เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา ได้รับข้อความจากรุ่นพี่ที่เคารพ และเคยสนิทกันอยู่ช่วงหนึ่ง ว่าได้พบเจอธุรกิจการลงทุน dropship อันน่าสนใจ อยากจะเชิญเราไปร่วมฟังบรรยายผ่านทาง zoom อืม....ก็รู้แหละนะ ว่า dropship ที่พี่เขาพูดถึงเนี่ยมันแบรนด์อะไร และมันคือธุรกิจอะไร ก็ในเมื่อ เราก็เห็นหน้าฟีดเฟสพี่ตลอดว่าพี่กำลังทำอะไร ตัวเราเองก็เคยทำ และคลุกคลีอยู่มาเป็นปี ด้วยความที่เราไม่ได้ติดต่อกันมานาน พี่ก็อาจจะลืมไป และตอนที่เราทำ พี่ก็ไม่ได้ทำ ก็อาจจะไม่เคยรู้ว่าเราเคยเจออะไร และผ่านอะไรมา
แต่ก็เอาเถอะ ข้อความเดียวจากพี่ มันก็ทำให้ความทรงจำที่เหยียบเอาไว้กว่า 4 ปี ย้อนกลับมาชัดเจนอักครั้ง ภาพในวันวาน ความรู้สึกที่มันเอ่อล้น ก็กลับมาชัดเจน
ตอนนั้นคงเป็นตอนที่เลิกกับแฟน เพราะโรคซึมเศร้าล่ะมั้ง? ที่กลับไปสนิทกับเพื่อนเก่าเมื่อครั้งสมัยมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แบบจงใจ เพราะรู้ว่าเพื่อนทำธุรกิจ MLM ของยี่ห้อเออยู่ เราเหงามากๆเลยตอนนั้น หมดฝัน หมดไฟ หมดแรงบันดาลใจ ความสามารถที่เคยมี ก็ไม่สามารถใช้ทำงานต่อไปได้ เพราะความสะเทือนใจ ทำให้พอเวลาจะต้องทำงานที่ตัวเองถนัด ก็คิดไม่ออก แพนิค เลยต้องดิ้นรนหาหนทางอื่น
แล้วเราก็จำได้ ว่าที่ที่เพื่อนเราไปชุมนุมอ่ะ มีแต่คนมีฝัน มีแต่คนมีไฟ ประชากรเยอะดี น่าจะหาเพื่อนใหม่ได้ น่าจะหาแรงบันดาลใจ หาความฝันได้ แต่พอไปอยู่แล้วก็บรรยากาศอ่ะนะ อยากกลมกลืนด้วยแหละ อยากได้เงินด้วย ก็เลยร่วมลงทุน
ตอนนั้นก็เลยติดอยู่ในช่วง ของมันต้องมี ของมันต้องลงทุน ถามว่าได้ไหม ก็พอได้บ้าง แต่ดูแล้วต้นทุน จะมากกว่าผลกำไรที่ได้รับไปไกล เคยฟังซีดีที่คนสำเร็จเขาพูด เขาก็บอกให้ลองอยู่กับมันสัก 1 ปี ยังไงก็ต้องสำเร็จแน่!! เราก็อยู่ครบปีนะ แต่ดันไม่สำเร็จ แถมเป็นหนี้ เงินเก็บหมดด้วย อืม....สงสัยจะทำอะไรผิดพลาดไป แต่ก็ช่างเถอะ ก็ไม่ได้อยากกลับไปลองแก้ไขแล้วล่ะ ลองพอแล้ว เราคงไม่เหมาะกับธุรกิจแนวนี้จริงๆ
ช่วง 1 ปีนั้น ที่ทำก็ส่วนมาก จะอยู่ที่ 6% เคยจได้มากสุดที่ 9% เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งเห็นเราในเฟส แล้วอยากลดน้ำหนัก ก็เลยขายคอร์สให้เขาไป มูลค่าคอร์สก็ 2 หมื่นกว่าๆ แต่เพื่อนเป็นพนักงานขายในร้านธรรมาดา เงินก็ไม่ถึง เลยจะขอผ่อนเรา 2 เดือน แบบแบ่งจ่าย เราก็เลยไปยืมเงิน upline ของ upline ของ upline มาออกให้ก่อน ให้เพื่อนเราได้เข้าร่วมคอร์ส นาน 2 เดือน
