สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
แชร์ประสบการณ์ในฐานะที่คุณพ่อเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายและจากไปแล้วนะคะ เราคิดว่าการที่ให้เขาได้รับรู้ ได้ตัดสินใจ ทั้งการรักษา การเลือกวิธีดูแลตัวเองหลังจากนี้ และได้ทำในสิ่งที่เขาอยากทำ อยากกิน อยากไปในระยะเวลาที่เหลือมันสำคัญมากๆค่ะ เรารักและเป็นห่วงเขา แต่คนที่เจ็บปวดร่างกายคือตัวของคุณแม่คุณเอง เราย้อนกลับไปยังเสียดาย เสียใจในหลายๆเรื่องที่เราตัดสินใจจากความรู้สึกเรา คิดแต่ในมุมของเรา ในส่วนของคุณพ่อเราคือรักษาไม่ได้แล้ว เป็นในช่วงสุดท้ายแล้วและค่อนข้างเร็วมาก ดังนั้นถ้าเขาอยากทานอะไร ทำอะไร อยากได้อะไร เราเลือกที่จะให้เขาค่ะ แต่ถ้ามันอยู่ในช่วงที่สามารถประคับประคองเขาหรือรักษาได้ บางสิ่งบางอย่าง เช่น อาหาร สิ่งของต่างๆที่ส่งผลต่ออาการ ก็ต้องพิจารณาอีกทีค่ะ เราอาจจะปิดบังไม่ให้เขาทราบได้ แต่อาการ ระยะเวลาของโรคจะทำให้เขารู้ด้วยตนเองอยู่ดีค่ะ สุดท้ายเราอยากกอดคุณแน่นๆ เป็นกำลังใจให้คุณมากๆ คุณจะเข้มแข็งและผ่านมันไปได้แน่นอนค่ะ
ความคิดเห็นที่ 13
จากใจคนที่มีคนใกล้ตัวเป็นมะเร็งเสียชีวิต ผมไม่รู้ว่าจะบอกให้รู้ดีหรือไม่ดีนะครับ
แต่ผมแนะนำว่าอย่าวุ่นวายกับการรักษามากจนเกินไป ถ้าผู้ป่วยอยากไปไหนให้พาไป อยากทำอะไรให้ทำ อยากกินอะไรให้กิน ตามใจไปให้สุด เพราะว่าอยู่ๆมันจะทรุดจนเค้าทำอะไรไม่ได้เลย ให้เค้าได้มีอิสระในช่วงที่ร่างกายเค้ายังไหวครับ
แต่ผมแนะนำว่าอย่าวุ่นวายกับการรักษามากจนเกินไป ถ้าผู้ป่วยอยากไปไหนให้พาไป อยากทำอะไรให้ทำ อยากกินอะไรให้กิน ตามใจไปให้สุด เพราะว่าอยู่ๆมันจะทรุดจนเค้าทำอะไรไม่ได้เลย ให้เค้าได้มีอิสระในช่วงที่ร่างกายเค้ายังไหวครับ
ความคิดเห็นที่ 23
ขอแชร์จากมุมมองคนที่เคยผ่านมานะครับ
การบอกความจริงหรือไม่บอกนั้น ขึ้นกับพื้นฐานของครอบครัวและผู้ป่วยครับ
ถ้าผู้ป่วยจิตใจเข้มแข็ง พอจะรับความจริง และครอบครัวแน่นแฟ้นคอบสนับสนุนดูแลช่วยเหลือ แนะนำให้บอกครับ เพ่ือจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง เพราะในตอนจบสุดท้าย เมื่ออาการมันหนักขึ้น ยังไงเจ้าตัวก็ต้องทราบอยู่ดีซักวันหนึ่ง
ถ้าผู้ป่วยจิตใจไม่เข้มแข็งขนาดจะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ ให้ค่อยๆหาทาง ชักแม่น้ำทั้งห้าเอาครับ พอไปเข้าวัด ทำบุญ ให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของโลก และทุกคนย่อมหนีไม่พ้น ถ้าผู้ป่วยมีท่าทีรับได้เมื่อไหร่ ค่อยบอกความจริงครับ
ที่ให้ดูจิตใจของผู้ป่วยก่อน เนื่องจากความสามารถในการรับมือกับเรื่องกะทันหันหรือเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของแต่ละคนไม่เท่ากันครับ
