(ภาพที่คาดกันว่าเป็นของ Maria Sophia von Erthal)
เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2019 พิพิธภัณฑ์ Diocesan Museum ที่ตั้งอยู่ในเมืองบัมแบร์ก ประเทศเยอรมนี ได้รายงานถึงการค้นพบ ‘ป้ายหลุมศพ’ ของหญิงผู้สูงศักดิ์นางหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในช่วงศตวรรษที่ 18 โดยอาศัยอยู่ในปราสาทใกล้ๆ เมือง Lohr am Main ในภาคเหนือของบาวาเรีย โดยทางพิพิธภัณฑ์เชื่อว่าเธอเป็นที่มาและแรงบันดาลใจ ที่ทำให้สองพี่น้องกริมม์ใช้เรื่องสุดเศร้าในชีวิตของเธอ แต่งนิทานอันโด่งดังเรื่อง “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด”
“สวัสดีครับ ผมนายโฮลเกอร์ เคมป์เคนส์ ผอ.พิพิธภัณฑ์ Diocesan Museum สำหรับข้อสันนิษฐานที่ทุกสื่อได้รับไปนี้ ไม่ได้ถูกกล่าวอ้างขึ้นอย่างมั่ว ๆ เพราะเรามีทั้งหลักฐานที่เป็นรูปธรรม และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกัน นี่คือป้ายหลุมศพของ “มาเรีย โซเฟีย ฟอน แอร์ธาล” (Maria Sophia von Erthal) เธอคือหญิงผู้สูงศักดิ์ ที่มีตัวตนอยู่จริงในปี ค.ศ 1725 – 1796 แม้เธอจะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยแต่ชีวิตของเธอก็น่าเศร้าเป็นอย่างมาก "
ในบันทึกของครอบครัวระบุว่า เธอใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทหลังใหญ่ในแคว้นบาวาเรีย เธอเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามจิตใจดีชอบช่วยเหลือคนยากไร้ เธอใช้ชีวิตประดุจเจ้าหญิงในราชวังค์ มีคนรับใช้ มีผู้รับส่ง ไม่เคยต้องลำบากแม้ว่าจะเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม จนกระทั่งแม่แท้ ๆ ของเธอได้เสียชีวิตไป
พ่อที่เป็นเจ้าของโรงงานกระจกผู้ร่ำรวยได้แต่งงานใหม่กับหญิงม่ายรายหนึ่งที่มีลูกติด ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
ปราสาทที่ Maria Sophia von Erthal เติบโตขึ้นมา
แม่เลี้ยงหญิงม่ายเกลียดชังเธอเป็นอย่างมาก ผิดกับลูกของตัวเองที่มอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยม จึงกลั่นแกล้งเธอและใช้งานสารพัด และยังเป่าหูพ่อของเธอว่าคบชู้กับข้ารับใช้ จนทำให้บางครั้งเธอต้องถูกลงโทษอย่างหนักจากความผิดที่ตัวเธอไม่ได้กระทำ
ตามบันทึกยังระบุอีกว่า แม้ว่าเธอจะเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวย แต่ทุกครั้งที่มีคนมาชอบแม่เลี้ยงจะคอยเป่าหูให้ชายเหล่านั้นเชื่อว่า เธอเป็นหญิงโสมม มากชาย ทำให้ตลอดชีวิตของเธอไม่เคยได้แต่งงาน มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อความอดทนของเธอหมดลง เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากปราสาท และลัดเลาะเข้าไปในป่าเพื่อเดินทางไปหาญาติของเธอที่เป็นอาร์กบิชอป (Archbishop) อยู่ที่ไมนซ์ (Mainz)
