New York Moving Day
ครั้งหนึ่ง วันแรกของเดือนพฤษภาคมเคยมีเรื่องวุ่นวายที่ไร้เหตุผลสำหรับชาวนิวยอร์ก เพราะเป็นวันแห่งการเคลื่อนย้ายซึ่งเป็นประเพณีปีละครั้ง เมื่อผู้เช่าเกือบล้านคนทั่วเมืองต้องย้ายบ้าน
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สัญญาเช่าทั้งหมดจะหมดอายุพร้อมกันในวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้ทุกคนต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยพร้อมกันทั้งหมด โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ซึ่งบางครั้งเรียกว่า "วันเช่า" เจ้าของบ้านจะแจ้งให้ผู้เช่าทราบหลังสิ้นสุดไตรมาสในเวลา 3 เดือนนี้ เพื่อแจ้งให้ผู้เช่าทราบว่าค่าเช่าใหม่จะเป็นอย่างไร หากผู้เช่าตกลงเงื่อนไขใหม่และค่าเช่าใหม่พวกเขาก็ได้อยู่ต่อ หากพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้พวกเขาก็จะเริ่มมองหาบ้านใหม่ ซึ่งโดยปกติผู้เช่าจะรอจนถึงวันสุดท้ายที่จะย้ายออกจากสถานที่เดิม ส่งผลให้เกิดความสับสนวุ่นวายบนท้องถนนที่ไม่สามารถจินตนาการได้
การปฏิบัติดังกล่าวย้อนกลับไปในยุคอาณานิคมเมื่อเมืองยังเล็กและยังมีผู้อยู่อาศัยน้อย และที่เลือกวันที่ 1 พฤษภาคม เนื่องจากเป็นวันที่ชาวดัตช์กลุ่มแรกเข้ามาตั้งถิ่นฐานในแมนฮัตตัน แต่บางคนบอกว่าเป็นวันเฉลิมฉลอง May Day ของอังกฤษ อย่างไรก็ตามประเพณีดังกล่าวได้กลายเป็นกฎหมายโดยสภานิติบัญญัติแห่งรัฐนิวยอร์กในปี 1820 ซึ่งได้รับคำสั่งว่า หากไม่มีการระบุวันที่อื่นๆ สัญญาที่อยู่อาศัยทั้งหมดจะมีผลบังคับใช้จนถึงวันแรกของเดือนพฤษภาคม แม้ว่ากฎหมายจะถูกยกเลิกในแปดปีต่อมา แต่การปฏิบัติก็ยังคงอยู่แม้ในขณะที่เมืองเติบโตขึ้น
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 วันแห่งการเคลื่อนย้ายได้กลายเป็นความสับสนวุ่นวายบนทางเท้าที่ไม่สามารถผ่านได้ และถนนที่ถูกปิดกั้นด้วยเกวียนที่บรรทุกของใช้ในครัวเรือน เช่น “ เตียงเก่าที่โยกเยก เปียโนที่ได้สัดส่วน และเฟอร์นิเจอร์ในครัวที่ถูกนำมาวางรวมกันอย่างวุ่นวาย” หนังสือพิมพ์ the New York Times รายงานในปี 1855
“ ทุกคนเต็มไปด้วยความเร่งรีบและระมัดระวังกล่องใส่สิ่งของต่างๆจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีความเสียหายเช่น โซฟาแตกหัก, โต๊ะที่มีล้อเลื่อนจะถูกขูดจากถนนจนล้อหลุด, สกรูยึดเตียงหายไปในความสับสน ผลที่ตามมาก็คือเฟอร์นิเจอร์ดีๆหลายชิ้นหรือภาพครอบครัวต้องเสียหายไปอย่างน่าเศร้าและอาจจะมีสิ่งที่ไม่สมประกอบในบ้านหลายหลัง” นิวยอร์กไทม์สกล่าว
ในปี1869 ลูกค้าถามคนรับจ้างเข็นของว่า "คุณเอาของอีกสองสามอย่างไม่ได้หรือ" ( Cr.Harper's Weekly )
