ประสบการณ์การออดชั่นและเป็นเทรนนี่ที่เกือบจะได้เดบิวต์

สวัสดีค่ะ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ตามหัวข้อเลยค่ะ เริ่มจากการที่เราคลั่งไคล้เพลงแนว k-pop มากและดูซีรีย์เกาหลีบ่อยจนเริ่มตกหลุมรักวัฒนธรรมต่างๆและเพลงของเกาหลี ตอนแรกก็ไม่ได้คิดสนใจการที่จะเป็นศิลปินเกาหลีเท่าไหร่แต่มีเพื่อนสนิทของเรา ซึ่งก็ชอบเหมือนกันมาชวนว่าไปออดิชั่นกันมั้ย ตอนแรกก็นึกว่าเพื่อนพูดเล่นแต่ก็พาไปจริงๆ การออดิชั่นครั้งแรกบอกเลยจ้า ว่าเราอ่ะไม่ผ่านก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายหรอกเพราะเราชิบติดตามผลงานเฉยๆไม่ได้คิดอยากจะเป็นไอดอลเคป๊อป จนเวลาผ่านไปเราเริ่มรู้สึกตัวว่าชอบมากและปราณนาว่าอจากเป็นศิลปินดารานักแสดง ด้วยความปราณนานี้เราเลยส่งคลิปการออดิชั่นไปหลายๆค่าย ด้วยความที่คิดว่าจะผ่านสักค่าย และมีหลายครั้งเลยค่ะที่เราโดดเรียนมาถ่ายคลิปเต้นและร้องเพลงจนแม่ของเราเริ่มไม่พอใจและไม่เห็นด้วย แต่เราก็ตื้อจนแม่ยอม เราขอแม่ว่าอยากไปเรียนเต้นและร้องเพลงแต่แม่นี่ปฏิเสธเสียงแข็งเลยค่ะ มีแต่พ่อเราที่สนับสนุน มีครั้งหนึ่งที่ที่เกาหลีเปิดออดิชั่นประกาศหาศิลปินเพื่อจะเดบิวต์ เราเห็นประกาศนี้ตื่นเต้นรีบวิ่งไปบอกพ่อกับแม่เลยค่ะ แต่แม่ไม่เห็นด้วยและต่อว่าเราอย่างแรง แต่ท้ายที่สุดแม่ก็ต้องยอมและพ่อกับเราเกลี่ยกล่อมแม่จนยอม เราได้เดินทางทีาเกาหลีเพื่อออดิชั่นซึ่งต้องพอเดินทางไปถึงก็ต้องพักที่โรงแรมและเตรียมตัวออดิชั่นวันพรุ่งนี้ พ่อแม่แบะเราได้นั่งแท็กซี่ไปยังที่เขาจัดการเดบิวต์และ เราได้เดินเข้าไปคนเดียวพ่อแม่นั่งรออยู่ด้านนอก บรรยากาศอึดอัดและเด็กทุกคนถูกกักตัวอยู่ในห้องโถงใหญ่ในห้องมีเด็กต่างชาติก็มี ในห้องไม่มีเก้าอี้เลยพวกเราต้องนั่งเรียงกันเป็นแถวละ 10 คน เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง ในที่สุดของถึงคราวที่เราจะต้องแสดงเราตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นกว่าตอนอออยู่ไทยอีก ใจเราเต้นไม่เป็นจังหวะความตื่นเต้นแผ่ไปทั่วร่างกายในระหว่างที่พวกเขาจะเรียกเดินออกไปข้างหน้าทีละคน พอมีคนร้องเพลง กรรมก็จะตะโกน "หยุด คนต่อไป" เขาได้ร้องแค่นิดเดียวไม่ได้ถึงท่อนเดะอเบสของเพลงเลยก็โดนหยุดซะแล้ว ทุกคนในห้องโดนบอกหยุดเหมือนๆกันหมด แล้วก็ถึงตาของเรา เรรบอกกรรมการให้สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษปบะก็มีล่ามมายืนข้างๆกรรการ เราเริ่มเปล่งเสียงร้องเพลงออกมา ซึ่งเพลงที่เราร้องคือ The lazy song ของ Bruno Mars เราร้องยังไม่ถึง 3 ซิ ก็โดนบอกหยุด จากนั้นก็ลองให้เราเต้นดูบ้าง เราไม่ได้เตรียมอะไรมาเลยนอกจากการร้องเพลง เราก็ยืนเอ๋อเลยค่ะ พวกเขาจึงเปิดเพลงให้เราเต้นสดแบบฟรีสไตล์เอง ดีที่จำท่าได้จากเรียนเต้นมาบ้าง หลังจากเราเต้นจบกรรมการก็หันไปปรึกษากับผู้ช่วย แบะเรียกเราออกไปพร้อมยื่นใบสีเหลืองมาให้ เรารับมาแบบงงๆก่อนล่ามจะบอกว่าเราได้ผ่านสู่รอบต่อไปความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้ดีใจเลยแต่กดดันมากกว่า ก่อนที่จะมีคนพาเราไปยัวอีกห้องหนึ่ง แล้วขอให้เดินไปตามเส้นทางที่เทปสีเหลืองแปะไว้บนพื้น ห้องที่เราเดินไปก็คือห้องถ่ายภาพ เราได้เดินเข้าไปและมีคนพาไปเราไปยืนหน้ากล้องตัวใหญ่ และเราถูกถ่ายภาพจากหลากหลายมุมเพื่อพิจารณาว่า ใบหน้าของเราดูเป็นอย่างไรบ้างเวลาอยู่บนหน้าจอ