การเดินทางในครั้งนั้น เธอต้องเดินทางเพียงลำพังโดยต้องเดินข้าม “ The Seven Hills” ในเนเธอร์แลนด์ แต่เมื่อไปถึงเมืองลัวร์อัมไมน์ (ขณะนั้นเป็นเหมือง) เธอถูกจับตัวกลับไปยังปราสาทเสียก่อน เมื่อพ่อของเธอเสียชีวิต เธอก็ถูกแม่เลี้ยงเนรเทศออกจากบ้านเกิด ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองบัมแบร์ก เธอต้องใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา ลำบาก ทำไร่ ทำสวน สุดท้ายร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมจนสูญเสียการมองเห็น และเสียชีวิตไปเมื่อปี 1796 ด้วยอายุ 71 ปี
เจ้าหน้าที่ของคริสตจักร Norbert Jung พร้อมป้ายหลุมศพ Cr.ภาพ Archdiocese of Bamberg ถ่ายโดย Dominik Schreiner
" ร่างของเธอถูกฝังไว้ที่โบสถ์แห่งหนึ่ง แต่เมื่อเกิดสงครามโบสถ์แห่งนี้ก็ถูกทำลาย ทำให้ป้ายหินบนสุสานของเธอสูญหาย จนกระทั่งมีนักประวัติศาสตร์ค้นพบ ‘ป้ายหินหลุมศพ’ ที่มีชื่อตรงกับเรื่องราวที่เขาเคยศึกษามา เมื่อศตวรรษที่ 19 จากนั้นจึงได้ส่งมอบให้ทางพิพิธภัณฑ์เก็บรักษา ซึ่งเป็นเวลานานพอควรก่อนที่พิพิธภัณฑ์จะเผยแพร่เรื่องนี้สู่สาธารณะชน เพราะเราเริ่มตรวจสอบ ป้ายหินนี้มาตั้งแต่ปี 1980 แล้ว” – ผอ. ยังเล่าต่อว่า
" สำหรับการตรวจสอบที่เริ่มขึ้นในปี 1980 เราได้ คาร์ลไฮนซ์ บาร์เทลส์ นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันมาร่วมงานด้วย ซึ่งเป็นคนที่กล่าวว่า สองพี่น้องกริมม์ น่าจะได้แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่อง ‘สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด’ มาจากชีวิตจริงของเธอ เพราะบ้านเกิดของสองพี่น้องกริมม์ อยู่ห่างจากบ้านเกิดของเธอเพียง 50 กม. ฉะนั้นทั้งคู่ต้องเคยได้ยินเรื่องราวของเธอแน่นอน อีกทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ของเธอ ก็คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เช่น
- แม่เลี้ยงใจร้ายผู้ชอบบงการ รักแต่ลูกตัวเอง เหมือนแม่มดในนิทาน
- การลัดเลาะเข้าป่า ที่มีสัตว์ต่าง ๆ ชุกชุม
- การเดินทางข้ามภูเขา 7 ลูก เพื่อไปขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ถูกจับตัวได้ที่เหมือง
- ผู้ที่จับตัวของเธอคือ หัวหน้ารักษาความปลอดภัยประจำตระกูล
- เหมืองแห่งนั้นเต็มไปด้วย เด็ก ๆ เนื้อตัวมอมแมม ที่คอยปกป้องเธอจากเครื่องมือและหน้างานที่อันตราย
ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่ข้อสันนิษฐานว่า มาเรีย โซเฟีย ฟอน แอร์ธาล คือสโนว์ไวท์ตัวจริง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้สองพี่น้องกริมม์ เขียนนิทานเรื่อง “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด” ที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเวอร์ชั่นแรกตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี 1812 จากนั้นก็มีอีกหลาย ๆ สำนักพิมพ์นำมาปรับปรุงให้เนื้อหาสดใสมากขึ้น จนกระทั่ง Disney ได้ตัดสินใจสร้างเป็นหนังการ์ตูน จนประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
