1 ปี และลองจบการรักษาให้หยุดกินยาได้ ดีใจมากจัดเลี้ยงฉลองที่บ้านเลย (เพราะเคยมีคุณหมอ รพ.รัฐบาลคนแรกที่รักษาบอกว่าจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต แต่เราดูแลตัวเองทุกด้านนะ ไม่พึ่งยาอย่างเดียว)
ช่วง1เดือนครึ่งหลังจากจบการรักษา ไม่ได้กินยาแล้ว
มีความสุขและประสบความสำเร็จมากๆ มันคิดเร็วทำเร็วสมองแล่นไวมาก อย่างที่ปกติไม่เคยเป็นมาก่อน
ลัลลาสุดๆ ขยันสุดๆ มั่นใจมากขึ้นมากเริ่มไม่ฟังใครเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างที่อยากทำำ(คุ้นๆนะแต่มันไม่ได้พีคถึงขั้นคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษแบบรอบที่แล้ว เลยไม่ได้เอะใจ) ใช้เงินเปลืองมาก ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ แจกทุกคนในครอบครัว และคนรอบข้างที่เราสนิท ทำบุญเยอะมากๆ ลงคอร์สเรียนเพิ่มแบบหลายแสน ลงทุนธุรกิจไปอีกหลายแสน พอผ่านไป2เดือน จู่ๆ ทำแบบทดสอบโปรแกรมลดน้ำหนักแล้ว งง ทำไมมีความเครียดสูง เริ่มเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักแบบใหม่กินอาหารเสริมเยอะกว่าโปรแกรมเดิมที่เคยเข้า ก็คิดว่าเครียดเพราะโปรแกรมลดน้ำำหนัก คือ ตอนนั้นชีวิตดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลยคิดว่าเพราะเรื่องนี้แหละ ท้องเสียบ่อยด้วย
ไปคุยกับเพื่อนๆเทรนเนอร์ ในกลุ่มที่ทำงานร่วมกัน เค้าทำพฤติกรรมเย้ยหยัน เหยียดหยามและคำพูดไม่ดีใส่เรา ตอนนั้นเสียความรู้สึกกับคนๆนั้นมาก ทำไมมันมาตัดสินเรา แทนที่จะถามหาสาเหตุ เพื่อแก้ปัญหา ปรับโปรแกรมอะไรก็ว่าไป เลยเสียความรู้สึกกับวงการเทรนเนอร์ลดน้ำหนักกลุ่มนี้ไปเลย(แต่คือตอนนี้พอรู้ตัวว่าเพราะเราป่วยแล้วก็ไม่แน่ใจว่าอัไรจริงไม่จริง เพราะเคมีในสมองมันไฮแจ็คยึดสมองเราไป เราไม่เป็นตัวเอง) แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยากเจอ ไม่อยากร่วมงานล่ะ จริงๆ เริ่มรู้ตัวว่าไม่ปกติจริงๆ จากอาการเบื่อ ขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไร นอนมากกว่าปกติ 9-12ชม. นาฬิกาจับเวลานอนที่ข้อมือมันฟ้อง และขังตัวเองอยู่ในห้องนอน เดินออกมากินแล้วก็กลับเข้าไปนอนในห้องนอนเท่านั้น ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากทำอะไร และไม่ได้ทำงานเลยเดือนกว่าๆ ไปเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว เหมือนจะดีขึ้นแต่แย่ลง ในทางซึมเศร้านะ ไปร้องไห้คนเดียวที่น้ำตก อัดคลิปเวิ่นเว้อไว้ด้วย คือ ตอนนั้นจิตตกโทษตัวเองว่า หลงผิด นิสัยไม่ดีมากๆ