ไม่กี่วันหลังจากนั้น ทางค่ายที่เราไปออดิขั่นก็ติดต่อมา เราเดินทางพร้อมกับครอบครัวเพื่อเซ็นสัญญา พวกเขายื่นเอกสารมาให้เรา ซึ่งมีข้อตกลงดังนี้

1.เราต้องลาออกจากโรงเรียนและครอบครัวเพื่อมาอาศัยที่เกาหลีใต้

2.ห้ามเรียนหนังสือ เพราะเราเป็นคนต่างชาติทางค่ายจึงอยากให้เน้นเรื่องฝึกซ้อมกับเรื่องภาษามากกว่า

3.ห้ามมีเรื่องคบชู้สาว หรือมีแฟน

ขอบอกแค่นี้นะคะเพราะบอกเยอะไม่ได้มันเป็นกฎทางค่ายเขา พ่อและแม่เราตกลงเซ็นสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปีเศษพร้อมกับหน้าตาที่ไม่ค่อนเต็มใจเท่าไหร่นัก เรากอดร่ำลาพ่อกับแม่และไปส่งพวกท่านที่สนามบิน และนั่งรถกลับค่าย

หลังจากเป็นเด็กฝึกได้ไม่นานค่ายก็ย้ายสัญญาของเราไปไว้อีกค่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงมากๆ เรื่องแบบนี้เราไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ ค่ายนี้เข้มงวดเป็นอย่างมาก เราต้องอาศัยอยู่ในบ้านพักภายใต้การดูแลของค่ายพร้อมกับเด็กฝึกหัดอีกหลายชีวิต ส่วนใหญ่จะอายุประมาณ 8-15 ปี เป็นเพื่อร่มหอแยกชายและหญิง พากเราเด็กฝึกจะออกไปข้างนอกไม่ได้เลยหากไม่ได้รับการอนุญาตจากทางพี่ๆที่ดูแลพวกเรา ถึงจะข้อพวกเราแต่โดนปฎิเสธตลอดเหมือนโดนขังจะว่างั้นก็ได้ แม้แต่ติดต่อกับครอบครัวได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น หรือหากครอบครัวอยากแวะมาเยี่ยมก็ต้องได้รับอนุญาตก่อนเช่นกัน ใครที่มาอย่างกระทันหัน มักถูกบอกให้กลับไปทุกราย โดยปกติทั่วไป พวกเราตื่นตั้งแต่ตีห้าเพื่อไปซ้อมเต้นและทานข้าวตอนเที่ยง พอทานเสร็จก็ต้องมาซ้อมร้องเพลงและเต้น พร้อมกับเรียนภาษาพวกเราได้ตารางการฝึกซ้อมต่างๆ เหมือนตารางเรียนในโรวเรียนว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละวัน ก็เสร็จแต่ละอย่างก็ปาไปประมาณ 5 ทุ่มหรือดึกกว่านั้นถ้าไม่เข้าครูฝึก