มีหลายเคสที่บอกผู้ป่วยแล้ว เขาทรุดและจากไปเลยก็มี เพราะถ้าจิตใจรับไม่ไหว บวกกับร่างกายที่ไม่พร้อมอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าโอกาสจะอยู่ไหวต่อไปนั้นยากมากๆ
สุดท้าย ยังไงผู้ป่วยก็ต้องทราบความจริงครับ ข้อนี้ผมไม่เถียง แต่เราต้องให้เวลาเขาในการรับมือกับความจริงนั้นเช่นกัน
ถ้าเทียบกับชีวิตวัยรุ่น ก็เหมือนเราอกหัก โดนบอกเลิก โดนเท เรายังต้องใช้เวลาทำใจ ใช้เวลาในการเยียวยาถูกไหมครับ
แล้วถ้ามีหมอบอกว่า คุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะอยู่ได้อีก3 เดือน มันอาจจะกลายเป็น3เดือนที่ทุกข์ และทรมานใจที่สุดในชีวิตเลยนะครับ
แต่ถ้าเราดูแลผู้ป่วยให้ดี ด้วยทุกสิ่งที่อย่างที่ทำได้ ให้ผู้ป่วยเข้าใจ ใส่ใจ ให้ท่านมีความสุขในช่วง2เดือนแล้วค่อยบอกความจริงตอนเดือนที่3 ตอนที่ใจผู้ป่วยสงบ พร้อมรับมัน เข้าใจโลก เข้าใจความอนิจจังมากขึ้น
แบบไหนจะดีกว่ากันละครับถูกไหม?
แต่ขอย้ำก่อนนะครับ ที่แนะนำมานี้ คือในเคสที่รักษาไม่ได้แล้วจริงๆเท่านั้น คือเคสที่ต้องทำใจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีโอกาสเหลือแล้ว
เพราะถ้ามีโอกาสเหลือ สิ่งที่เราควรทำอย่างแรกคือบอกผู้ป่วยครับ
ลูกๆหลายๆคนชอบให้พ่อแม่ไปโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆหมอ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ท่านเตรียมใจเรื่องนี้มานานมากๆแล้ว ท่านแค่อยากอยู่บ้าน ใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขก่อนจากไป เท่านั้นเอง (สำหรับเคสที่รักษาไม่ได้แล้วเท่านั้นนะครับ ย้ำ!!!!!!!)
การบอกความจริงหรือไม่บอกนั้น ขึ้นกับพื้นฐานของครอบครัวและผู้ป่วยครับ
ถ้าผู้ป่วยจิตใจเข้มแข็ง พอจะรับความจริง และครอบครัวแน่นแฟ้นคอบสนับสนุนดูแลช่วยเหลือ แนะนำให้บอกครับ เพ่ือจะได้ไม่มีปัญหาทีหลัง เพราะในตอนจบสุดท้าย เมื่ออาการมันหนักขึ้น ยังไงเจ้าตัวก็ต้องทราบอยู่ดีซักวันหนึ่ง
ถ้าผู้ป่วยจิตใจไม่เข้มแข็งขนาดจะยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ ให้ค่อยๆหาทาง ชักแม่น้ำทั้งห้าเอาครับ พอไปเข้าวัด ทำบุญ ให้ผู้ป่วยเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาของโลก และทุกคนย่อมหนีไม่พ้น ถ้าผู้ป่วยมีท่าทีรับได้เมื่อไหร่ ค่อยบอกความจริงครับ
ที่ให้ดูจิตใจของผู้ป่วยก่อน เนื่องจากความสามารถในการรับมือกับเรื่องกะทันหันหรือเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจของแต่ละคนไม่เท่ากันครับ
