“บางคนมันก็ไม่มีหรอก เบี้ยยังชีพ ไอ้...เลี้ยงชีพเนี่ย ไม่มี ไม่ได้... มันโกหก หลอกหลวง โห่...อย่าไปเชื่อมัน ลุงก็พูดของลุง” “เบี้ยยังชีพมันไม่ให้ ไม่มี มันไม่ให้หรอก ให้ก็ให้ร้อยเดียว” ประโยคทั้งสองนี้ เป็นคำพูดจากหนึ่งในคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณหัวลำโพงที่ผู้วิจัยได้ดำเนินการสัมภาษณ์เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา คำพูดของคนไร้บ้านท่านนี้สามารถสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านสวัสดิการรัฐต่อคนไร้บ้านที่ขาดหายไป และ อาจสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาความไม่เชื่อใจของคนไร้บ้านที่มีต่อรัฐ บทความนี้ผู้วิจัยอยากชวนผู้อ่านสำรวจมุมมองของคนไร้บ้านต่อสวัสดิการของรัฐ: กรณีศึกษาคนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณหัวลำโพง
สวัสดิการรัฐคือ สิ่งที่รัฐจัดทำให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตของประชาชน สวัสดิการรัฐที่ผู้วิจัยศึกษาประกอบด้วย บัตรทอง, บัตรคนจน และ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทั้ง 3 สวัสดิการที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นสวัสดิการที่ประชาชนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับ ถือเป็นสวัสดิการสำคัญที่จะเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ต่ำครอบคลุมตั้งแต่วัยทารก (บัตรทอง) วัยทำงาน (บัตรคนจน) และ วัยชรา (เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ)
อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งที่คนไร้บ้านมักถูกละเลย และ ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการรัฐดังกล่าวได้จึงนำไปสู่การตั้งคำถามที่ว่า “คนไร้บ้านมีมุมมองอย่างไรต่อสวัสดิการรัฐอย่างไร” เพื่อให้ทราบถึงปัญหาเชิงระบบที่ทำให้กลุ่มคนไร้บ้านไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการรัฐได้ และ เป็นการรับฟังข้อเสนอจากคนไร้บ้านที่มีต่อรัฐในอีกทางหนึ่ง ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบรายบุคคล สัมภาษณ์คนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณหัวลำโพงจำนวน 3 คน โดยจากการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยสรุปผลวิจัยได้ใน 6 ประเด็นดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง กล่าวถึงสาเหตุของการเป็นคนไร้บ้านของผู้ถูกสัมภาษณ์ โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวถึงสาเหตุไว้ 2 สาเหตุหลักคือ หนึ่ง ปัญหาด้านครอบครัว เขากล่าวว่าหลังจากพ่อแม่เสียชีวิต พี่น้องคนอื่น ๆ ก็มีครอบครัวเป็นของตัวเอง ไม่ได้สนใจรับรู้ถึงความเป็นอยู่ของเขา โดยเขากล่าวว่า “เรื่องนี้มันพูดลำบากอะนะ พ่อแม่เสียแล้วลำบาก พี่น้องไม่สนใจ ทิ้งนั่นแหละ” สอง ปัญหาด้านสุขภาพ เขากล่าวว่าเขาเป็นโรคปอดจากการทำงาน ทำให้เขาไม่สามารถสมัครงานอื่น ๆ ได้ กล่าวคือไม่มีนายจ้างคนใดจ้างงานเขา ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า เขาไม่อยากอยู่บ้าน เนื่องจากไม่มีอะไรทำ เบื่อบ้าน ที่บ้านมีนา แต่ทำนาไม่ได้เพราะมีปัญหาเรื่องของปวดหลัง ปวดเอว ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า เขาเปลี่ยนงานหลายครั้ง และ ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานบ่อยครั้ง รวมทั้งได้ค่าคอยแทนน้อย เขาจึงตัดสินใจปล่อยชีวิต และ กลายมาเป็นคนไร้บ้าน ปัจจุบันเขาอยากกลับไปทำงาน แต่เขาไม่มีเงิน อายที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และ กลัวคนดูถูก