คราวนี้เพื่อนเราร่วมไปได้เดือนเดียว ก็ไม่ไหว ทั้งเรื่องเงินของค่าคอร์สที่แพงมาก และการที่ต้องทนอดข้าว กินอาหารเสริม บลาๆ เลยขอยกเลิก และขอคืนสินค้าที่รับมา จริงๆบริษัทเอเนี่ยเค้านโยบายดีนะ คือถ้าคุณไม่ชอบ ไม่โอเค คุณก็คืนสินค้าได้ ได้รับเงินคืนด้วย เพื่อนเราใช้ไปเกือบเดือน และคืนของทั้งหมด หักลบ เงินที่จ่ายเรามาแล้ว เพื่อนเราต้องได้เงินคืนจากบริษัทเอ 9พัน
แต่..... พอดีไอ้ 9% ของเราตอนนั้นอ่ะ มันทำให้ upline ของ upline กลายเป็น 21% เข็มเงินครั้งแรก หลังจากทำมาเกือบ 10 ปี upline upline และ upline เลยมาคุยกับเราว่า ถ้าเราคืนของเพื่อนเราไป upline ลำดับ 2 ก็จะถูกถอดออกจากการเป็นเข็มเงินนะ เราก็ด้วยความที่เป็นคนจิตใจดี และรักองค์กร เลยบอกว่า งั้นของที่เหลือเราจะเข้าคอร์สต่อเอง กินต่อเอง ไม่คืน จะหาเงินมาคืนเพื่อนเอง และจ่ายคืน upline ของ upline ของ upline เอง
และใช่ เราก็ไม่คืนของ แล้วไปโกหกเพื่อนว่า บริษัทเอต้องการตรวจสอบ และใช้เวลา 1 เดือน ในการคืนเงิน ซึ่งบริษัทเอเค้าไม่ได้รู้เรื่องหรอก ไอ้ 1 เดือนที่ว่านี่คือเราเอาเวลาไปหาเงินมาคืนเพื่อนอ่ะ ก็ชิวเฉียดพอดี คืนวันที่ครบเดือน ตอน 6 โมงเย็นพอดี จำได้แม่นเลย เพราะหาเงินไม่ทัน ขาด 3พัน ลูกค้าจะจ่ายเราวันพรุ่งนี้ เลยต้องไปยืมเพื่อนอีกคนมาคืนเพื่อนไปก่อน แล้ววันต่อมาได้เงินจากลูกค้าแล้วค่อยไปคืนเขา แถมตอนนั้นยังไปปากเก่งใส่เพื่อน ที่มาบอกเราว่าจะเอาเงินเนี่ยไปลงทุนขายครีมด้วย ว่าเขาไม่น่าไปรอด (ปกติเราไม่ใช่คนแบบนี้นะ ทำไมถึงได้ปากดีไปทำร้ายความฝันคนอื่นกัน??) ส่วนของที่เอามารับช่วงต่อ ก็กินไม่หมดหรอก ยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง วางอยู่ในห้องนั่นแหละ ไม่ทิ้ง เก็บเอาไว้เตือนตัวเอง
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เราถึงจุดที่เลิกซะทีเหอะ พอได้แล้วล่ะ ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกนะ แต่ก็ใกล้ถึงจุดแตกหักแล้วล่ะ จำได้ไหมที่บอกไปตอนแรกว่าเราป่อยเป็นโรคซึมเศร้า ไอ้ที่มาทำนี่ก็ไม่ได้ยากทำธุรกิจด้วยนะ อยากได้เพื่อนเฉยๆ แต่ upline ที่แสนดี อดีตเพื่อนสนิท ผู้หวังดีกับเรา ก็คงอยากช่วยแหละ ก็เลยช่วยพูดกดดันเรา พูดว่าถ้าเราไม่ทำ พ่อก็เสียใจ แม่ก็เสียใจ แต่ตอนนั้นเงินเก็บเอามาลงทุนหมดแล้วไง งานก็ไม่ค่อยมี เพราะทำไม่ไหว สภาพจิตใจมันย่ำแย่ upline ก็เลยยิ่งพูดแย่ๆใส่ สุดท้าย เดือนนั้นจำได้ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าผ่อนบ้านแล้ว อับจนหนทาง
