วิทยาศาสตร์การผลิตน้ำเมายุคใหม่

 ศิลปะการผลิตน้ำเมายุคใหม่ ที่เป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าที่คุณคิด 
    เมื่อพูดถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ อย่างเช่น whiskey หนึ่งในกระบวนการที่ขาดไม่ได้ในขั้นตอนการผลิต whiskey 
อย่างที่เราๆรู้จักกัน นั่นคือการบ่มในถังไม้โอ๊คเผาไฟ ซึ่งจะทำให้ได้สี และ กลิ่นที่นุ่มนวล แบบที่เราคุ้นเคย
แต่ในการผลิตแบบนี้นั้นก็ตามมาด้วยปัญหานั่นคืออัตราการผลิตที่ต่ำ และ ต้นทุนที่สูงมาก เพราะกว่าจะได้แต่ละถังนั้น
ต้องมีการบ่มในถังไม้หลายปี ซึ่งสิ้นเปลืองพื้นที่และเวลาในการผลิต และแอลกอฮอล์ที่ได้จากการบ่มนั้นก็จะลดลงจากตอนก่อนนำใส่ถัง
เพราะการระเหยจากรอยต่อของถังไม้ ออกไป โดยจะสูญเสียตั่งแต่ 10-60% ขึ้นอยู่กับระยะเวลาในการบ่ม ยิ่งบ่มนานยิ่งมีการสูญเสียมาก
    สิ่งนี้เรียกว่า ''angel share'' หรือ ''ส่วนแบ่งเทวดา'' นั่นเอง บวกกับความนิยมที่เพิ่มขึ้นในไม่กีสิบปีที่ผ่านมาทำให้ความต้องการในตลาดนั้น
สูงกว่ากำลังการผลิต ของผู้ผลิต whiskey ที่จะป้อนให้ตลาดได้ทัน และด้วยเหตุต่างๆเหล่านี้ทำให้ whiskey       
ที่มีขายตามท้องตลาดนั้นมีราคาที่แพงมากจนคนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้อย่างง่ายดาย แต่ด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ของเราที่ก้าวหน้าขึ้น
ทำให้เราเข้าใจกระบวนธรรมชาติต่างๆที่เกิดภายในการบ่ม whiskey จนเกิดคำถามขึ้นว่า "เราสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ดีขึ้น
ลดต้นทุนลงมา จนทำให้ราคา whiskey ถูกลงจนคนธรรมดาสามารถซื้อได้สบายๆกระเป๋าได้หรือเปล่า"

     วันนี้เลยจะมาพูดถึงเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ต่างๆที่ใช้ในการผลิต whiskey นั่นเอง

         เทคนิคที่ 1 การบ่มในถังเล็ก
   คุณคงเคยเห็นถังบ่ม whiskey ผ่านต่ามากันใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะถังขนาดปรกติที่สูงราวครึ่งตัวคน หรือถังบ่มขนาดยักษ์ ที่สูงเท่าตึกทั้งชั้น ถังบ่มมาตรฐานนั้นมีความจุราว200ลิตร มี พื้นที่ผิวไม้ต่อปริมาตร ราว 96cm^2/L และด้วยความรู้วิทยาศาสตร์ชั้นประถม เราทุกคนรู้ว่าถ้าพื้นผิวต่อปริมาตรเพิ่มขึ้น อัตราการเกิดปฎิกริยาก็เพิ่มขึ้นด้วย นั่นทำให้ผู้ผลิตบางรายมาบ่มในถังไม้ที่มีขนดเล็กลง เช่น ถังขนาด30ลิตร ที่มีพื้นผิว182.4cm^2/L แม้การเปลี่นแปลงที่เล็กน้อยนี้ก็ทำให้ระยะเวลาการบ่มลดลง
     

         เทคนิคที่ 2 ถุงชาไม้โอ๊ค
     เทคนิคนี้เป็นสิ่งที่คุ้นเคย และ ไม่ค่อยแปลก คุณคงเคยได้ยินว่าผู้ผลิตไวน์นั้นมีการใส่ชิปไม้โอ๊คลงไปในการบ่มเพื่อเพิ่มสีและรสใช่ไหมครับ เทคนิคนี้ก็คล้ายๆกัน โดยการใส่ชิปไม้โอ๊ค หรือ ไม้เมเปิลลงไปในกระสอบ และนำไปใส่ในถังบ่มพร้อมกับ whiskey ด้วย( นึกภาพคล้ายๆถุงชาแบบอังกฤษ) และด้วยพื้นผิวของชิปไม้โอ๊คที่เพิ่มขึ้นเมื่อใส่เข้าไปทำให้ปฎิกริยานั้นรวดเร็วขึ้นนั่นเอง