แต่คนขับรถของเมืองได้รับประโยชน์สูงสุดจากการนี้ ซึ่งถูกอนุญาตให้เรียกเงินในวันเคลื่อนย้ายได้มากกว่าอัตราที่ทางการกำหนด โดยเมืองจูงใจเกษตรกรจาก Long Island และ New Jersey ที่อยู่ใกล้เคียงให้ทิ้งทุ่งนาหนึ่งวัน แล้วมาที่เมืองพร้อมกับเกวียนเพื่อรับจ้างเข็นเฟอร์นิเจอร์จากถนนหนึ่งไปอีกถนนหนึ่ง โดยได้รับเงินสดเป็นค่าจ้าง
“ ในวันที่ 1 พฤษภาคม คนขับรถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างออกไป” รายงาน The Timesในปี 1865 “ ไม่ว่าในเวลาใดก็ตามในวันเคลื่อนย้าย เขาจะต้องไปมาด้วยความระมัดระวัง เขาจะมีอำนาจที่ได้เปรียบ เขาจะไม่สนใจข้อเสนอธรรมดาๆเช่น มีชายคนหนึ่งที่เสนอเงิน 5 เหรียญให้ขนของไปแค่ครึ่งบล็อกถัดไป เขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง วันนี้เขาอาจเป็นผู้สร้าง แต่พรุ่งนี้เขาจะเป็นเพียงคนขับรถธรรมดาๆที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ”
ในปี1848 มีการรวมตัวกันประณามผู้เช่าในเรื่องการเพิ่มค่าเช่าทุกปี และค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายเป็นอีกเรื่องที่น่ากังวล ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่มีเงินจ่ายค่าจ้างในการย้ายที่นานถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้คนเริ่มมีความคิดมากขึ้นโดยจะเริ่มเคลื่อนย้ายไม่กี่วันก่อนหรือหลังวันที่ 1 พฤษภาคม การปฏิบัติแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงในศตวรรษที่ 20 ที่ผู้คนเกือบล้านคนในเมืองต่างก็เปลี่ยนที่อยู่อาศัยในเวลาเดียวกัน
ในที่สุด สงครามโลกได้ยุติความโกลาหลนี้ มีการเคลื่อนย้ายและขนของอย่างรวดเร็วจากการสร้างบ้านใหม่ในเขตเมืองนอกแมนฮัตตัน ทำให้ผู้คนสามารถกระจายตัวออกไปได้มากขึ้น ลดความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองซึ่งทำให้ค่าเช่าไม่แพงจึงยุติการย้ายบ้านที่เกิดขึ้นในทุกปี
Dagen H
การจราจรที่หยุดนิ่งเกิดขึ้นทั่วประเทศในเช้าตอนตีห้าวันที่ 3 กันยายน1967 บนถนนของสวีเดน คือวันที่สวีเดนตัดสินใจว่าจะไม่ขับรถชิดด้านซ้ายของถนนอีกต่อไป
ความโกลาหลเกิดขึ้นทั่วประเทศ เมื่อผู้ขับขี่รถยนต์หลายล้านคนที่ขับรถ"ผิด"บนถนนมาตลอดชีวิตได้ปรับตัวให้เข้ากับกฎใหม่ การเดินทางประจำวันกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง ส่วนที่ยากที่สุดคือการไม่ได้เรียนรู้ในหลาย ๆ สิ่งแต่กลับมอบไว้กับความทรงจำของกล้ามเนื้อ (muscle memory) ในการขับเคลื่อนตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ชาวสวีเดนออกมาประท้วงเมื่อมีการเสนอข้อเสนอแนะในการลงประชามติในปี 1955 โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 83 % ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สวีเดนอยู่ในเส้นทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปที่เหลือ