upline เลยแนะนำให้ไปยืมพ่อดิ แต่เราแบบ เห้ย....ไม่เอา ทำไม่ได้ ขัดมโนธรรมในใจ เนื่องจากครอบครัวห้ามแล้ว ไม่ให้ทำธุรกิจเอ แต่เรารั้นไง ไม่ฟัง ถ้าไปยืมเงินเขา ก็ทำกับยอมรับสิ ว่าเราไปไม่รอด แต่ upline พูดว่า "ก็รู้นะ ว่าเราป่วย แต่มันใช่ข้ออ้างของความอ่อนแอหรอวะ ปัญหามันแก้ง่ายๆ แค่ไปยืมเงินพ่อ!" อืม...กลับบ้านเลยกินยาแก้ซึมเศร้าที่หมอให้ หมดเลย กะเอาให้ตาย เพราะเหนื่อยเหลือเกิน ณ ตอนนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ แค่รู้สึกว่ามันไปต่อไม่ไหวแล้ว เราไม่อยากเป็นภาระใคร ชีวิตเรามันโคตรจะล้มเหลว
พอหลับไป 2 วัน ตื่นขึ้นมา เราก็เลยหยุด หยุดทุกอย่าง ออกไปหางานประจำทำ ใช้หนี้สินที่ก่อขึ้นมา ตอนนี้เราก็ลาออกมาอีกแล้วล่ะ เพราะภาวะซึมเศร้าเดิมๆ แต่ก็โอเคนะ
จนกระทั่งเมื่อ 2 วันก่อนที่ข้อความเด้งขึ้นมา ความทรงจำ 3-4 ปีที่เกือบลืมไปแล้วก็กลับมาชัดเจนใหม่ ความรู้สึกก็ดันกลับมา และที่ตลกก็คือ upline ของรุ่นพี่คนนี้ ก็ upline ของเรานั่นแหละ ตลกดีจัง แค่ 3 ปีเอง ก็คิดว่าเราลืม และอยากจะกลับมาเริ่มต้นกับธุรกิจนี้ใหม่อีกแล้วหรอ?? ไม่ใช่เราไม่ให้อภัยเขานะ เราให้อภัยเขานานแล้วล่ะ เพื่อตัวเราจะได้เดินต่อ แต่การให้อภัย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลืมความทรงจำ ลืมประสบการณ์ที่เราเคยผ่านมานะ
เขาก็รู้ ว่าเราเหนื่อยมาก และเจ็บมาก แต่ก็ยังจะมาชวนเรากลับไป ตลกดีจัง ตอบนะ คงไม่กลับไปแล้วล่ะ 1ปี ก็พอแล้วนะ ชีวิตก็ทิ้งไปแล้วนะ แค่บังเอิญว่าไม่ตาย
สุดท้ายชีวิตเราก็ไม่ได้ต้องการเงินมากมายนะ ขอแค่มีความสุขก็พอแล้ว ที่มาเขียนก็แค่มาบ่นแหละ ถ้าถามเราว่าธุรกิจ MLM มันดีไหม ทำแล้วรวยได้จริงไหม บริษัทเอเนี่ยมันดีไหม ตอบเลยนะว่า... ดี รวยได้จริง บริษัทก็ดี โอเค มาตรการซัพพอร์ตดี แต่!!! อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ
เราก็เป็นหนึ่งคนในนั้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนที่เขาทำแล้วสำเร็จ คนสำเร็จมันมี คนที่เริ่มจาก 0 แล้วสำเร็จก็มี แต่!!! "น้อย" แค่นั้นเอง จะลงทุนก็ตัดสินใจดีๆ การลงทุนมีความเสี่ยง จะลองดูก็ได้ เพราะอาจจะสำเร็จก็ได้ แต่ถ้าถามเรา จะกลับไปลองอีกสักรอบไหม คงไม่แล้วล่ะ ลองพอแล้ว มันไม่ใช่เราจริงๆอ่ะ ถึงคนที่ทำก่อนแล้วเขาทนอยู่จะสำเร็จไปแล้ว ก็ช่างเขาเถอะ ถึงคนที่มาทีหลังเราจะสำเร็จไปแล้ว ก็ยินดีกับเขาด้วย แต่เราไม่อยากไปตรงนั้นแล้ว อย่ามายัดเยียดโอกาสอาจจะสำเร็จให้เราเลย ขอเราไปสำเร็จเรื่องอื่นเหอะ เช่นแมวที่บ้านยอมให้นอนกอดทั้งคืนไรงี้ แค่นั้นเราก็ Success ละ
