คนละครึ่งกับแสงสว่างที่ปลายอุโมง

นับว่าโครงการประสบผลสำเร็จทั้งมีคนชมและมีคนด่า ซึ่งรัฐยอมเป็นหนี้ก้อนโตมหาศาล เฉลี่ยตอนนี้ทุกคนเป็นหนี้ตกคนละไม่ต่ำกว่า 12 ล้านบาท
ข้อกังขาหลายๆ อย่างว่าเราจะใช้หนี้อย่างไรคิดว่าจะเป็นเงื่อนไขต่อไปที่รัฐบาลจะต้องแก้ปัฐหาอย่างระมัดระวังกันต่อไป
โครงการคนละครึ่งและอื่นๆ ถือว่าเป็นการดึงความสนใจจากประชาชนให้หันมาจับจ่ายแบบไม่ต้องใช้เงินสด สมมุติว่าถ้ารัฐประกาศตูมออกมาว่าเราเลิกใช้เงินสดกันเถอะและให้มาจับจ่ายผ่านมือถือกัน รับประกันเกือบ 100% ว่าประชาชนจะลุกฮือขึ้นมาทันที และก็จะตั้งคำถามต่างๆ ออกมาอย่างมากมายไม่จบไม่สิ้น
รัฐยอมเป็นหนี้นับแสนล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบให้ออกมาสมบูรณ์ที่สุด และถ้าระบบสมบูรณ์และประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศยอมรับแบบค่อยๆ ปรับตัว (ไม่ได้บังคับ) เราก็จะใช้จ่ายแบบไม่ต้องพกเงินสดกันอีกต่อไป ปัญหาจี้ชิงทรัพย์ก็จะไม่เกิดขึ้นเพราะจะทำอะไรเราก็อยู่ในการดูแลของระบบทั้งหมด

ขึ้นต่อไปที่รัฐจะต้องปรับใหม่คือการชะลอการเกษียรอายุการทำงานทั้งภาครัฐและเอกชนออกไปอีก จาก 60 เป็น 70 ปี เพราะในอีก 20-30 ปีข้างหน้าจะมีผู้สูงอายุว่างงานถึง 30 ล้านคนขึ้นไป (พวกเราในเวลานี้นี่แหละ) และจะเป็นหนี้ก้อนโตที่จะมากกว่าเวลานี้ถึง 30 เท่า และจะเป็นหนี้ที่จะไม่สามารถชดใช้ได้เลยเพราะเราจะมีประชากรที่อยู่ในวัยทำงานแค่ 40 ล้านคนและอีกราว 30 ล้านคนตกงาน ก็เท่ากับว่าเรามีบุคคาการที่อยู่ในเกณฑ์ทำงานได้แค่ 30-40% ของประชาการทั้งประเทศ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ที่บอกว่า "ทุกคนเป็นหนี้ตกคนละไม่ต่ำกว่า 12 ล้านบาท" เอาตัวเลขนี้มาจากไหนครับ ในเมื่อโครงการคนละครึ่งเฟส1 รัฐบาลตั้งงบประมาณไว้ไม่เกิน 30,000 ล้านบาท ถ้าเอาคำว่า"ทุกคน"มาใช้ต้องหมายถึงคนไทยทั้งประเทศ 66ล้านคน ซึ่งพอเอาไปหารงบประมาณที่ใช้จะเท่ากับเป็นหนี้เพิ่มมา 300บาทต่อคน ต่อให้รวมโครการเงินกู้ทั้งโครงการกว่า2ล้านๆบาท ก็ยังไม่ถึง 12ล้านบาทตามที่อ้างมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่