คนส่วนใหญ่ของโลกขับรถทางด้านขวาของถนน แม้ว่าในอดีตชาวโรมันและชาวกรีกและยุโรปส่วนใหญ่จะเดินหรือขับขี่ไปทางซ้าย และอนุญาตให้นักขี่ม้าถือบังเหียนด้วยมือซ้ายและใช้ดาบด้วยมือขวาเพื่อจัดการกับโจรที่ดักปล้นตามทาง การเปลี่ยนจากซ้ายไปขวาเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อคนขี่ม้าเริ่มใช้เกวียนบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ด้วยม้าหลายคู่ เนื่องจากเกวียนไม่มีที่นั่งคนขับดังนั้นคนขับจึงต้องนั่งบนหลังม้าด้านซ้ายและถือแส้ไว้ในมือขวาเพื่อควบคุมม้าทั้งหมด
เมื่อคนขับนั่งทางซ้ายก็จะให้เกวียนคันอื่นแซงเขาไปทางซ้าย เพื่อแน่ใจว่าสามารถหลีกเลี่ยงล้อของเกวียนที่กำลังจะมาถึงจึงขับรถชิดด้านขวาของถนน ชาวอังกฤษก็ขี่ชิดซ้ายเพราะมีเกวียนขนาดเล็กและไม่มีปัญหาอะไรจึงเป็รไปตามประเพณีต่อไป และประเทศที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษก็ใช้กฏมือซ้ายเช่นกัน แต่ในที่สุดบางประเทศก็เปลี่ยนไปทางขวาเช่น แคนาดา เพื่อให้การข้ามพรมแดนเข้าและออกจากสหรัฐอเมริกาง่ายขึ้น
สวีเดน มีเหตุผลที่คล้ายกันเพื่อนบ้านของสวีเดนทั้งหมดรวมทั้ง นอร์เวย์และฟินแลนด์ ซึ่งสวีเดนมีพรมแดนทางบกซึ่งขับรถทางขวา อย่างไรก็ตามปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือความปลอดภัยในการขับขี่ แม้จะขับรถทางซ้าย แต่รถยนต์จำนวนมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่มีพวงมาลัยอยู่ทางด้านซ้ายของรถ เนื่องจากรถยนต์ส่วนใหญ่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา แม้มีผู้ผลิตรถยนต์ในสวีเดนหลายรายเช่น Volvo ผลิตรถยนต์ที่ตั้งใจจะขับทางด้านขวาของรถสำหรับตลาดในประเทศ แต่ผลที่ตามมาคือเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น
ในปี 1963 รัฐบาลสวีเดนได้ตัดสินให้ประเทศเปลี่ยนไปใช้การจราจรทางขวา โดยวันที่ 3 กันยายน1967 ถูกกำหนดให้เป็นวันที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
รู้จักกันในชื่อ Dagen H หรือ H-Day ย่อมาจาก "Högertrafikomläggningen" แปลว่า “การเบี่ยงเบนการจราจรไปทางขวา”
การเตรียมประเทศและประชากรเกือบ 8 ล้านคนสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เป็นความพยายามที่มีค่าใช้จ่ายสูงและซับซ้อน สัญญาณไฟจราจรต้องย้อนกลับ ป้ายบอกทางเปลี่ยนทางแยกต้องออกแบบใหม่ เส้นบนถนนต้องทาสีใหม่ รถเมล์ถูกดัดแปลงให้มีประตูทั้งสองด้านและต้องย้ายป้ายรถเมล์
การปรับเปลี่ยนหลายอย่างเริ่มต้นล่วงหน้าหลายเดือน และเสร็จสิ้นก่อนวัน H-Day สัญญาณจราจรใหม่ถูกห่อไว้ด้วยพลาสติกสีดำจนถึงชั่วโมงสุดท้าย รวมถึงเส้นทาสีใหม่บนถนนก็ถูกปิดด้วยเทปสีดำ และป้ายถนนทั่วประเทศราว 360,000 ป้ายก็ถูกเปลี่ยนในวันเดียว
