เอชไพโลไร (H. Pylori) ตัวการร้ายทำลายกระเพาะ
หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด 😣 พี่หมอเชื่อว่าหลายคนๆ คงเคยมีอาการแบบนี้อยู่บ้าง เพราะอาการดังกล่าวเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่เป็นๆหายๆ และไม่ทำอันตรายถึงชีวิต ทำให้คนที่เป็นส่วนใหญ่มักจะซื้อยามากินเองมากกว่าที่จะไปพบคุณหมอเพื่อรักษาให้หายขาด เพราะแค่กินยาลดกรดก็สามารถบรรเทาอาการได้แล้ว
แต่รู้หรือไม่ครับว่า ถ้าเราปล่อยไว้จนกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เพราะขาดการรักษาที่ถูกต้องและต่อเนื่อง จากโรคกระเพาะธรรมดาก็อาจจะลุกลามบานปลายจนนำไปสู่โรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้เลยนะครับ❗ ส่วนสาเหตุจะมีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้พี่หมอจะมาเล่าให้ฟัง
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหารมีสาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเข้าไป เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาจนบางครั้งก็กลายเป็นการอดอาหารไปเลย การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 🚬🍺 รวมถึงการรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำด้วย
และสาเหตุสำคัญของโรคนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) ซึ่งในประเทศไทยพบว่า ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มักจะมีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารมากถึง 90% เลยทีเดียว
โรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากเชื้อเอชไพโลไร
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรียในเขตร้อน ซึ่งมักอาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร และสามารถถ่ายทอดจากคนสู่คนได้ผ่านการรับประทานอาหารและการใช้อุปกรณ์การปรุงอาหารที่ไม่สะอาด 🍽️ ทำให้เชื้อเดินทางจากกระเพาะอาหารเข้าสู่เซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร
ซึ่งปกติแบคทีเรียหลายชนิดจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารทำลาย แต่เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไรมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเกาะเกี่ยวกับเยื่อบุกระเพาะอาหาร รวมถึงสามารถผลิตด่างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกรดทำลายได้ด้วย
โดยเจ้าเชื้อชนิดนี้จะแทรกอยู่ระหว่างช่องเซลล์ของผิวเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของเราได้เป็นสิบๆ ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆ (ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาไม่มาก) แต่เชื้อจะฝังตัวอยู่ในกระเพาะอาหารไปเรื่อยๆ จนความแข็งแรงของผิวเยื่อบุกระเพาะอาหารลดลง ส่งผลให้กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังหรือเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และอาจกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารในที่สุด❗
อาการของการติดเชื้อเอชไพโลไร
📍 ปวดท้องเป็นๆหายๆ โดยเฉพาะบริเวณใต้ลิ้นปี่
📍 ปวดแสบและจุกแน่นที่ท้องส่วนบนบริเวณเหนือสะดือ และจะยิ่งปวดรุนแรงขึ้นเมื่อท้องว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
📍 ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน หรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วย· อิ่มเร็ว หิวบ่อย หรือบางทีก็ไม่อยากอาหาร
📍 ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรงจนเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะทำให้มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้อุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย และมีกลิ่นเหม็นรุนเรง
📍 แต่ถ้าติดเชื้อแบบเฉียบพลัน หรือได้รับเชื้อในปริมาณมาก ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ คือ มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วอาการก็จะหายไป
วิธีการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร
🔎 การส่องกล้อง โดยสอดอุปกรณ์ที่มีกล้องขนาดเล็กเข้าไปทางปาก เพื่อตรวจดูแผลและเยื่อบุกระเพาะอาหาร รวมถึงเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจหาเชื้อที่ห้องแล็บด้วย
🔎 การตรวจอุจจาระ โดยเก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อส่งตรวจภายใน 4 ชั่วโมง เพื่อหาซากเชื้อแบคทีเรีย หรือโปรตีนของเชื้อ ซึ่งวิธีนี้มีความแม่นยำมากถึง 98%
🔎 การตรวจลมหายใจ โดยคุณหมอจะให้กินยูเรียเข้าไป และเป่าลมหายใจออกมาเพื่อเก็บไปตรวจวัดปริมาณแอมโมเนีย เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไร สามารถเปลี่ยนยูเรียเป็นแอมโมเนียได้ ซึ่งถ้าพบว่ามีปริมาณแอมโมเนียเพิ่มขึ้น ก็แสดงว่ามีเชื้อเอชไพโลไรอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งการตรวจลมหายใจเป็นวิธีที่มีความแม่นยำมากเช่นกัน
การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไพโลไร
สามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา หรือแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ วันละ 5-6 มื้อ เพื่อไม่ให้ท้องว่างติดต่อกันเป็นเวลานานๆ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะที่มีสูตรเฉพาะ ซึ่งคุณหมอจะต้องเป็นผู้สั่งให้เท่านั้น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหารมีโอกาสที่จะดื้อยาได้ จึงจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน 2-3 ชนิด และจะต้องกินยาอย่างต่อเนื่องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและอาการของแต่ละคน
การป้องกันการติดเชื้อเอชไพโลไร
📌 ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะจัดเตรียมหรือรับประทานอาหาร
📌 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารที่ปรุงไม่สุก
📌 ลดการรับประทานอาหารรสจัด การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
📌 ดูแลภาชนะและอุปกรณ์การทำอาหารให้สะอาดอยู่เสมอ
แม้โรคกระเพาะอาหารจะไม่ใช่โรคที่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่การเป็นปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นโรคเรื้อรังก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะครับ ดังนั้น หากเริ่มมีอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อที่รักษาไม่หายขาด โดยเฉพาะคนที่ชอบกินของดิบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์แบบดิบๆ หรือผักสด พี่หมอแนะนำให้รีบมาพบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจหาเชื้ออย่างละเอียดและรับการรักษาอย่างถูกวิธีโดยเร็วที่สุดเลยนะครับ เรื่องเล็กจะได้ไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่
หรือในกรณีที่มีคนในครอบครัวเคยตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร และยังต้องรับประทานอาหารร่วมสำรับเดียวกัน ก็ควรรีบมาตรวจและทำการรักษาไปพร้อมๆ กัน เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำนั่นเอง
รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับทุกคน
ด้วยความปรารถนาดีจากพี่หมอ 💕💕💕
เอชไพโลไร (H. Pylori) ตัวการร้ายทำลายกระเพาะ
หิวก็ปวด อิ่มก็ปวด 😣 พี่หมอเชื่อว่าหลายคนๆ คงเคยมีอาการแบบนี้อยู่บ้าง เพราะอาการดังกล่าวเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นโรคที่คนไทยรู้จักและคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี
เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่เป็นๆหายๆ และไม่ทำอันตรายถึงชีวิต ทำให้คนที่เป็นส่วนใหญ่มักจะซื้อยามากินเองมากกว่าที่จะไปพบคุณหมอเพื่อรักษาให้หายขาด เพราะแค่กินยาลดกรดก็สามารถบรรเทาอาการได้แล้ว
แต่รู้หรือไม่ครับว่า ถ้าเราปล่อยไว้จนกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรัง เพราะขาดการรักษาที่ถูกต้องและต่อเนื่อง จากโรคกระเพาะธรรมดาก็อาจจะลุกลามบานปลายจนนำไปสู่โรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้เลยนะครับ❗ ส่วนสาเหตุจะมีที่มาที่ไปอย่างไร วันนี้พี่หมอจะมาเล่าให้ฟัง
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหารมีสาเหตุหลักมาจากการที่กรดในกระเพาะอาหารไปทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เนื่องจากการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเข้าไป เช่น อาหารที่มีไขมันสูง อาหารรสจัด และพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น ความเครียด การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลาจนบางครั้งก็กลายเป็นการอดอาหารไปเลย การสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 🚬🍺 รวมถึงการรับประทานยาบางชนิดเป็นประจำด้วย
และสาเหตุสำคัญของโรคนี้อีกอย่างหนึ่งก็คือ การติดเชื้อแบคทีเรียเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter Pylori) ซึ่งในประเทศไทยพบว่า ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มักจะมีเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้อยู่ที่เยื่อบุกระเพาะอาหารมากถึง 90% เลยทีเดียว
โรคกระเพาะอาหารที่เกิดจากเชื้อเอชไพโลไร
เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอชไพโลไร (H. Pylori) เป็นแบคทีเรียในเขตร้อน ซึ่งมักอาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร และสามารถถ่ายทอดจากคนสู่คนได้ผ่านการรับประทานอาหารและการใช้อุปกรณ์การปรุงอาหารที่ไม่สะอาด 🍽️ ทำให้เชื้อเดินทางจากกระเพาะอาหารเข้าสู่เซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร
ซึ่งปกติแบคทีเรียหลายชนิดจะไม่สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารได้ เพราะจะถูกกรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารทำลาย แต่เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไรมีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเกาะเกี่ยวกับเยื่อบุกระเพาะอาหาร รวมถึงสามารถผลิตด่างขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวเองไม่ให้ถูกกรดทำลายได้ด้วย
โดยเจ้าเชื้อชนิดนี้จะแทรกอยู่ระหว่างช่องเซลล์ของผิวเยื่อบุกระเพาะอาหาร ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของเราได้เป็นสิบๆ ปี โดยไม่แสดงอาการใดๆ (ในกรณีที่ได้รับเชื้อมาไม่มาก) แต่เชื้อจะฝังตัวอยู่ในกระเพาะอาหารไปเรื่อยๆ จนความแข็งแรงของผิวเยื่อบุกระเพาะอาหารลดลง ส่งผลให้กระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังหรือเกิดแผลในกระเพาะอาหาร และอาจกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารในที่สุด❗
📍 ปวดท้องเป็นๆหายๆ โดยเฉพาะบริเวณใต้ลิ้นปี่
📍 ปวดแสบและจุกแน่นที่ท้องส่วนบนบริเวณเหนือสะดือ และจะยิ่งปวดรุนแรงขึ้นเมื่อท้องว่างหรือหลังรับประทานอาหาร
📍 ท้องอืด คลื่นไส้ อาเจียน หรือเรอเปรี้ยวร่วมด้วย· อิ่มเร็ว หิวบ่อย หรือบางทีก็ไม่อยากอาหาร
📍 ในกรณีที่มีการอักเสบรุนแรงจนเกิดแผลในกระเพาะอาหาร หรือบริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งจะทำให้มีเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้อุจจาระมีสีดำคล้ายยางมะตอย และมีกลิ่นเหม็นรุนเรง
📍 แต่ถ้าติดเชื้อแบบเฉียบพลัน หรือได้รับเชื้อในปริมาณมาก ผู้ป่วยจะมีอาการเหมือนกับโรคกระเพาะอาหารอักเสบ คือ มีไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วอาการก็จะหายไป
วิธีการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไร
🔎 การส่องกล้อง โดยสอดอุปกรณ์ที่มีกล้องขนาดเล็กเข้าไปทางปาก เพื่อตรวจดูแผลและเยื่อบุกระเพาะอาหาร รวมถึงเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อในระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจหาเชื้อที่ห้องแล็บด้วย
🔎 การตรวจอุจจาระ โดยเก็บตัวอย่างอุจจาระเพื่อส่งตรวจภายใน 4 ชั่วโมง เพื่อหาซากเชื้อแบคทีเรีย หรือโปรตีนของเชื้อ ซึ่งวิธีนี้มีความแม่นยำมากถึง 98%
🔎 การตรวจลมหายใจ โดยคุณหมอจะให้กินยูเรียเข้าไป และเป่าลมหายใจออกมาเพื่อเก็บไปตรวจวัดปริมาณแอมโมเนีย เนื่องจากเชื้อเอชไพโลไร สามารถเปลี่ยนยูเรียเป็นแอมโมเนียได้ ซึ่งถ้าพบว่ามีปริมาณแอมโมเนียเพิ่มขึ้น ก็แสดงว่ามีเชื้อเอชไพโลไรอยู่ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งการตรวจลมหายใจเป็นวิธีที่มีความแม่นยำมากเช่นกัน
การรักษาผู้ติดเชื้อเอชไพโลไร
สามารถรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร โดยการรับประทานอาหารให้ตรงเวลา หรือแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อยๆ วันละ 5-6 มื้อ เพื่อไม่ให้ท้องว่างติดต่อกันเป็นเวลานานๆ รวมถึงการใช้ยาปฏิชีวนะที่มีสูตรเฉพาะ ซึ่งคุณหมอจะต้องเป็นผู้สั่งให้เท่านั้น เนื่องจากเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ในกระเพาะอาหารมีโอกาสที่จะดื้อยาได้ จึงจำเป็นต้องใช้ยาร่วมกัน 2-3 ชนิด และจะต้องกินยาอย่างต่อเนื่องประมาณ 1-2 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาและอาการของแต่ละคน
การป้องกันการติดเชื้อเอชไพโลไร
📌 ล้างมือให้สะอาดทุกครั้ง ก่อนที่จะจัดเตรียมหรือรับประทานอาหาร
📌 หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและน้ำดื่มที่ไม่สะอาด รวมถึงอาหารที่ปรุงไม่สุก
📌 ลดการรับประทานอาหารรสจัด การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์
📌 ดูแลภาชนะและอุปกรณ์การทำอาหารให้สะอาดอยู่เสมอ
แม้โรคกระเพาะอาหารจะไม่ใช่โรคที่ทำอันตรายถึงชีวิต แต่การเป็นปล่อยทิ้งไว้จนกลายเป็นโรคเรื้อรังก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลยนะครับ ดังนั้น หากเริ่มมีอาการปวดท้อง จุกเสียด แน่นเฟ้อที่รักษาไม่หายขาด โดยเฉพาะคนที่ชอบกินของดิบ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์แบบดิบๆ หรือผักสด พี่หมอแนะนำให้รีบมาพบแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร เพื่อตรวจหาเชื้ออย่างละเอียดและรับการรักษาอย่างถูกวิธีโดยเร็วที่สุดเลยนะครับ เรื่องเล็กจะได้ไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่
หรือในกรณีที่มีคนในครอบครัวเคยตรวจพบเชื้อเอชไพโลไร และยังต้องรับประทานอาหารร่วมสำรับเดียวกัน ก็ควรรีบมาตรวจและทำการรักษาไปพร้อมๆ กัน เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำนั่นเอง
รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับทุกคน
ด้วยความปรารถนาดีจากพี่หมอ 💕💕💕