พึ่งรู้ตัวคือเมื่อ1 สัปดาห์ ก่อนหน้าจะตัดสินใจนัดเข้าไปพบคุณหมอ เริ่มมีสติกลับมา ทบทวนตัวเอง แล้วไปเปิดทวนดูวงจรของโรคไบโพลาร์ซ้ำมันเหมือนจะใช่นะ(ธรรมะออนไลน์เยอะมากเพราะเราทุกข์มากแบบสาเหตุแห่งทุกข์เล็กมากๆ เคมีในสมองมันไม่สมดุลย์มันขยายตีความทุกอย่างลบหมด แต่นั่งสมาธิไม่ได้นะ พยายามแล้วก็ไม่ได้ ได้แค่อ่าน ฟัง นอนนิ่งๆ สวดมนต์ได้มากกว่า) เมื่อวาน 14ธ.ค.63ได้ไปพบเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอบอกว่าน่าจะใช่ เป็นวงจรของไฮโปไบโพลาร์ ถ้ามันไฮโปแมเนียขึ้นมาแล้ว ยังไงมันก็จะลงไปดีเพลส คุณหมอเลยให้ยามากิน ครึ่งเม็ด แบบโดสต่ำสุด เพื่อรักษาอาการดีเพลสในโรคไบโพลาร์ก่อน 3 สัปดาห์ นัดดูอาการแล้วค่อยคุยกันว่าจะเอาอย่างไร จะกินยาดักไม่ให้มันแมเนียไหม หรือจะยังไง
เราเลยรู้สึกว่าเออ เราคงต้องอยู่กับมันนะ ดูเหมือนว่าสมองเราจะยังไม่โอเคกับการทำงานแบบไม่มียาเลย100% ได้แบบคนปกติ คุณหมอก็ให้กำลังใจนะว่าคนเป็นโรคนี้เยอะ เรายอกเป็นห่วงที่สุดตอนนี้เรื่องงาน คุณหมอก็บอกว่าคุณสามารถประสบความสําเร็จได้นะ คนเป็นโรคนี้ขยัน พลังเยอะ ความคิดสร้างสรรค์มาก และมักจะทำงานได้ดีกว่าคนทั่วไป
แค่คุมไม่ให้มันดีดจนร้น(เกิดความเสียหายแล้วตกลงไปดีเพลสจนทำอะไรไม่ได้ไปหลายเดือน)
คือคุมให้อยู่ระดับปกติให้มากที่สุด แต่เราชอบแบบเกินปกตินิดๆนะ 55555
เลยมาตั้งกระทู้นี้ หาข้อดี ของคนเป็นโรคไบโพลาร์
เพื่อหาแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในเชิงบวกต่อไป
เราคงอยู่กับมันไปทั้งชีวิตกับเจ้าไบโพลาร์เพื่อนรักนี่
เคยทุกข์จนชินชาแล้ว อยากหาด้านดีๆ ให้ชุ่มช่ำใจ
มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตอยู่กับโรคนี้อย่างปกติสุขที่สุดค่ะ
อยากทราบข้อดีของคนที่ป่วยเป็นโรคไบโพลาร์
รักษามา8ปี อาการขึ้นๆลงๆ เปลี่ยนคุณหมอ
เปลี่ยน รพ. มีปรับการรักษาเป็นแบบรักษาโรคซึมเศร้าแล้วพอคุณหยุดยา ได้เดือน 2 เดือน
ไปลงทุนทำธุรกิจ มันดีดขึ้น(ไฮโปแมเนีย)
มั่นใจมาก มีความสุขมากๆ ในตอนนั้น คิดว่าตัวเอง
ทำได้ทุกอย่าง มีความสามารถพิเศษเหนือคนอื่นๆ
หลงผิด ก้าวร้าว ใช้เงินแบบไม่คิดหน้าหลัง
จ่ยง่าย ชอบให้ ชอบแจก ชอบช่วยเหลือ