ประเด็นที่สอง กล่าวถึงมุมมองของคนไร้บ้านต่อสวัสดิการบัตรทอง ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า เขาเคยใช้บริการบัตรทอง และ มองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะตัวเองก็เคยใช้สิทธิบัตรทองในการรักษาโรคปอดเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ได้สามารถเข้าถึงได้ เพราะว่าเอกสารทางราชการอยู่กับน้องชาย และ น้องชายย้ายบ้านบ่อยจึงไม่ทราบว่าจะสามารถรับบริการที่ไหนได้บ้าง แต่หากจะกลับบ้าน น้องชายก็ไม่ต้อนรับ ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า เขาไม่เคยใช้สิทธิบัตรทอง เพราะเขาได้รับการรักษาฟรีที่โรงพยาบาลกลาง เมื่อครั้งที่เขาข้อมือหัก แต่เขาก็มองว่าบัตรทองเป็นสิ่งที่ดี หากทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า ถ้ามีก็ดี แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยใช้ เพราะเขาใช้บัตรคนพิการแทน
ประเด็นที่สาม กล่าวถึงมุมมองของคนไร้บ้านต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า เขาไม่รู้จักสวัสดิการนี้ เมื่อทางผู้วิจัยได้อธิบายให้เขาฟัง เขาก็กล่าวต่อว่า เขาก็อยากได้รับสวัสดิการนี้ อย่างน้อยจะได้รับเงินรายเดือน แต่ถ้าหากให้ไปทำก็ไม่สะดวก เพราะไม่ทราบว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างไร ไม่ทราบว่าต้องไปเขตไหน สำหรับผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า ทราบว่ามีสวัสดิการนี้ แต่จากสถานการณ์ที่เขาได้ไปพบเจอมา เขามองว่าสวัสดิการนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ ต้องแย่งกัน เกิดปัญหาความวุ่นวาย แม้จะได้รับก็ได้เพียงเล็กน้อย เขากล่าวว่า “มีแล้ว ทำไปแล้วมันก็ไม่ได้หรอก หลอกกันไปวัน ๆ นั่นแหละ” แต่ในท้ายที่สุดเขาก็มองว่าสวัสดิการนี้ดี หากทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และ ผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า เขาเข้าถึงสวัสดิการนี้ เขาได้รับเงินเดือนละ 300 บาท และ ได้รับเป็นสิ่งของ ค่าเดินทางต่าง ๆ หากไม่ใช้ เงินก็จะไม่ถูกทบไปเดือนหน้า ซึ่งเขามองว่าจุดนี้เป็นปัญหา แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้สิทธิ ไม่ได้รับสิทธิเต็มจำนวน แต่จะขึ้นอยู่กับการใช้สิทธิของเขาภายใต้วงเงินที่จำกัด และ มองว่าเงินที่รัฐจัดสรรให้ ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