(The Brothers Grim โดย Jacob Grimm (1785–1863) Wilhelm Grimm (1786–1859) ทั้งสองคือผู้แต่ง สโนไวท์, ราพันเซล, ซินเดอเรลล่า และ แฮนเซลกับเกรเธล ตลอดชีวิตการทำงานด้านนิทานได้ผลิตผลงานออกมาทั้งหมด 210 เรื่อง ซึ่งถูกรวมรวบไว้ในหนังสือ Tales of Children and the Home)
ภาพประกอบจากเทพนิยายสโนว์ไวท์ปี 1910
สโนว์ไวท์ในตัวอย่าง Snow White and the Seven Dwarfs (1937)
เทพนิยายเล่าถึงเด็กสาวที่หนีแม่เลี้ยงใจร้ายและตกอยู่ภายใต้การดูแลของคนแคระทั้งเจ็ดที่ทำงานในเหมือง วันหนึ่งเธอเข้าสู่ห้วงนิทราหลังจากกัดแอปเปิ้ลพิษโดยได้รับความอนุเคราะห์จากแม่เลี้ยงผู้ชั่วร้าย แต่เธอไม่ตายและในขณะที่พักผ่อนอยู่ในโลงแก้วของเธอเธอถูกค้นพบและจูบโดยเจ้าชายที่น่ารักและแน่นอนทั้งสองคน - อยู่อย่างมีความสุขตลอดไป
เมือง Lohr am Main ภาพโดย Ben CC โดย 2.0
อย่างไรก็ตาม ยังมีเรื่องเล่าถึงสโนว์ไวท์อีกคน ที่ระบุว่าคือ Countess Margarete von Waldeck ที่อาศัยอยู่ในศตวรรษที่ 16 ในเยอรมนี โดยพ่อของ
Margarete เป็นเจ้าของเหมืองซึ่งมีคนแคระหลายคนทำงานอยู่ด้วย ซึ่งความแคระแกรนของพวกเขาทำให้ทำงานด้วยความยากลำบาก
แม่เลี้ยงของเธอก็เป็นแบบเดียวกับเรื่องสโนว์ไวท์ ที่บังคับให้เธอหนีจากบ้านของเธอ และในขณะที่อาศัยอยู่ในเบลเยี่ยมเธอได้พบและตกหลุมรักกับที่ว่า Phillip II of Spain (ฟิลลิปที่สองของสเปน) แต่ Charles V กษัตริย์แห่งสเปนไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้ และถูกกล่าวหาว่าเป็นมือสังหารวางยาหญิงสาวเพื่อไม่ให้ลูกชายของเขาแต่งงานด้วย เพราะจะทำให้เสียเปรียบทางการเมือง
ส่วนบ้านหลังเล็กที่มีเตียงนอนเรียงเป็นแถวที่เราเห็นในนิทานนั้น จะเหมือนกับกระท่อมหลังเล็ก ๆ ที่ลูกๆของคนงานเหมืองอาศัยอยู่ ซึ่งเด็กเหล่านี้หลายคนไม่ได้เกิดมาเป็นคนแคระ แต่การขาดสารอาหารและการปีนเข้าและออกจากพื้นที่แคบในแต่ละวันทำให้การเติบโตของพวกเขาหยุดชะงัก จนถึงจุดที่เรียกว่า "คนแคระ" น่าเสียดายที่ในความเป็นจริง เด็ก ๆ ไม่สามารถช่วยเหลือสโนว์ไวท์ได้
ไม่มีใครรู้จักโมเดลประวัติศาสตร์ของ Snow White อย่างแท้จริง แต่ปรากฎว่าเรื่องราวของสโนว์ไวท์ตรงกับเรื่องราวในชีวิตจริงของหญิงสาวสองคนที่แตกต่างกันในเยอรมนีและเห็นได้ชัดว่าเป็นแรงบันดาลใจสำหรับเทพนิยาย ทั้งสองเรื่องมีหลายสิ่งที่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ผู้คนใน Lohr am Main มีความภาคภูมิใจอย่างมากที่ถูกกล่าวหาว่าเชื่อมโยงกับเรื่องราวอันเป็นที่รัก พิพิธภัณฑ์ Diocesan ใน Bamberg หวังว่าศิลาฤกษ์ของสุภาพสตรีที่อาจเป็นต้นแบบของเจ้าหญิงในเทพนิยายซึ่งจะเพิ่มความนิยมมากขึ้น