มีหลายเคสที่บอกผู้ป่วยแล้ว เขาทรุดและจากไปเลยก็มี เพราะถ้าจิตใจรับไม่ไหว บวกกับร่างกายที่ไม่พร้อมอยู่แล้ว ต้องยอมรับว่าโอกาสจะอยู่ไหวต่อไปนั้นยากมากๆ
สุดท้าย ยังไงผู้ป่วยก็ต้องทราบความจริงครับ ข้อนี้ผมไม่เถียง แต่เราต้องให้เวลาเขาในการรับมือกับความจริงนั้นเช่นกัน
ถ้าเทียบกับชีวิตวัยรุ่น ก็เหมือนเราอกหัก โดนบอกเลิก โดนเท เรายังต้องใช้เวลาทำใจ ใช้เวลาในการเยียวยาถูกไหมครับ
แล้วถ้ามีหมอบอกว่า คุณเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จะอยู่ได้อีก3 เดือน มันอาจจะกลายเป็น3เดือนที่ทุกข์ และทรมานใจที่สุดในชีวิตเลยนะครับ
แต่ถ้าเราดูแลผู้ป่วยให้ดี ด้วยทุกสิ่งที่อย่างที่ทำได้ ให้ผู้ป่วยเข้าใจ ใส่ใจ ให้ท่านมีความสุขในช่วง2เดือนแล้วค่อยบอกความจริงตอนเดือนที่3 ตอนที่ใจผู้ป่วยสงบ พร้อมรับมัน เข้าใจโลก เข้าใจความอนิจจังมากขึ้น
แบบไหนจะดีกว่ากันละครับถูกไหม?
แต่ขอย้ำก่อนนะครับ ที่แนะนำมานี้ คือในเคสที่รักษาไม่ได้แล้วจริงๆเท่านั้น คือเคสที่ต้องทำใจอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีโอกาสเหลือแล้ว
เพราะถ้ามีโอกาสเหลือ สิ่งที่เราควรทำอย่างแรกคือบอกผู้ป่วยครับ
ลูกๆหลายๆคนชอบให้พ่อแม่ไปโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆหมอ ทั้งๆที่ความจริงแล้ว ท่านเตรียมใจเรื่องนี้มานานมากๆแล้ว ท่านแค่อยากอยู่บ้าน ใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุขก่อนจากไป เท่านั้นเอง (สำหรับเคสที่รักษาไม่ได้แล้วเท่านั้นนะครับ ย้ำ!!!!!!!)
แสดงความคิดเห็น
คุณหมอบอกว่าแม่จะอยู่ได้อีกไม่นาน เราควรบอกเรื่องนี้กับแม่ดีมั้ยคะ
ตอนนี้เราเลยคิดหนักมากค่ะ เรื่องบอกแม่หรือไม่บอกแม่ดี มันดูเหมือนเป็นความเห็นแก่ตัวของพวกเราเองในเรื่องที่อยากให้แกสบายใจว่าไม่มีอะไรร้ายแรง ก็แค่ผ่าตัด ผ่าตัดก็หาย ส่วนพี่ที่สนิทเราเขาแนะนำว่าให้บอก เขาพูดมาว่า "มองในมุมตัวเอง ถ้าแบบสมมติว่าเป็นเรา เราจะอยากรู้มั้ยว่าเหลือเวลาเท่านี้ อะไรที่ค้างคาก็จะได้ทำ อะไรไม่เคยพูดก็จะพูดให้หมด บางทีเค้าอาจจะมีอะไรที่เค้าอยากทำ เราก็อยากให้เค้าได้ทำ เค้าจะได้สบายใจไม่มีอะไรค้างคา ไม่ต้องเป็นห่วงเราอีก"
เราควรจะบอกแม่ดีมั้ยคะ แล้วหาจังหวะไหนบอกดี เราจะเอาเรื่องนี้ไปปรึกษากับญาติผู้ใหญ่คนอื่นที่บ้านด้วยค่ะ ก็กลัวอีกว่าถ้าบอกไปแล้วผลคือแกจิตตก จะพากันทรุดหนักไปเลยรึเปล่า แม่เองก็ไม่ใช่คนที่แบบ อยากรักษาก็ไปให้สุดทางด้วย แกจะมาในแนวอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อยากให้เราเก็บเงินไว้ ไม่อยากให้มาเสียค่ารักษามากมายไปกับแก คิดหนักเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับพื้นที่นะคะ