ประเด็นที่สี่ เกี่ยวข้องกับสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีสวัสดิการนี้ รวมทั้งไม่ทราบในรายละเอียดของสวัสดิการนี้ด้วย เขามองว่าหากได้รับก็ดี แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนไร้บ้าน การมีเงินสดไว้กับตัวเอง อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และ ถูกขโมยได้โดยง่าย ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า การได้รับสิทธิคล้าย ๆ กับบัตรสวัสดิการรัฐ กล่าวคือ เงินที่ได้รับ ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนไม่ได้รับเลย มองว่าเป็นเรื่องหลอกลวง และ เขาเลือกที่จะไม่ลงทะเบียน เพราะอาจเกิดปัญหาความวุ่นวาย และ ผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า ตอนนี้เขาอายุยังไม่ถึง 60 แต่เขาไม่อยากได้สวัสดิการนี้ โดยได้ยกตัวอย่างกรณีเงินช่วยเหลือกรณีโควิด-19 ที่ประชาชนต่าง ‘วิ่งเต้น’ แต่ในท้ายที่สุด ก็มีทั้งคนที่ได้ และ ไม่ได้ นอกจากนี้เขายังกล่าวต่ออีกว่า “คนข้างบนกินกันจนล้นปาก” กล่าวคือเกิดการคอรัปชั่นในส่วนของเงินสวัสดิการที่จะมาถึงประชาชน อีกทั้งเขายังกล่าวชื่นชมบัตรทอง แต่วิพากษ์วิจารณ์การคอรัปชั่นที่เห็นได้ชัดในสวัสดิการของประชาชนในรัฐบาลของประยุทธ จันทร์โอชา
ประเด็นที่ห้า ผู้วิจัยได้สอบถามผู้ถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับความต้องการในเรื่องของการช่วยเหลือจากรัฐ โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า เขาอยากมีงานทำ จะเป็นงานประเภทใดก็ได้ เขาสามารถทำได้หมด ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า เขาอยากได้เงิน เพียงวันละ 50-100 แค่พอประทังชีวิต ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้าย เขาอยากได้เงินเพื่อเป็นทุนในการไปต่อยอดในด้านอาชีพ เขายังวิจารณ์การช่วยเหลือของรัฐบาลว่า “มันก็ช่วย แต่ก็ช่วยนิดหน่อย ผลตอบรับของคนที่ช่วยมหาศาล แต่คนที่ถูกช่วยไม่กระเตื้องเลย” อีกทั้ง เขายังกล่าวต่อว่า “อยากจะทำงานเพื่อให้มีเงินทุน แล้วไปค้าขาย เบื่อชีวิตอย่างนี้ เขาไม่อยากมาอย่างนี้หรอก”
ประเด็นสุดท้ายคือ ปัญหาอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากประเด็นข้างต้นที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ให้สัมภาษณ์ ได้แก่ ปัญหาด้านความปลอดภัย ประกอบด้วย การถูกลักขโมย ฉกฉวยสิ่งของ การถูกทำร้ายร่าง และ การล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาถัดมาคือ ปัญหาด้านสุขอนามัย เนื่องจากไม่มีห้องน้ำที่พวกเขาจะสามารถใช้อาบน้ำได้ ไม่มีที่นอน และ ปัญหาในเรื่องของอาหารที่ไม่เพียงพอ ปัญหาสุดท้ายคือ ปัญหาด้านการเดินทาง เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ ทำให้เดินทางลำบาก โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สามกล่าวว่า “เดินทาง เหนื่อยกว่าทำงานอีก”
กล่าวโดยสรุป ผู้ถูกสัมภาษณ์มองว่าสวัสดิการรัฐทั้ง 3 สวัสดิการมีเป้าประสงค์ที่ดี และ มีประโยชน์โดยเฉพาะต่อกลุ่มคนไร้บ้าน แต่ปัญหาคือ การเข้าไม่ถึงสวัสดิการรัฐดังกล่าว ทั้งด้านข้อมูล การดำเนินการหลายขั้นตอน ที่สร้างความยากลำบากแก่กลุ่มคนไร้บ้าน ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของสวัสดิการที่ไม่ทั่วถึง ประชาชนต้องแย่งกันใช้สิทธิ บางคนได้ บางคนไม่ได้ นำไปสู่การไม่ไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐ ผู้วิจัยมองว่าจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายไม่ตระหนักถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชายขอบ เช่น คนไร้บ้าน ผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งปัญหาด้านฐานข้อมูล และ เน้นความเป็นระบบที่มีหลากหลายขั้นตอนมากเกินไป สุดท้ายนี้ผู้วิจัยมองว่าการช่วยเหลือของรัฐในปัจจุบันสามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว รัฐควรมองปัญหาให้ถูกจุด และ ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง และ เหมาะสม