นี่เป็นภาพเดียวที่มีอยู่ของ Margaretha von Waldeck (กลาง) ถัดจากพี่สาวสองคน
ในขณะที่ภาพไม่มีรายละเอียดมากนัก รู้แต่ว่าเธอมีผมสีบลอนด์และตาสีฟ้า Cr. Wiz-Online.DE
ก่อนที่ พี่น้องตระกูลกริมม์ จะนำเรื่องสุดดาร์คนี้มาดัดแปลงให้กลายเป็นเรื่อง น่ารักกุ๊กกิ๊ก และจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งของ ดิสนีย์ จนทำให้ในวันที่ 29 มกราคม ค.ศ. 1959 การ์ตูนแอนิเมชั่นเรื่อง Sleeping Beauty ได้ออกฉายในที่สุด หลังจากเตรียมงานและดำเนินการสร้างนานถึง 14 ปี
ซึ่งต่อมาก็มีหนังเกี่ยวกับ เจ้าหญิงนิทราเวอร์ชั่นคนแสดงออกมามากมายได้แก่ Sleeping Beauty 1987, Sleeping Beauty 2014, Maleficent 2014 , The Curse of Sleeping Beauty 2016 โดยเฉพาะ Sleeping Beauty 2011 นับเป็น “เจ้าหญิงนิทรา” ที่โหดที่สุดเท่าที่มีการสร้างมา โดยมันไม่ได้กล่าวถึงเจ้าหญิงในนิทานตรงๆ แต่เป็นการเปรียบเปรย
ที่มา
thebookshelf, thevintagenews, ancient-origins และ bbc
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
พบหญิงสาวที่คาดว่าเป็น 'Real Snow White'
“สวัสดีครับ ผมนายโฮลเกอร์ เคมป์เคนส์ ผอ.พิพิธภัณฑ์ Diocesan Museum สำหรับข้อสันนิษฐานที่ทุกสื่อได้รับไปนี้ ไม่ได้ถูกกล่าวอ้างขึ้นอย่างมั่ว ๆ เพราะเรามีทั้งหลักฐานที่เป็นรูปธรรม และข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวเนื่องกัน นี่คือป้ายหลุมศพของ “มาเรีย โซเฟีย ฟอน แอร์ธาล” (Maria Sophia von Erthal) เธอคือหญิงผู้สูงศักดิ์ ที่มีตัวตนอยู่จริงในปี ค.ศ 1725 – 1796 แม้เธอจะเกิดในครอบครัวที่ร่ำรวยแต่ชีวิตของเธอก็น่าเศร้าเป็นอย่างมาก "
ในบันทึกของครอบครัวระบุว่า เธอใช้ชีวิตอยู่ในปราสาทหลังใหญ่ในแคว้นบาวาเรีย เธอเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามจิตใจดีชอบช่วยเหลือคนยากไร้ เธอใช้ชีวิตประดุจเจ้าหญิงในราชวังค์ มีคนรับใช้ มีผู้รับส่ง ไม่เคยต้องลำบากแม้ว่าจะเรื่องเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม จนกระทั่งแม่แท้ ๆ ของเธอได้เสียชีวิตไป
พ่อที่เป็นเจ้าของโรงงานกระจกผู้ร่ำรวยได้แต่งงานใหม่กับหญิงม่ายรายหนึ่งที่มีลูกติด ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปตลอดกาล
ตามบันทึกยังระบุอีกว่า แม้ว่าเธอจะเป็นหญิงสาวที่มีหน้าตาสะสวย แต่ทุกครั้งที่มีคนมาชอบแม่เลี้ยงจะคอยเป่าหูให้ชายเหล่านั้นเชื่อว่า เธอเป็นหญิงโสมม มากชาย ทำให้ตลอดชีวิตของเธอไม่เคยได้แต่งงาน มีอยู่ครั้งหนึ่งเมื่อความอดทนของเธอหมดลง เธอจึงตัดสินใจหนีออกจากปราสาท และลัดเลาะเข้าไปในป่าเพื่อเดินทางไปหาญาติของเธอที่เป็นอาร์กบิชอป (Archbishop) อยู่ที่ไมนซ์ (Mainz)