ตอนกลางคืนเด็กฝึกหัดต้องรับผิดชอบตัวเอง พวกเราต้องกลับไปเข้าหอให้ทันเวลาก่อนที่ตึกจะถูกล็อคเสียก่อน และการการออกเดทก็เป็นเรื่องต้องห้าม แม้ว่าบางคนจะแอบคบกันอย่างลับ ๆ ก็ตาม นอกจากนี้ เด็กฝึกจำเป็นต้องแสดงออกให้ "ถูกเพศสภาพ" อีกด้วย ใครก็ตามที่ดูเป็นเกย์อย่างเปิดเผยจะโดนบริษัทกีดกันอยู่แล้วถ้าจับได้จะโดนไล่ออกทันที เด็กฝึกทั้งชายและหญิงจะมี "ผู้จัดการ" เป็นคุณลุงที่คอยส่งข้อความมาตอนกลางคืนเพื่อตามเช็คพวกเรา ถ้าใครไม่พิมพ์ตอบกลับไป เขาจะโทรศัพท์มาถามทันทีว่าพวกเราอยู่ไหนกัน
นอกจากนี้ ยังไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์หรือพักร้อนใด ๆ ทั้งสิ้น ช่วงวันหยุดประจำชาติ เช่น วันตรุษเกาหลี หรือ ซ็อลลัล เด็กฝึกก็ต้องอยู่ในตึกเท่านั้น ส่วนพนักงานของบริษัทได้วันลาตามปกติ

บริษัทแบ่งพวกเราออกเป็นสองกลุ่ม เหมือนทีมเอ และ ทีมบี เราได้เป็นหนึ่งในสมาชิกจำนวน 20-30 คน ของทีมเอ พวกเราถูกมองว่ามีพรสวรรค์และมีโอกาสจะได้เป็นไอดอลมากที่สุด

ทีมบีมีสมาชิกประมาณ 100 คน บางคนในนั้นก็ต้องจ่ายเงินให้ตัวเองได้เข้ามาฝึกกับบริษัทด้วยซ้ำ เด็กฝึก พวกนี้นี้อาจตรากตรำฝึกฝนปีแล้วปีเล่าโดยไม่อาจล่วงรู้เลยว่าตัวเองจะได้ เดบิวต์ หรือเข้าวงการไอดอล มั้ยบางคนก็ท้อจนลาออกจากการเป็นเด็กฝึกก็มี ขณะที่สมาชิกในทีมเอได้นอนด้วยกันสี่คนในหอพัก เด็กฝึกทั่วไปจะได้นอนรวมกันในห้องขนาดใหญ่บนฟูกนอนของตัวเองที่ปูราบไปกับพื้นไม้แทน
เราเคยเห็นเด็กจากทีมบีนอนหลับในห้องซ้อมเต้นหลังฝึกเสร็จ เรามองรู้สึกกดดันมสก เพราะถ้าเราทำได้ไม่ค่อยดี ก็จะโดนย้ายไปอยู่ทีมบี มีแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่เราเห็นคนจากทีมบีได้ย้ายเข้ามาอยู่ทีมเอ ถ้าเกิดว่าเด็กฝึกในทีมเอประพฤติตัวไม่ดี หรือบ่นอะไรบางอย่าง พวกเขาก็อาจถูกขู่ว่าจะโดนไล่ออกหรือจะให้หล่นไปอยู่ทีมบีเพื่อสร้างแรงผลักดันให้มีกำลังใจซ้อม แต่อันที่จริงแล้ว ส่วนใหญ่ไม่มีใครเรียกร้องอะไรหรอก พวกเราทุกคนยังเด็กและเปี่ยมล้นไปด้วยความทะเยอทะยาน ทางค่ายมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเราเจอนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้กฎระเบียบในการเป็นไอดอลเกาหลี ดังนั้นพวกเราจึงพยักหน้ายอมรับทุกอย่าง ขณะอยู่ภายในบริษัท พวกเราจะใช้ชื่อจริงกับเพื่อน ๆ เด็กฝึกเท่านั้น นอกเหนือไปจากนี้ เราจะใช้หมายเลขประจำตัวและชื่อเล่นในวงการแทนเพื่อรักษาลักษณะนิสัยและบุคลิกภาพให้ตรงกับที่บริษัทมอบหมาย