คนไร้บ้าน กับ สวัสดิการรัฐที่หายไป
สวัสดิการรัฐคือ สิ่งที่รัฐจัดทำให้ประชาชน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่สามารถตอบสนองความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ และ เพื่อสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิตของประชาชน สวัสดิการรัฐที่ผู้วิจัยศึกษาประกอบด้วย บัตรทอง, บัตรคนจน และ เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทั้ง 3 สวัสดิการที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นสวัสดิการที่ประชาชนไทยทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับ ถือเป็นสวัสดิการสำคัญที่จะเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มประชาชนที่มีรายได้ต่ำครอบคลุมตั้งแต่วัยทารก (บัตรทอง) วัยทำงาน (บัตรคนจน) และ วัยชรา (เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ)
อย่างไรก็ตามบ่อยครั้งที่คนไร้บ้านมักถูกละเลย และ ไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการรัฐดังกล่าวได้จึงนำไปสู่การตั้งคำถามที่ว่า “คนไร้บ้านมีมุมมองอย่างไรต่อสวัสดิการรัฐอย่างไร” เพื่อให้ทราบถึงปัญหาเชิงระบบที่ทำให้กลุ่มคนไร้บ้านไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการรัฐได้ และ เป็นการรับฟังข้อเสนอจากคนไร้บ้านที่มีต่อรัฐในอีกทางหนึ่ง ผู้วิจัยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึกแบบรายบุคคล สัมภาษณ์คนไร้บ้านที่อาศัยอยู่บริเวณหัวลำโพงจำนวน 3 คน โดยจากการสัมภาษณ์ ผู้วิจัยสรุปผลวิจัยได้ใน 6 ประเด็นดังนี้
ประเด็นที่หนึ่ง กล่าวถึงสาเหตุของการเป็นคนไร้บ้านของผู้ถูกสัมภาษณ์ โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวถึงสาเหตุไว้ 2 สาเหตุหลักคือ หนึ่ง ปัญหาด้านครอบครัว เขากล่าวว่าหลังจากพ่อแม่เสียชีวิต พี่น้องคนอื่น ๆ ก็มีครอบครัวเป็นของตัวเอง ไม่ได้สนใจรับรู้ถึงความเป็นอยู่ของเขา โดยเขากล่าวว่า “เรื่องนี้มันพูดลำบากอะนะ พ่อแม่เสียแล้วลำบาก พี่น้องไม่สนใจ ทิ้งนั่นแหละ” สอง ปัญหาด้านสุขภาพ เขากล่าวว่าเขาเป็นโรคปอดจากการทำงาน ทำให้เขาไม่สามารถสมัครงานอื่น ๆ ได้ กล่าวคือไม่มีนายจ้างคนใดจ้างงานเขา ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า เขาไม่อยากอยู่บ้าน เนื่องจากไม่มีอะไรทำ เบื่อบ้าน ที่บ้านมีนา แต่ทำนาไม่ได้เพราะมีปัญหาเรื่องของปวดหลัง ปวดเอว ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า เขาเปลี่ยนงานหลายครั้ง และ ประสบอุบัติเหตุจากการทำงานบ่อยครั้ง รวมทั้งได้ค่าคอยแทนน้อย เขาจึงตัดสินใจปล่อยชีวิต และ กลายมาเป็นคนไร้บ้าน ปัจจุบันเขาอยากกลับไปทำงาน แต่เขาไม่มีเงิน อายที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น และ กลัวคนดูถูก