ขอบคุณที่ทนอ่านเรื่องที่เราบ่นมาถึงตอนนี้ คือตอนนี้ความรู้สึกเราแย่จริงๆ อุตสาห์จะได้หยุดยาแล้วแท้ๆ แต่เรื่องนอยด์เนี่ยเรื่องจริง เศร้าจัง
เรื่องราวของฉัน กับการลงทุนในธุรกิจ MLM อันดับหนึ่งในประเทศไทย
แต่ก็เอาเถอะ ข้อความเดียวจากพี่ มันก็ทำให้ความทรงจำที่เหยียบเอาไว้กว่า 4 ปี ย้อนกลับมาชัดเจนอักครั้ง ภาพในวันวาน ความรู้สึกที่มันเอ่อล้น ก็กลับมาชัดเจน
ตอนนั้นคงเป็นตอนที่เลิกกับแฟน เพราะโรคซึมเศร้าล่ะมั้ง? ที่กลับไปสนิทกับเพื่อนเก่าเมื่อครั้งสมัยมหาวิทยาลัยอีกครั้ง แบบจงใจ เพราะรู้ว่าเพื่อนทำธุรกิจ MLM ของยี่ห้อเออยู่ เราเหงามากๆเลยตอนนั้น หมดฝัน หมดไฟ หมดแรงบันดาลใจ ความสามารถที่เคยมี ก็ไม่สามารถใช้ทำงานต่อไปได้ เพราะความสะเทือนใจ ทำให้พอเวลาจะต้องทำงานที่ตัวเองถนัด ก็คิดไม่ออก แพนิค เลยต้องดิ้นรนหาหนทางอื่น
แล้วเราก็จำได้ ว่าที่ที่เพื่อนเราไปชุมนุมอ่ะ มีแต่คนมีฝัน มีแต่คนมีไฟ ประชากรเยอะดี น่าจะหาเพื่อนใหม่ได้ น่าจะหาแรงบันดาลใจ หาความฝันได้ แต่พอไปอยู่แล้วก็บรรยากาศอ่ะนะ อยากกลมกลืนด้วยแหละ อยากได้เงินด้วย ก็เลยร่วมลงทุน
ตอนนั้นก็เลยติดอยู่ในช่วง ของมันต้องมี ของมันต้องลงทุน ถามว่าได้ไหม ก็พอได้บ้าง แต่ดูแล้วต้นทุน จะมากกว่าผลกำไรที่ได้รับไปไกล เคยฟังซีดีที่คนสำเร็จเขาพูด เขาก็บอกให้ลองอยู่กับมันสัก 1 ปี ยังไงก็ต้องสำเร็จแน่!! เราก็อยู่ครบปีนะ แต่ดันไม่สำเร็จ แถมเป็นหนี้ เงินเก็บหมดด้วย อืม....สงสัยจะทำอะไรผิดพลาดไป แต่ก็ช่างเถอะ ก็ไม่ได้อยากกลับไปลองแก้ไขแล้วล่ะ ลองพอแล้ว เราคงไม่เหมาะกับธุรกิจแนวนี้จริงๆ
ช่วง 1 ปีนั้น ที่ทำก็ส่วนมาก จะอยู่ที่ 6% เคยจได้มากสุดที่ 9% เพราะมีเพื่อนคนหนึ่งเห็นเราในเฟส แล้วอยากลดน้ำหนัก ก็เลยขายคอร์สให้เขาไป มูลค่าคอร์สก็ 2 หมื่นกว่าๆ แต่เพื่อนเป็นพนักงานขายในร้านธรรมาดา เงินก็ไม่ถึง เลยจะขอผ่อนเรา 2 เดือน แบบแบ่งจ่าย เราก็เลยไปยืมเงิน upline ของ upline ของ upline มาออกให้ก่อน ให้เพื่อนเราได้เข้าร่วมคอร์ส นาน 2 เดือน
คราวนี้เพื่อนเราร่วมไปได้เดือนเดียว ก็ไม่ไหว ทั้งเรื่องเงินของค่าคอร์สที่แพงมาก และการที่ต้องทนอดข้าว กินอาหารเสริม บลาๆ เลยขอยกเลิก และขอคืนสินค้าที่รับมา จริงๆบริษัทเอเนี่ยเค้านโยบายดีนะ คือถ้าคุณไม่ชอบ ไม่โอเค คุณก็คืนสินค้าได้ ได้รับเงินคืนด้วย เพื่อนเราใช้ไปเกือบเดือน และคืนของทั้งหมด หักลบ เงินที่จ่ายเรามาแล้ว เพื่อนเราต้องได้เงินคืนจากบริษัทเอ 9พัน