การเดินทางในครั้งนั้น เธอต้องเดินทางเพียงลำพังโดยต้องเดินข้าม “ The Seven Hills” ในเนเธอร์แลนด์ แต่เมื่อไปถึงเมืองลัวร์อัมไมน์ (ขณะนั้นเป็นเหมือง) เธอถูกจับตัวกลับไปยังปราสาทเสียก่อน เมื่อพ่อของเธอเสียชีวิต เธอก็ถูกแม่เลี้ยงเนรเทศออกจากบ้านเกิด ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองบัมแบร์ก เธอต้องใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดา ลำบาก ทำไร่ ทำสวน สุดท้ายร่างกายของเธอก็ทรุดโทรมจนสูญเสียการมองเห็น และเสียชีวิตไปเมื่อปี 1796 ด้วยอายุ 71 ปี
" สำหรับการตรวจสอบที่เริ่มขึ้นในปี 1980 เราได้ คาร์ลไฮนซ์ บาร์เทลส์ นักประวัติศาสตร์ชาวเยอรมันมาร่วมงานด้วย ซึ่งเป็นคนที่กล่าวว่า สองพี่น้องกริมม์ น่าจะได้แรงบันดาลใจในการแต่งเรื่อง ‘สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด’ มาจากชีวิตจริงของเธอ เพราะบ้านเกิดของสองพี่น้องกริมม์ อยู่ห่างจากบ้านเกิดของเธอเพียง 50 กม. ฉะนั้นทั้งคู่ต้องเคยได้ยินเรื่องราวของเธอแน่นอน อีกทั้งเรื่องราวต่าง ๆ ของเธอ ก็คล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก เช่น
- แม่เลี้ยงใจร้ายผู้ชอบบงการ รักแต่ลูกตัวเอง เหมือนแม่มดในนิทาน
- การลัดเลาะเข้าป่า ที่มีสัตว์ต่าง ๆ ชุกชุม
- การเดินทางข้ามภูเขา 7 ลูก เพื่อไปขอความช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ถูกจับตัวได้ที่เหมือง
- ผู้ที่จับตัวของเธอคือ หัวหน้ารักษาความปลอดภัยประจำตระกูล
- เหมืองแห่งนั้นเต็มไปด้วย เด็ก ๆ เนื้อตัวมอมแมม ที่คอยปกป้องเธอจากเครื่องมือและหน้างานที่อันตราย
ทั้งหมดนี้จึงนำมาสู่ข้อสันนิษฐานว่า มาเรีย โซเฟีย ฟอน แอร์ธาล คือสโนว์ไวท์ตัวจริง ที่เป็นแรงบันดาลใจให้สองพี่น้องกริมม์ เขียนนิทานเรื่อง “สโนว์ไวท์กับคนแคระทั้งเจ็ด” ที่โด่งดังมาจนถึงทุกวันนี้ โดยเวอร์ชั่นแรกตีพิมพ์และเผยแพร่ในปี 1812 จากนั้นก็มีอีกหลาย ๆ สำนักพิมพ์นำมาปรับปรุงให้เนื้อหาสดใสมากขึ้น จนกระทั่ง Disney ได้ตัดสินใจสร้างเป็นหนังการ์ตูน จนประสบความสำเร็จไปทั่วโลก
(The Brothers Grim โดย Jacob Grimm (1785–1863) Wilhelm Grimm (1786–1859) ทั้งสองคือผู้แต่ง สโนไวท์, ราพันเซล, ซินเดอเรลล่า และ แฮนเซลกับเกรเธล ตลอดชีวิตการทำงานด้านนิทานได้ผลิตผลงานออกมาทั้งหมด 210 เรื่อง ซึ่งถูกรวมรวบไว้ในหนังสือ Tales of Children and the Home)
Margarete เป็นเจ้าของเหมืองซึ่งมีคนแคระหลายคนทำงานอยู่ด้วย ซึ่งความแคระแกรนของพวกเขาทำให้ทำงานด้วยความยากลำบาก
แม่เลี้ยงของเธอก็เป็นแบบเดียวกับเรื่องสโนว์ไวท์ ที่บังคับให้เธอหนีจากบ้านของเธอ และในขณะที่อาศัยอยู่ในเบลเยี่ยมเธอได้พบและตกหลุมรักกับที่ว่า Phillip II of Spain (ฟิลลิปที่สองของสเปน) แต่ Charles V กษัตริย์แห่งสเปนไม่เห็นด้วยกับความสัมพันธ์นี้ และถูกกล่าวหาว่าเป็นมือสังหารวางยาหญิงสาวเพื่อไม่ให้ลูกชายของเขาแต่งงานด้วย เพราะจะทำให้เสียเปรียบทางการเมือง