ประเด็นที่สอง กล่าวถึงมุมมองของคนไร้บ้านต่อสวัสดิการบัตรทอง ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า เขาเคยใช้บริการบัตรทอง และ มองว่าเป็นสิ่งที่ดี เพราะตัวเองก็เคยใช้สิทธิบัตรทองในการรักษาโรคปอดเมื่อนานมาแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ได้สามารถเข้าถึงได้ เพราะว่าเอกสารทางราชการอยู่กับน้องชาย และ น้องชายย้ายบ้านบ่อยจึงไม่ทราบว่าจะสามารถรับบริการที่ไหนได้บ้าง แต่หากจะกลับบ้าน น้องชายก็ไม่ต้อนรับ ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า เขาไม่เคยใช้สิทธิบัตรทอง เพราะเขาได้รับการรักษาฟรีที่โรงพยาบาลกลาง เมื่อครั้งที่เขาข้อมือหัก แต่เขาก็มองว่าบัตรทองเป็นสิ่งที่ดี หากทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า ถ้ามีก็ดี แต่ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่เคยใช้ เพราะเขาใช้บัตรคนพิการแทน
ประเด็นที่สาม กล่าวถึงมุมมองของคนไร้บ้านต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ (บัตรคนจน) ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า เขาไม่รู้จักสวัสดิการนี้ เมื่อทางผู้วิจัยได้อธิบายให้เขาฟัง เขาก็กล่าวต่อว่า เขาก็อยากได้รับสวัสดิการนี้ อย่างน้อยจะได้รับเงินรายเดือน แต่ถ้าหากให้ไปทำก็ไม่สะดวก เพราะไม่ทราบว่าจะสามารถดำเนินการได้อย่างไร ไม่ทราบว่าต้องไปเขตไหน สำหรับผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า ทราบว่ามีสวัสดิการนี้ แต่จากสถานการณ์ที่เขาได้ไปพบเจอมา เขามองว่าสวัสดิการนี้ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับ ต้องแย่งกัน เกิดปัญหาความวุ่นวาย แม้จะได้รับก็ได้เพียงเล็กน้อย เขากล่าวว่า “มีแล้ว ทำไปแล้วมันก็ไม่ได้หรอก หลอกกันไปวัน ๆ นั่นแหละ” แต่ในท้ายที่สุดเขาก็มองว่าสวัสดิการนี้ดี หากทุกคนสามารถเข้าถึงได้ และ ผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า เขาเข้าถึงสวัสดิการนี้ เขาได้รับเงินเดือนละ 300 บาท และ ได้รับเป็นสิ่งของ ค่าเดินทางต่าง ๆ หากไม่ใช้ เงินก็จะไม่ถูกทบไปเดือนหน้า ซึ่งเขามองว่าจุดนี้เป็นปัญหา แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ได้สิทธิ ไม่ได้รับสิทธิเต็มจำนวน แต่จะขึ้นอยู่กับการใช้สิทธิของเขาภายใต้วงเงินที่จำกัด และ มองว่าเงินที่รัฐจัดสรรให้ ไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย
ประเด็นที่สี่ เกี่ยวข้องกับสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า ไม่ทราบว่ามีสวัสดิการนี้ รวมทั้งไม่ทราบในรายละเอียดของสวัสดิการนี้ด้วย เขามองว่าหากได้รับก็ดี แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนไร้บ้าน การมีเงินสดไว้กับตัวเอง อาจเป็นอันตรายต่อตนเอง และ ถูกขโมยได้โดยง่าย ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า การได้รับสิทธิคล้าย ๆ กับบัตรสวัสดิการรัฐ กล่าวคือ เงินที่ได้รับ ได้บ้างไม่ได้บ้าง บางคนไม่ได้รับเลย มองว่าเป็นเรื่องหลอกลวง และ เขาเลือกที่จะไม่ลงทะเบียน เพราะอาจเกิดปัญหาความวุ่นวาย และ ผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้ายกล่าวว่า ตอนนี้เขาอายุยังไม่ถึง 