เราได้รับชื่อว่า "ลีอา" และห้ามเรียกชื่อเดิมเด็ดขาดเพื่อให้เราคุ้นชินกับชื่อใหม่ ซึ่งชื่อเดิมเราคือ "ลี่" จึงโดนเปลี่ยน แต่เวลาครูฝึกเรียกด้วยหมายเลขบัตรประจำตัวสติกเกอร์บนหน้าอกแทน

ทางค่ายและพี่ดูแลชื่นชอบเราเป็นพิเศษเพราะว่าเราตัวเล็กมาก ครูฝึกชมเราอยู่บ่อยครั้งว่าน่ารักน่าเอ็นดู ถึงเราจะตัวเล็กแต่เรารักในการกินมาก เพียงแต่เราโชคดีที่กินแล้วไม่อ้วนเท่านั้น น้ำหนักตัวเป็นเรื่องคอขาดบาดตายของเหล่าเด็กฝึกมากเด็กฝึกต้องหนักไม่เกิน 50 กิโลกรัม โดยไม่เกี่ยงทั้งอายุหรือส่วนสูงทั้งสิ้น ในการชั่งน้ำหนักประจำสัปดาห์ ครูฝึกจะมาตรวจสอบร่างกายของเราพร้อมประกาศน้ำหนักของเด็กฝึกต่อหน้าทุกคนในห้องนั้น หากใครน้ำหนักเกินเกณฑ์ดังกล่าว ทางค่ายก็อาจลดปริมาณอาหารของเราได้ บางทีพวกเขาก็นำอาหารหนึ่งมื้อออกไปแล้วให้น้ำเปล่ากับเด็กฝึกที่ "อ้วนเกิน" กินแทน

เราไม่มีเพื่อนดี ๆ เท่าไหร่นักที่ค่ายแห่งนี้ ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมงานและคู่แข่งบรรยากาศมันตึงเครียดและแข่งขันกันสูงมากเสียจนเป็นเรื่องยากที่จะสร้างสายสัมพันธ์แบะเป็นเพื่อกับใครได้
นอกจากนี้ ความเครียดยังเพิ่มสูงขึ้นอีกจากกิจกรรมโชว์รายเดือน โดยเด็กฝึกต้องออกมาแสดงเดี่ยวต่อหน้าทุก ๆ คน เพื่อให้ครูฝึกประเมินผล ถ้าใครได้คะแนนต่ำ ก็จะโดนขับออกจากบริษัททันที
จากนั้นเด็กใหม่ที่หลั่งไหล่เป็นสายธารจะได้เข้ามาแทนที่ต่อ สิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งกว่า คือ เด็กบางคนผ่านการทำศัลยกรรมเสริมความงามมาแล้วเรียบร้อยจนดูเหมือนไอดอลเกาหลีมากยิ่งกว่าพวกเราที่เหลืออยู่เสียอีก

อย่างไรก็ตาม บริษัทจะคัดเลือกศิลปินตัวจริงจากทีมเอไม่ถึงครึ่ง ทำให้พวกเราต้องแข่งขันกันผ่านการร้องเพลง เต้น และสัมภาษณ์ อย่างต่อเนื่องเป็นประจำ
ทั้งนี้ วงศิลปินเค-ป็อปมักถูกจัดให้มีตำแหน่ง ดังนี้ นักร้องนำ นักเต้น แร็ปเปอร์ น้องเล็กคนสุดท้อง และ อื่น ๆ ทุกคนมีบทบาทเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ
เราดีใจมากตอนที่ทางบริษัทบอกว่าจะเลือกให้เราเป็นนักร้องนำ แต่ว่าต่อมา บริษัทแจ้งเราอีกครั้งว่าได้พิจารณาให้เรารับบทอื่นแทน นั่นคือ นักเต้นหลักของวง