แคมเปญประชาสัมพันธ์จำนวนมากจัดทำขึ้นเพื่อสร้างความปรองดองให้กับสาธารณชนต่อการเปลี่ยนแปลง และให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีการที่ต้องนำไปปฏิบัติ โลโก้ได้รับการออกแบบให้มีตัว H ขนาดใหญ่พร้อมลูกศรที่ใช้งานเพื่อแสดงเส้นทาง โลโก้นี้เริ่มปรากฏบนทุกอย่างตั้งแต่กล่องนมไปจนถึงชุดชั้นในสตรี
รัฐบาลได้สร้างผลิตภัณฑ์พิเศษเช่นถุงมือสีและไฟหน้าใหม่เพื่อเตือนผู้ขับขี่ว่าควรขับรถทางขวา สถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งของสวีเดนได้จัดการประกวดเพื่อเขียนเพลงที่ดีที่สุดเพื่อช่วยให้ผู้คนจดจำการเปลี่ยนแปลงที่ใกล้เข้ามาได้ โดยเพลงที่ชนะเลิศคือ “ Håll dig till höger, Svensson” หมายถึง “ ชิดขวาไว้ สเวนส์สัน” ซึ่งได้รับเลือกในการโหวตระดับประเทศและขึ้นอันดับ 5 เพลงยอดนิยมของสวีเดน คนดังๆปรากฏตัวในรายการโทรทัศน์ยอดนิยมเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับ Dagen H ในขณะที่มีโฆษณาทางวิทยุหนังสือพิมพ์และป้ายโฆษณาขนาดใหญ่แจ้งให้ประชาชนทราบ
บรรยากาศในวันแรกจะดูวุ่นวาย แต่กลับไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นเลย
ในชั่วโมงที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นเหมือนบรรยากาศการเฉลิมฉลอง ฝูงชนเริ่มรวมตัวกันในตอนเช้าตรู่ มีการจุดพลุและร้องเพลง รถส่วนใหญ่ถูกจอดอยู่นอกถนนเพื่อให้คนงานก่อสร้างทำงาน พอเวลา 04:50 น. แตรก็เริ่มส่งเสียงดังและลำโพงประกาศว่า“ ถึงเวลาเปลี่ยนแปลงแล้ว ” โดยมีการเปิดป้ายบอกทางใหม่และรถก็เปลี่ยนเส้นทางไปยังฝั่งตรงข้าม
ในช่วงหลายสัปดาห์และหลายเดือนหลังจากการเปลี่ยนแปลง อุบัติเหตุจราจรลดลงอย่างมาก เนื่องจากความระมัดระวังเป็นพิเศษจากผู้คนและผู้ขับขี่
แต่เมื่อผู้คนคุ้นเคยแล้วสามปีต่อมาอัตราอุบัติเหตุและการเสียชีวิตก็กลับสู่ระดับเดิม
เครือข่ายถนนของสวีเดนได้รับการพัฒนามากกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนและมีรถยนต์จำนวนมากขึ้นหลายเท่าบนท้องถนน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า นักยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของสวีเดนในปัจจุบันเชื่อว่า Dagen H ไม่สามารถนำใช้ที่ใดก็ได้อย่างราบรื่นเหมือนในปี 1967
ต่อมาในปี 1997 สวีเดนได้เริ่มโครงการด้านการจราจรอีกครั้งเรียกว่า " Vision Zero " มีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดการบาดเจ็บสาหัสและผู้เสียชีวิตจากการจราจรโดยเฉพาะบนทางหลวง และสวีเดนยังเป็นผู้บุกเบิกระบบถนน 2 + 1 ซึ่งช่องทางสองทางจะกลายเป็นสามทางทุกๆสอง 300 ม.เพื่อให้รถที่เคลื่อนที่เร็วสามารถแซงการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าได้อย่างปลอดภัย
ปัจจุบันถนนเหล่านี้มีการใช้งานในยุโรปส่วนใหญ่และในบางแห่งในแคนาดาและออสเตรเลีย ปัจจุบันสวีเดนมีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยมีผู้เสียชีวิต 270 รายในปี 2016 เทียบกับ 1,313 ในปี 1966 ซึ่งเป็นปีก่อน Dagen H