60 แต่เขาไม่อยากได้สวัสดิการนี้ โดยได้ยกตัวอย่างกรณีเงินช่วยเหลือกรณีโควิด-19 ที่ประชาชนต่าง ‘วิ่งเต้น’ แต่ในท้ายที่สุด ก็มีทั้งคนที่ได้ และ ไม่ได้ นอกจากนี้เขายังกล่าวต่ออีกว่า “คนข้างบนกินกันจนล้นปาก” กล่าวคือเกิดการคอรัปชั่นในส่วนของเงินสวัสดิการที่จะมาถึงประชาชน อีกทั้งเขายังกล่าวชื่นชมบัตรทอง แต่วิพากษ์วิจารณ์การคอรัปชั่นที่เห็นได้ชัดในสวัสดิการของประชาชนในรัฐบาลของประยุทธ จันทร์โอชา
ประเด็นที่ห้า ผู้วิจัยได้สอบถามผู้ถูกสัมภาษณ์เกี่ยวกับความต้องการในเรื่องของการช่วยเหลือจากรัฐ โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่หนึ่งกล่าวว่า เขาอยากมีงานทำ จะเป็นงานประเภทใดก็ได้ เขาสามารถทำได้หมด ผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สองกล่าวว่า เขาอยากได้เงิน เพียงวันละ 50-100 แค่พอประทังชีวิต ส่วนผู้ถูกสัมภาษณ์คนสุดท้าย เขาอยากได้เงินเพื่อเป็นทุนในการไปต่อยอดในด้านอาชีพ เขายังวิจารณ์การช่วยเหลือของรัฐบาลว่า “มันก็ช่วย แต่ก็ช่วยนิดหน่อย ผลตอบรับของคนที่ช่วยมหาศาล แต่คนที่ถูกช่วยไม่กระเตื้องเลย” อีกทั้ง เขายังกล่าวต่อว่า “อยากจะทำงานเพื่อให้มีเงินทุน แล้วไปค้าขาย เบื่อชีวิตอย่างนี้ เขาไม่อยากมาอย่างนี้หรอก”
ประเด็นสุดท้ายคือ ปัญหาอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากประเด็นข้างต้นที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ให้สัมภาษณ์ ได้แก่ ปัญหาด้านความปลอดภัย ประกอบด้วย การถูกลักขโมย ฉกฉวยสิ่งของ การถูกทำร้ายร่าง และ การล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาถัดมาคือ ปัญหาด้านสุขอนามัย เนื่องจากไม่มีห้องน้ำที่พวกเขาจะสามารถใช้อาบน้ำได้ ไม่มีที่นอน และ ปัญหาในเรื่องของอาหารที่ไม่เพียงพอ ปัญหาสุดท้ายคือ ปัญหาด้านการเดินทาง เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ ทำให้เดินทางลำบาก โดยผู้ถูกสัมภาษณ์คนที่สามกล่าวว่า “เดินทาง เหนื่อยกว่าทำงานอีก”
กล่าวโดยสรุป ผู้ถูกสัมภาษณ์มองว่าสวัสดิการรัฐทั้ง 3 สวัสดิการมีเป้าประสงค์ที่ดี และ มีประโยชน์โดยเฉพาะต่อกลุ่มคนไร้บ้าน แต่ปัญหาคือ การเข้าไม่ถึงสวัสดิการรัฐดังกล่าว ทั้งด้านข้อมูล การดำเนินการหลายขั้นตอน ที่สร้างความยากลำบากแก่กลุ่มคนไร้บ้าน ด้วยเหตุนี้ทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของสวัสดิการที่ไม่ทั่วถึง ประชาชนต้องแย่งกันใช้สิทธิ บางคนได้ บางคนไม่ได้ นำไปสู่การไม่ไว้วางใจของประชาชนที่มีต่อรัฐ ผู้วิจัยมองว่าจากการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ ทำให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายไม่ตระหนักถึงปัญหาเชิงโครงสร้างของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มชายขอบ เช่น คนไร้บ้าน ผู้มีรายได้น้อย อีกทั้งปัญหาด้านฐานข้อมูล และ เน้นความเป็นระบบที่มีหลากหลายขั้นตอนมากเกินไป สุดท้ายนี้ผู้วิจัยมองว่าการช่วยเหลือของรัฐในปัจจุบันสามารถช่วยได้เพียงเล็กน้อย ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว รัฐควรมองปัญหาให้ถูกจุด และ ดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง และ เหมาะสม