มีปัญหากับคนรอบข้าง เพราะเราไม่ทน ไม่ฟังใครเลย เชื่อแต่ตัวเอง โปรเจ็คเยอะมาก คิดเร็วมาก
แต่โฟกัสอะไรไม่ได้ จนเงินหมด ไม่มีเงินหมุน
แค่6เดือน ต้องขอยืมเงินจากทางบ้านเพิ่ม
เริ่มรู้สึกแย่กับตัวเอง รู้สึกเป็นคนนิสัยไม่ดี ไม่น่ารัก
หวาดระแวง ทีนี้รู้ตัวอีกทีดีเพลส(ซึมเศร้า)หนัก
เริ่มขังตัวเองในห้อง โทษแต่ตัวเอง ดูธรรมะออนไลน์เยอะมากเพราะเราทุกข์มากและไม่อยากเป็นคนไม่ดีจนตัดสินใจกลับไปหาคุณหมอ เล่าอาการ คุณหมอก็บอกเป็นไบโพลาร์ชนิดที่2 ปรับการรักษาใหม่ คุณหมอให้กินยา 2-3 อย่าง เม็ดละ 80บาทกับ120บาท
อาการค่อยๆ ดีขึ้น เรื่อยๆ คุมได้ยาวนานเกินปี ทีนี้คุณหมอลาออก เลยต้องเปลี่ยนคุณหมอ คุณหมอก็ให้กินยา 2ตัว คุมอาการไว้ ปรับเป็นนัดห่างขึ้น
3 เดือน เป็น 4เดือน 6เดือน 1 ปี และลองจบการรักษาให้หยุดกินยาได้ ดีใจมากจัดเลี้ยงฉลองที่บ้านเลย (เพราะเคยมีคุณหมอ รพ.รัฐบาลคนแรกที่รักษาบอกว่าจะต้องกินยาไปตลอดชีวิต แต่เราดูแลตัวเองทุกด้านนะ ไม่พึ่งยาอย่างเดียว)
ช่วง1เดือนครึ่งหลังจากจบการรักษา ไม่ได้กินยาแล้ว
มีความสุขและประสบความสำเร็จมากๆ มันคิดเร็วทำเร็วสมองแล่นไวมาก อย่างที่ปกติไม่เคยเป็นมาก่อน
ลัลลาสุดๆ ขยันสุดๆ มั่นใจมากขึ้นมากเริ่มไม่ฟังใครเชื่อว่าตัวเองทำได้ทุกอย่างที่อยากทำำ(คุ้นๆนะแต่มันไม่ได้พีคถึงขั้นคิดว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษแบบรอบที่แล้ว เลยไม่ได้เอะใจ) ใช้เงินเปลืองมาก ซื้อทุกอย่างที่อยากได้ แจกทุกคนในครอบครัว และคนรอบข้างที่เราสนิท ทำบุญเยอะมากๆ ลงคอร์สเรียนเพิ่มแบบหลายแสน ลงทุนธุรกิจไปอีกหลายแสน พอผ่านไป2เดือน จู่ๆ ทำแบบทดสอบโปรแกรมลดน้ำหนักแล้ว งง ทำไมมีความเครียดสูง เริ่มเข้าโปรแกรมลดน้ำหนักแบบใหม่กินอาหารเสริมเยอะกว่าโปรแกรมเดิมที่เคยเข้า ก็คิดว่าเครียดเพราะโปรแกรมลดน้ำำหนัก คือ ตอนนั้นชีวิตดีมาก ไม่มีปัญหาอะไรเลยคิดว่าเพราะเรื่องนี้แหละ ท้องเสียบ่อยด้วย
ไปคุยกับเพื่อนๆเทรนเนอร์ ในกลุ่มที่ทำงานร่วมกัน เค้าทำพฤติกรรมเย้ยหยัน เหยียดหยามและคำพูดไม่ดีใส่เรา ตอนนั้นเสียความรู้สึกกับคนๆนั้นมาก ทำไมมันมาตัดสินเรา แทนที่จะถามหาสาเหตุ เพื่อแก้ปัญหา ปรับโปรแกรมอะไรก็ว่าไป เลยเสียความรู้สึกกับวงการเทรนเนอร์ลดน้ำหนักกลุ่มนี้ไปเลย(แต่คือตอนนี้พอรู้ตัวว่าเพราะเราป่วยแล้วก็ไม่แน่ใจว่าอัไรจริงไม่จริง เพราะเคมีในสมองมันไฮแจ็คยึดสมองเราไป