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
วันแห่งความโกลาหลในประวัติศาสตร์
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สัญญาเช่าทั้งหมดจะหมดอายุพร้อมกันในวันที่ 1 พฤษภาคม ทำให้ทุกคนต้องเปลี่ยนที่อยู่อาศัยพร้อมกันทั้งหมด โดยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ซึ่งบางครั้งเรียกว่า "วันเช่า" เจ้าของบ้านจะแจ้งให้ผู้เช่าทราบหลังสิ้นสุดไตรมาสในเวลา 3 เดือนนี้ เพื่อแจ้งให้ผู้เช่าทราบว่าค่าเช่าใหม่จะเป็นอย่างไร หากผู้เช่าตกลงเงื่อนไขใหม่และค่าเช่าใหม่พวกเขาก็ได้อยู่ต่อ หากพวกเขาไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้พวกเขาก็จะเริ่มมองหาบ้านใหม่ ซึ่งโดยปกติผู้เช่าจะรอจนถึงวันสุดท้ายที่จะย้ายออกจากสถานที่เดิม ส่งผลให้เกิดความสับสนวุ่นวายบนท้องถนนที่ไม่สามารถจินตนาการได้
เมื่อถึงศตวรรษที่ 19 วันแห่งการเคลื่อนย้ายได้กลายเป็นความสับสนวุ่นวายบนทางเท้าที่ไม่สามารถผ่านได้ และถนนที่ถูกปิดกั้นด้วยเกวียนที่บรรทุกของใช้ในครัวเรือน เช่น “ เตียงเก่าที่โยกเยก เปียโนที่ได้สัดส่วน และเฟอร์นิเจอร์ในครัวที่ถูกนำมาวางรวมกันอย่างวุ่นวาย” หนังสือพิมพ์ the New York Times รายงานในปี 1855
“ ทุกคนเต็มไปด้วยความเร่งรีบและระมัดระวังกล่องใส่สิ่งของต่างๆจากอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น แต่ก็ยังมีความเสียหายเช่น โซฟาแตกหัก, โต๊ะที่มีล้อเลื่อนจะถูกขูดจากถนนจนล้อหลุด, สกรูยึดเตียงหายไปในความสับสน ผลที่ตามมาก็คือเฟอร์นิเจอร์ดีๆหลายชิ้นหรือภาพครอบครัวต้องเสียหายไปอย่างน่าเศร้าและอาจจะมีสิ่งที่ไม่สมประกอบในบ้านหลายหลัง” นิวยอร์กไทม์สกล่าว
“ ในวันที่ 1 พฤษภาคม คนขับรถกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่แตกต่างออกไป” รายงาน The Timesในปี 1865 “ ไม่ว่าในเวลาใดก็ตามในวันเคลื่อนย้าย เขาจะต้องไปมาด้วยความระมัดระวัง เขาจะมีอำนาจที่ได้เปรียบ เขาจะไม่สนใจข้อเสนอธรรมดาๆเช่น มีชายคนหนึ่งที่เสนอเงิน 5 เหรียญให้ขนของไปแค่ครึ่งบล็อกถัดไป เขาอยู่เหนือกฎเกณฑ์ทั้งปวง วันนี้เขาอาจเป็นผู้สร้าง แต่พรุ่งนี้เขาจะเป็นเพียงคนขับรถธรรมดาๆที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ”
ในปี1848 มีการรวมตัวกันประณามผู้เช่าในเรื่องการเพิ่มค่าเช่าทุกปี และค่าใช้จ่ายในการเคลื่อนย้ายเป็นอีกเรื่องที่น่ากังวล ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่มีเงินจ่ายค่าจ้างในการย้ายที่นานถึงหนึ่งสัปดาห์ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้คนเริ่มมีความคิดมากขึ้นโดยจะเริ่มเคลื่อนย้ายไม่กี่วันก่อนหรือหลังวันที่ 1 พฤษภาคม การปฏิบัติแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงในศตวรรษที่ 20 ที่ผู้คนเกือบล้านคนในเมืองต่างก็เปลี่ยนที่อยู่อาศัยในเวลาเดียวกัน