แต่..... พอดีไอ้ 9% ของเราตอนนั้นอ่ะ มันทำให้ upline ของ upline กลายเป็น 21% เข็มเงินครั้งแรก หลังจากทำมาเกือบ 10 ปี upline upline และ upline เลยมาคุยกับเราว่า ถ้าเราคืนของเพื่อนเราไป upline ลำดับ 2 ก็จะถูกถอดออกจากการเป็นเข็มเงินนะ เราก็ด้วยความที่เป็นคนจิตใจดี และรักองค์กร เลยบอกว่า งั้นของที่เหลือเราจะเข้าคอร์สต่อเอง กินต่อเอง ไม่คืน จะหาเงินมาคืนเพื่อนเอง และจ่ายคืน upline ของ upline ของ upline เอง
และใช่ เราก็ไม่คืนของ แล้วไปโกหกเพื่อนว่า บริษัทเอต้องการตรวจสอบ และใช้เวลา 1 เดือน ในการคืนเงิน ซึ่งบริษัทเอเค้าไม่ได้รู้เรื่องหรอก ไอ้ 1 เดือนที่ว่านี่คือเราเอาเวลาไปหาเงินมาคืนเพื่อนอ่ะ ก็ชิวเฉียดพอดี คืนวันที่ครบเดือน ตอน 6 โมงเย็นพอดี จำได้แม่นเลย เพราะหาเงินไม่ทัน ขาด 3พัน ลูกค้าจะจ่ายเราวันพรุ่งนี้ เลยต้องไปยืมเพื่อนอีกคนมาคืนเพื่อนไปก่อน แล้ววันต่อมาได้เงินจากลูกค้าแล้วค่อยไปคืนเขา แถมตอนนั้นยังไปปากเก่งใส่เพื่อน ที่มาบอกเราว่าจะเอาเงินเนี่ยไปลงทุนขายครีมด้วย ว่าเขาไม่น่าไปรอด (ปกติเราไม่ใช่คนแบบนี้นะ ทำไมถึงได้ปากดีไปทำร้ายความฝันคนอื่นกัน??) ส่วนของที่เอามารับช่วงต่อ ก็กินไม่หมดหรอก ยังเหลืออยู่เกือบครึ่ง วางอยู่ในห้องนั่นแหละ ไม่ทิ้ง เก็บเอาไว้เตือนตัวเอง
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้เราถึงจุดที่เลิกซะทีเหอะ พอได้แล้วล่ะ ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกนะ แต่ก็ใกล้ถึงจุดแตกหักแล้วล่ะ จำได้ไหมที่บอกไปตอนแรกว่าเราป่อยเป็นโรคซึมเศร้า ไอ้ที่มาทำนี่ก็ไม่ได้ยากทำธุรกิจด้วยนะ อยากได้เพื่อนเฉยๆ แต่ upline ที่แสนดี อดีตเพื่อนสนิท ผู้หวังดีกับเรา ก็คงอยากช่วยแหละ ก็เลยช่วยพูดกดดันเรา พูดว่าถ้าเราไม่ทำ พ่อก็เสียใจ แม่ก็เสียใจ แต่ตอนนั้นเงินเก็บเอามาลงทุนหมดแล้วไง งานก็ไม่ค่อยมี เพราะทำไม่ไหว สภาพจิตใจมันย่ำแย่ upline ก็เลยยิ่งพูดแย่ๆใส่ สุดท้าย เดือนนั้นจำได้ว่าไม่มีเงินจ่ายค่าผ่อนบ้านแล้ว อับจนหนทาง
upline เลยแนะนำให้ไปยืมพ่อดิ แต่เราแบบ เห้ย....ไม่เอา ทำไม่ได้ ขัดมโนธรรมในใจ เนื่องจากครอบครัวห้ามแล้ว ไม่ให้ทำธุรกิจเอ แต่เรารั้นไง ไม่ฟัง ถ้าไปยืมเงินเขา ก็ทำกับยอมรับสิ ว่าเราไปไม่รอด แต่ upline พูดว่า "ก็รู้นะ ว่าเราป่วย แต่มันใช่ข้ออ้างของความอ่อนแอหรอวะ ปัญหามันแก้ง่ายๆ แค่ไปยืมเงินพ่อ!" อืม...กลับบ้านเลยกินยาแก้ซึมเศร้าที่หมอให้ หมดเลย กะเอาให้ตาย เพราะเหนื่อยเหลือเกิน ณ ตอนนั้น ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรอยู่ แค่รู้สึกว่ามันไปต่อไม่ไหวแล้ว เราไม่อยากเป็นภาระใคร ชีวิตเรามันโคตรจะล้มเหลว