ไม่นานหลังจากนั้น ทางค่ายก็เริ่มชี้แจงให้พวกเราฟังละเอียดมากขึ้นว่าศิลปินวงนี้จะมีหน้าตาออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นประเภทของเพลงหรือสไตล์ของวง แต่เรากลับเริ่มรู้สึกกดดัน ๆ กับทุกสิ่งหลังจากนี้มาก เพราะทางค่ายให้เรา ทำตัวเป็นสาวกล้าแสดงออก เซ็กซี่ และดูน่าค้นหา เพื่อเป็นนักเต้นนำของวงแล้วเราต้องทำนิสัยแบบนั้นซึ่งไม่ใช่ตัวของเราเลย การฝึกไปแล้ววันเหล่า แต่พวกเราก็ได้เดบิวต์สักที และมีสายจากทางบ้านบอกว่าแม่เราป่วย และทางบ้านเริ่มไม่มีเงินและต้องส่งมาให้เราทุกเดือนละห้าหมื่น เพื่อจ่ายเป็นค่าเทรนนี่ ด้วยเหตุผลนี้เราจึงตำเป็นต้องถึงความฝันเก็บข้าวของออกจากบริษัทพร้อมกับจ่ายเงินให้ค่ายหลายแสน เพราะเนื่องจากเราลาออกก่อนที่จะหมดสัญญาเด็กฝึก ถ้าเรายืนกรานที่จะเดบิวต์เป็นศิลปินต่อ เราก็จะต้องจ่ายค่าฝึกสอน ที่พัก รวมถึงค่าทำศัลยกรรมต่าง ๆ เอง แม้ว่าจะประสบความสำเร็จแล้ว ศิลปินเกาหลีก็ต้องทำงานชดใช้หนี้ตอนเป็นเด็กฝึก และยังมีหนี้ก้อนใหม่ตอนเป็นไอดอลแล้วด้วย อันที่จริงแล้วการจะร่ำรวยด้วยอาชีพนี้นั้นเป็นไปได้ยากอย่างมาก เราเดินทางกลับประเทศไทยโดยปราศจากการทำศัลยกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น และสอบเทียบเรียนให้ทันเพื่อน พร้อมกับกลับมาดูแลครอบครัว แม่ดีใจมากที่เรากลับประเทศไทย ท่านเชื่อมาตลอดว่าการเป็นเด็กฝึกไม่เหมาะกับเรา เพียงแต่เราต้องตระหนักด้วยตัวเองเท่านั้น เราอาจต้องเสียเวลาไปนานสักหน่อยแต่สุดท้ายฉันก็เรียนรู้ว่า คำที่แม่พูดนั้นถูกต้องเสมอเพียงแต่เราไม่เชื่อ และนี่คือประสบการณ์การเป็นเด็กฝึกใครที่ตามฝันการเป็นศิลปิน K-pop คิดให้ดีๆก่อนนะคะ เราคงเบ่ารายละเอียดได้แค่นี้ ตอนนั้นที่เราเริ่มไปเป็นเด็กฝึกอายุแค่ 11 ปีเองค่ะ ตอนนี้อายุ 16 แล้วลืมใส่รายบะเอียดนิดนึงทางค่ายจะนำสกินแคร์มาให้เราใช้นะคะเพื่อดูแลตัวเอง สำหรับใครที่อยากรู้เพิ่มเติมอะไร ถามได้ในคอมเม้นท์เลยนะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
https://www.bbc.com/news/stories-51476159
แปลมาใช่มั้ยคะ

จุดที่ จขกท เติมไป ไม่ตรงกับเรื่องที่ตัวจริงเล่าคือ
-ห้ามเรียนหนังสือ ในบทความบอกว่า เด็กเกาหลีไปเรียนตามปกติ ถ้าเป็นต่างชาติก็เรียนนานาชาติ
-การจ่ายเงิน ตัวจริงอยู่ครบสัญญาเทรนนี่ แต่เลือกที่จะไม่เตรียมเดบิวต์ จึงยังไม่มีค่าใช้จ่ายที่ทางครอบครัวต้องชดเชย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่