ในที่สุด สงครามโลกได้ยุติความโกลาหลนี้ มีการเคลื่อนย้ายและขนของอย่างรวดเร็วจากการสร้างบ้านใหม่ในเขตเมืองนอกแมนฮัตตัน ทำให้ผู้คนสามารถกระจายตัวออกไปได้มากขึ้น ลดความต้องการที่อยู่อาศัยในเมืองซึ่งทำให้ค่าเช่าไม่แพงจึงยุติการย้ายบ้านที่เกิดขึ้นในทุกปี
- วิกิพีเดีย
- อเล็กซ์คณบดี"ย้ายวัน": วิธี 1000000 ชาวนิวยอร์กที่ใช้ในการย้ายบ้านในวันเดียวกันของทุกปี , เมืองจอภาพ
- มาร์จอรี่โคเฮนเชื่อหรือไม่, 1 พฤษภาคมที่ครั้งหนึ่งเคยย้ายวันทั้งเมือง , อิฐใต้ดิน
Cr. https://www.amusingplanet.com/2020/11/new-york-moving-day-mayhem-on-streets.html / KAUSHIK PATOWARY
ความโกลาหลเกิดขึ้นทั่วประเทศ เมื่อผู้ขับขี่รถยนต์หลายล้านคนที่ขับรถ"ผิด"บนถนนมาตลอดชีวิตได้ปรับตัวให้เข้ากับกฎใหม่ การเดินทางประจำวันกลายเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยอย่างยิ่ง ส่วนที่ยากที่สุดคือการไม่ได้เรียนรู้ในหลาย ๆ สิ่งแต่กลับมอบไว้กับความทรงจำของกล้ามเนื้อ (muscle memory) ในการขับเคลื่อนตัวเองเป็นส่วนใหญ่
ในช่วงต้นทศวรรษ 1950 ชาวสวีเดนออกมาประท้วงเมื่อมีการเสนอข้อเสนอแนะในการลงประชามติในปี 1955 โดยผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 83 % ลงคะแนนไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้รัฐบาลได้ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สวีเดนอยู่ในเส้นทางเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านในยุโรปที่เหลือ
คนส่วนใหญ่ของโลกขับรถทางด้านขวาของถนน แม้ว่าในอดีตชาวโรมันและชาวกรีกและยุโรปส่วนใหญ่จะเดินหรือขับขี่ไปทางซ้าย และอนุญาตให้นักขี่ม้าถือบังเหียนด้วยมือซ้ายและใช้ดาบด้วยมือขวาเพื่อจัดการกับโจรที่ดักปล้นตามทาง การเปลี่ยนจากซ้ายไปขวาเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา เมื่อคนขี่ม้าเริ่มใช้เกวียนบรรทุกสินค้าขนาดใหญ่ด้วยม้าหลายคู่ เนื่องจากเกวียนไม่มีที่นั่งคนขับดังนั้นคนขับจึงต้องนั่งบนหลังม้าด้านซ้ายและถือแส้ไว้ในมือขวาเพื่อควบคุมม้าทั้งหมด
เมื่อคนขับนั่งทางซ้ายก็จะให้เกวียนคันอื่นแซงเขาไปทางซ้าย เพื่อแน่ใจว่าสามารถหลีกเลี่ยงล้อของเกวียนที่กำลังจะมาถึงจึงขับรถชิดด้านขวาของถนน ชาวอังกฤษก็ขี่ชิดซ้ายเพราะมีเกวียนขนาดเล็กและไม่มีปัญหาอะไรจึงเป็รไปตามประเพณีต่อไป และประเทศที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิอังกฤษก็ใช้กฏมือซ้ายเช่นกัน แต่ในที่สุดบางประเทศก็เปลี่ยนไปทางขวาเช่น แคนาดา เพื่อให้การข้ามพรมแดนเข้าและออกจากสหรัฐอเมริกาง่ายขึ้น