พอหลับไป 2 วัน ตื่นขึ้นมา เราก็เลยหยุด หยุดทุกอย่าง ออกไปหางานประจำทำ ใช้หนี้สินที่ก่อขึ้นมา ตอนนี้เราก็ลาออกมาอีกแล้วล่ะ เพราะภาวะซึมเศร้าเดิมๆ แต่ก็โอเคนะ
จนกระทั่งเมื่อ 2 วันก่อนที่ข้อความเด้งขึ้นมา ความทรงจำ 3-4 ปีที่เกือบลืมไปแล้วก็กลับมาชัดเจนใหม่ ความรู้สึกก็ดันกลับมา และที่ตลกก็คือ upline ของรุ่นพี่คนนี้ ก็ upline ของเรานั่นแหละ ตลกดีจัง แค่ 3 ปีเอง ก็คิดว่าเราลืม และอยากจะกลับมาเริ่มต้นกับธุรกิจนี้ใหม่อีกแล้วหรอ?? ไม่ใช่เราไม่ให้อภัยเขานะ เราให้อภัยเขานานแล้วล่ะ เพื่อตัวเราจะได้เดินต่อ แต่การให้อภัย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องลืมความทรงจำ ลืมประสบการณ์ที่เราเคยผ่านมานะ
เขาก็รู้ ว่าเราเหนื่อยมาก และเจ็บมาก แต่ก็ยังจะมาชวนเรากลับไป ตลกดีจัง ตอบนะ คงไม่กลับไปแล้วล่ะ 1ปี ก็พอแล้วนะ ชีวิตก็ทิ้งไปแล้วนะ แค่บังเอิญว่าไม่ตาย
สุดท้ายชีวิตเราก็ไม่ได้ต้องการเงินมากมายนะ ขอแค่มีความสุขก็พอแล้ว ที่มาเขียนก็แค่มาบ่นแหละ ถ้าถามเราว่าธุรกิจ MLM มันดีไหม ทำแล้วรวยได้จริงไหม บริษัทเอเนี่ยมันดีไหม ตอบเลยนะว่า... ดี รวยได้จริง บริษัทก็ดี โอเค มาตรการซัพพอร์ตดี แต่!!! อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะประสบความสำเร็จ
เราก็เป็นหนึ่งคนในนั้นที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นคนที่เขาทำแล้วสำเร็จ คนสำเร็จมันมี คนที่เริ่มจาก 0 แล้วสำเร็จก็มี แต่!!! "น้อย" แค่นั้นเอง จะลงทุนก็ตัดสินใจดีๆ การลงทุนมีความเสี่ยง จะลองดูก็ได้ เพราะอาจจะสำเร็จก็ได้ แต่ถ้าถามเรา จะกลับไปลองอีกสักรอบไหม คงไม่แล้วล่ะ ลองพอแล้ว มันไม่ใช่เราจริงๆอ่ะ ถึงคนที่ทำก่อนแล้วเขาทนอยู่จะสำเร็จไปแล้ว ก็ช่างเขาเถอะ ถึงคนที่มาทีหลังเราจะสำเร็จไปแล้ว ก็ยินดีกับเขาด้วย แต่เราไม่อยากไปตรงนั้นแล้ว อย่ามายัดเยียดโอกาสอาจจะสำเร็จให้เราเลย ขอเราไปสำเร็จเรื่องอื่นเหอะ เช่นแมวที่บ้านยอมให้นอนกอดทั้งคืนไรงี้ แค่นั้นเราก็ Success ละ
ขอบคุณที่ทนอ่านเรื่องที่เราบ่นมาถึงตอนนี้ คือตอนนี้ความรู้สึกเราแย่จริงๆ อุตสาห์จะได้หยุดยาแล้วแท้ๆ แต่เรื่องนอยด์เนี่ยเรื่องจริง เศร้าจัง