         เทคนิคที่ 3 ใส่ whiskey ลงในถัง แล้วใส่ถังลงใน whiskey
     เรากำลังพูดถึง whiskey แห่งอเมริกา อย่าง berborn อยู่ ต้องกล่าวก่อนว่าการจะเป็น berborn ได้นั้นจะมีข้อกำหนดต่างๆมากมาย แต่ที่เราจะพูดถึงวันนี้คือข้อกำหนดที่ว่า berborn นั้นจะต้องบ่มในถังไม้โอ๊คเผาไฟใหม่ เท่านั้น ไม่สามารถใช้ถังซ้ำได้ และ จะต้องไม่มีการเเต่งเติมสีเเละรสชาติอื่นๆเข้าไป ทำให้เกิดปัญหาขึ้นเพราะถังที่ใช้แล้วก็ไม่มีประโยชน์ ซึ่งผู้ผลิต berborn ก็มักจะขายถังใช้แล้วให้กับผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์ประเภทอื่นๆต่อไป แต่มีผู้ผลิตหัวใสอยู่เจ้าหนึ่ง ได้พบช่องโหว่ในข้อกำหนดนี้ เพราะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการบ่มในถังไม้ว่าต้องนานเท่าไหร่(ผู้ผลิตส่วนใหญ่จะบ่ม 2ปี ขึ้นไป) ผู้ผลิตรายนี้จึงทำการกรอก whiskey ลงในถังไม้ ซักพัก ก็เอาออกมาใส่ถังสแตนเลส ทำให้ผ่านข้อกำหนดนี้ และนำถังไม้ที่ใส่วิสนี้แล้วนั้นไปสับให้เป็นชิ้นเล็กๆ และนำไปใส่ถังที่มี whiskey ที่นำออกมาก่อนหน้านี้ ด้วยการที่มันเป็นถังบ่ม whiskey ของตัวมันเอง จึงไม่ถือว่าเป็นการ ใส่ส่วนผสมแต่สีหรือกลิ่นอื่นๆลงไป


          เทคนิคที่ 4 การปรับอุณหภูมิ
       การผลิต whiskey นั้นจำเป็นต้องบ่มในถังไม้ และแน่นอนถังไม้นั้นก็ต้องมีโรงเก็บ ตลอดช่วงระระเวลาหลายปีในการบ่ม
เราคงเคยได้ยิน whiskey single barrel ใช่ไหมครับ ซึ่งเป็น whiskey ที่ได้จากถังบ่มที่อยู่สูงที่สุด หรือ อบอุ่นที่สุดของโรงบ่ม
มีรถชาติที่นุ่มนวล ลึกซึ่ง และแพงกว่า whiskey ทั่วๆไป แม้จะมาจากโรงบ่มเดียวกันและมีอายุเท่ากันก็ตาม สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเพราะว่า
สภาพอากาศที่อบอุ่นในตอนกลางวันแอลกอฮอล์จะถูกดึงเข้าไปแทรกซึมในเนื้อไม้ และเมื่ออากาศเย็นในตอนกลางคืน
ไม้จะหดตัวและดันแอลลกอฮอล์ออกมาพร้อมกับกลิ่นวานิลลา คาราเมล และ โอ๊ค จากถังไม้ผู้ผลิตบางรายจึงใช้จุดนี้ มาช่วย
โดยการทำให้ถังไม้อุ่นขึ้น และเย็นลง ด้วยความตั้งใจหลายๆครับ จะทำให้กระบวณการเหล่านี้เกิดบ่อยและถี่ขึ้นมากกว่าที่เกิดตามธรรมชาตินั่นเอง
โรงกลัน Copper Fox ในเวอร์จิเนียได้ใช้เทคนิคเป็นเวลา4เดือน หลักจากการใช้เทคนิคที่2 มา1ปี พวกเขาสามารถผลิตวิสกี้ที่ได้รับเหรียญรางวัลจาก International Review of Spirits และ Best in Class จาก American Distilling Institute ในระยะเวลาเพียง14เดือน
 