สวีเดน มีเหตุผลที่คล้ายกันเพื่อนบ้านของสวีเดนทั้งหมดรวมทั้ง นอร์เวย์และฟินแลนด์ ซึ่งสวีเดนมีพรมแดนทางบกซึ่งขับรถทางขวา อย่างไรก็ตามปัญหาเร่งด่วนที่สุดคือความปลอดภัยในการขับขี่ แม้จะขับรถทางซ้าย แต่รถยนต์จำนวนมากถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่มีพวงมาลัยอยู่ทางด้านซ้ายของรถ เนื่องจากรถยนต์ส่วนใหญ่นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา แม้มีผู้ผลิตรถยนต์ในสวีเดนหลายรายเช่น Volvo ผลิตรถยนต์ที่ตั้งใจจะขับทางด้านขวาของรถสำหรับตลาดในประเทศ แต่ผลที่ตามมาคือเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนมากขึ้น
ในปี 1963 รัฐบาลสวีเดนได้ตัดสินให้ประเทศเปลี่ยนไปใช้การจราจรทางขวา โดยวันที่ 3 กันยายน1967 ถูกกำหนดให้เป็นวันที่จะมีการเปลี่ยนแปลง
รู้จักกันในชื่อ Dagen H หรือ H-Day ย่อมาจาก "Högertrafikomläggningen" แปลว่า “การเบี่ยงเบนการจราจรไปทางขวา”
การปรับเปลี่ยนหลายอย่างเริ่มต้นล่วงหน้าหลายเดือน และเสร็จสิ้นก่อนวัน H-Day สัญญาณจราจรใหม่ถูกห่อไว้ด้วยพลาสติกสีดำจนถึงชั่วโมงสุดท้าย รวมถึงเส้นทาสีใหม่บนถนนก็ถูกปิดด้วยเทปสีดำ และป้ายถนนทั่วประเทศราว 360,000 ป้ายก็ถูกเปลี่ยนในวันเดียว
แคมเปญประชาสัมพันธ์จำนวนมากจัดทำขึ้นเพื่อสร้างความปรองดองให้กับสาธารณชนต่อการเปลี่ยนแปลง และให้ความรู้แก่พวกเขาเกี่ยวกับวิธีการที่ต้องนำไปปฏิบัติ โลโก้ได้รับการออกแบบให้มีตัว H ขนาดใหญ่พร้อมลูกศรที่ใช้งานเพื่อแสดงเส้นทาง โลโก้นี้เริ่มปรากฏบนทุกอย่างตั้งแต่กล่องนมไปจนถึงชุดชั้นในสตรี
ในช่วงหลายสัปดาห์และหลายเดือนหลังจากการเปลี่ยนแปลง อุบัติเหตุจราจรลดลงอย่างมาก เนื่องจากความระมัดระวังเป็นพิเศษจากผู้คนและผู้ขับขี่
แต่เมื่อผู้คนคุ้นเคยแล้วสามปีต่อมาอัตราอุบัติเหตุและการเสียชีวิตก็กลับสู่ระดับเดิม
เครือข่ายถนนของสวีเดนได้รับการพัฒนามากกว่าเมื่อห้าสิบปีก่อนและมีรถยนต์จำนวนมากขึ้นหลายเท่าบนท้องถนน ซึ่งจะทำให้ต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า นักยุทธศาสตร์ด้านการขนส่งของสวีเดนในปัจจุบันเชื่อว่า Dagen H ไม่สามารถนำใช้ที่ใดก็ได้อย่างราบรื่นเหมือนในปี 1967
ต่อมาในปี 1997 สวีเดนได้เริ่มโครงการด้านการจราจรอีกครั้งเรียกว่า " Vision Zero " มีวัตถุประสงค์เพื่อหยุดการบาดเจ็บสาหัสและผู้เสียชีวิตจากการจราจรโดยเฉพาะบนทางหลวง และสวีเดนยังเป็นผู้บุกเบิกระบบถนน 2 + 1 ซึ่งช่องทางสองทางจะกลายเป็นสามทางทุกๆสอง 300 ม.เพื่อให้รถที่เคลื่อนที่เร็วสามารถแซงการจราจรที่เคลื่อนตัวช้าได้อย่างปลอดภัย
ปัจจุบันถนนเหล่านี้มีการใช้งานในยุโรปส่วนใหญ่และในบางแห่งในแคนาดาและออสเตรเลีย ปัจจุบันสวีเดนมีอัตราการเสียชีวิตบนท้องถนนต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลกโดยมีผู้เสียชีวิต 270 รายในปี 2016 เทียบกับ 1,313 ในปี 1966 ซึ่งเป็นปีก่อน Dagen H