เราไม่เป็นตัวเอง) แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อยากเจอ ไม่อยากร่วมงานล่ะ จริงๆ เริ่มรู้ตัวว่าไม่ปกติจริงๆ จากอาการเบื่อ ขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไร นอนมากกว่าปกติ 9-12ชม. นาฬิกาจับเวลานอนที่ข้อมือมันฟ้อง และขังตัวเองอยู่ในห้องนอน เดินออกมากินแล้วก็กลับเข้าไปนอนในห้องนอนเท่านั้น ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากทำอะไร และไม่ได้ทำงานเลยเดือนกว่าๆ ไปเที่ยวเชียงใหม่คนเดียว เหมือนจะดีขึ้นแต่แย่ลง ในทางซึมเศร้านะ ไปร้องไห้คนเดียวที่น้ำตก อัดคลิปเวิ่นเว้อไว้ด้วย คือ ตอนนั้นจิตตกโทษตัวเองว่า หลงผิด นิสัยไม่ดีมากๆ
พึ่งรู้ตัวคือเมื่อ1 สัปดาห์ ก่อนหน้าจะตัดสินใจนัดเข้าไปพบคุณหมอ เริ่มมีสติกลับมา ทบทวนตัวเอง แล้วไปเปิดทวนดูวงจรของโรคไบโพลาร์ซ้ำมันเหมือนจะใช่นะ(ธรรมะออนไลน์เยอะมากเพราะเราทุกข์มากแบบสาเหตุแห่งทุกข์เล็กมากๆ เคมีในสมองมันไม่สมดุลย์มันขยายตีความทุกอย่างลบหมด แต่นั่งสมาธิไม่ได้นะ พยายามแล้วก็ไม่ได้ ได้แค่อ่าน ฟัง นอนนิ่งๆ สวดมนต์ได้มากกว่า) เมื่อวาน 14ธ.ค.63ได้ไปพบเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คุณหมอบอกว่าน่าจะใช่ เป็นวงจรของไฮโปไบโพลาร์ ถ้ามันไฮโปแมเนียขึ้นมาแล้ว ยังไงมันก็จะลงไปดีเพลส คุณหมอเลยให้ยามากิน ครึ่งเม็ด แบบโดสต่ำสุด เพื่อรักษาอาการดีเพลสในโรคไบโพลาร์ก่อน 3 สัปดาห์ นัดดูอาการแล้วค่อยคุยกันว่าจะเอาอย่างไร จะกินยาดักไม่ให้มันแมเนียไหม หรือจะยังไง
เราเลยรู้สึกว่าเออ เราคงต้องอยู่กับมันนะ ดูเหมือนว่าสมองเราจะยังไม่โอเคกับการทำงานแบบไม่มียาเลย100% ได้แบบคนปกติ คุณหมอก็ให้กำลังใจนะว่าคนเป็นโรคนี้เยอะ เรายอกเป็นห่วงที่สุดตอนนี้เรื่องงาน คุณหมอก็บอกว่าคุณสามารถประสบความสําเร็จได้นะ คนเป็นโรคนี้ขยัน พลังเยอะ ความคิดสร้างสรรค์มาก และมักจะทำงานได้ดีกว่าคนทั่วไป
แค่คุมไม่ให้มันดีดจนร้น(เกิดความเสียหายแล้วตกลงไปดีเพลสจนทำอะไรไม่ได้ไปหลายเดือน)
คือคุมให้อยู่ระดับปกติให้มากที่สุด แต่เราชอบแบบเกินปกตินิดๆนะ 55555
เลยมาตั้งกระทู้นี้ หาข้อดี ของคนเป็นโรคไบโพลาร์
เพื่อหาแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในเชิงบวกต่อไป
เราคงอยู่กับมันไปทั้งชีวิตกับเจ้าไบโพลาร์เพื่อนรักนี่
เคยทุกข์จนชินชาแล้ว อยากหาด้านดีๆ ให้ชุ่มช่ำใจ
มีกำลังใจในการดำเนินชีวิตอยู่กับโรคนี้อย่างปกติสุขที่สุดค่ะ