            เทคนิคที่ 5 เปิดเพลงให้ whiskey ฟัง
      ทุคคนคงเคยได้ยินเรื่องการเปิดเพลงให้ วัว หรือ หมู ฟัง นั้นจะทำให้พวกมันผ่อนคลาย และเนื้อของมันก็จะมีรสชาติอร่อยขึ้น ใครจะคิดกันหละว่าเทคนิคนี้จะใช้ได้ผลกับ whiskey ด้วย มีการเปิดเผยจากผู้ผลิตบางราย ว่าได้มีการติดตั่งลำโพงคลื่นเสียงความถี่ต่ำ ทั่วโกดังเก็บถังบ่ม whiskey ซึ่งเสียงเพลงที่เปิดนั้นไม่ใช่เพลงแบบ Mozart หรือ Beethoven แต่เป็นเพลงแบบEDM แบบเดียวกับที่เด็กวัยรุ่นใช้เต้นในผับ โดยผู้ผลิตเชื่อว่าเคลื่อนเสียงเหล่านี้จะไปปั่นป่วนและทำให้เกิดการสั่นในโมเลกุลของถังไม้และตัว whiskey เมื่อโมเลกุลมีการสั่นมากขึ้นโอกาศชนกันและทำปฎิกริยาก็มากขึ้น เมื่อผู้ผลิตใช้เทคนี้นี้ร่วมกับเทคนิคที่1 เขาสามารถลดระยะเวลาการบ่มให้เหลือเพียง4เดือน ก็สามารถบรรจุขายได้แล้ว

            เทคนิคที่ 6 ถังอัดแรงดัน
    ผู้ผลิตในแคนนาดาได้มีการใช้เทคนิคโดยการที่จะบ่ม whiskey ในถังไม้ พวกเขาได้บ่มมันในถังสแตนเลสแรงดันสูง  
ที่เต็มไปด้วยชิปไม้โอ๊ค ด้วยแรงดันที่สูงทำให้แอลกอฮอล์แทรงซึมไปตามเนื้อไม้ทุกซอกทุกมุม ได้ดีกว่าการแช่ไว้เฉยๆ
และเมื่อลดแรงดันลง แรงดันที่อยู่ในเนื้อไม้จะดันออกมา ทำให้แอลกอฮอลและกลิ่นต่างๆจากไม้ถูกดันออกมาในอัตราหลายเท่า
ของถังไม้ทั่วไป และเทคนิคนี้จะไม่มีการสูญเสียจากส่วนแบ่งเทวดา ทำให้ได้ผลผลิตเต็มเม็ดเต็มหน่วยกว่าการใช้ถังไม้ทั่วไป
โดยเทคนิคนี้สามารถนำออกจำหน่ายหลังจากการบ่มได้เพียง 7วันเท่านั้น

           
            เทคนิคที่ 7 การบ่มแบบ Electrolysis
      โดยผู้ผลิตจะนำวิสกีใส่ในถังสเตนเลสหลายชั้น ที่ภายในมีแผ่นบอร์ดไม้โอ๊คอยู่ด้วย ซึ่งจะต่อกับสายไฟ
โดยมีวิสกี้ในถังเปนตัวกลาง เมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปส่วนประกอบในแผ่นไม้จะแตกตัวและไหลออกมาผสมกับวิสกีในถัง
(ใครนึดภาพไม่ออกก็เหมือนการกัดสนิมโลหะโดยใช้ไฟฟ้า) โดยกระบวณการนี้สามารถผลิต whiskey ที่มีรสชาติเหมือนวิสกี้อายุ 2ปี
โดยใช้เวลาแค่ 24ชม.เท่านั้น

 


           ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่ามานี้เป็นเทคนิต่างที่ผู้ผลิตคิดค้นพลิกแพลง เพื่อที่จะผลิต whiskey ที่ดีที่สุด
            ในปริมาณที่มากที่สุดเพื่อตอบสนองความต้องการของประชากรโลกที่ไม่มีวันสิ้นสุดนั่นเองครับ
                     เรื่องนี้สอนให้รู้ว่าไม่ว่าจะยากเย็นแค่ไหนมนุษย์ก็จะหาวิธีเมาให้ได้นั่นเอง
.....ขอบคุณครับ.....

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่