การก้าวไปข้างหน้าของอะดะจิก็ค่อนข้างจะยักแย่ยักยันกันพอสมควร ประมาณว่าเดินหน้า 1 ก้าว ถอย 3 ก้าว อะไรแบบนั้น หลังจากตัดสินใจพูดออกไปว่าอยากจะรู้จักคุโรซาวะให้มากขึ้น ก็กลายเป็นว่าไปจุดประกายให้อีกฝ่ายที่รู้สึกมาก ๆ อยู่แล้วเข้าจังเบ้อ สายตาท่าทางที่หมายใจจะรุกคืบชัดเจนจนกระทั่งอะดะจินึกกลัว แล้วก็ยังเพิ่มดีกรีความสับสนในใจมากขึ้นไปจนจะชนเพดานอยู่แล้ว
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะ อะดะจิจะว่าไปก็เป็นคนที่จริงจังและคิดมาก พอจะทำอะไรเข้าซักครั้งความกังวลก็เลยขยายใหญ่ไปกว่าปกติ อย่างตอนนี้ ทั้งสับสน งุนงง และ แทบไม่เข้าใจอะไรเลย สิ่งเหล่านี้ก่อกวนจิตใจของอะดะจิมาก ๆ ถึงเวทย์มนต์จะพาความสามารถในการอ่านความคิดคนมาให้แต่มันก็ไม่ใช่ตลอดเวลา แถมที่แย่ก็คือว่าถึงจะรู้ใจคนอื่น แต่กลับไม่รู้ใจตัวเองเสียนี่ว่าควรจะต้องทำยังไงกัน
ถึงจะกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว แต่การมารู้ใจอีกฝ่ายชัดเจนแบบนี้ก็ทำให้นึกกลัวขึ้นมา ถ้าถามว่าก็ในเมื่อขจัดความไม่รู้ไปแล้วนี่ อีกฝ่ายคิดยังไงได้ยินออกแจ่มแจ้งแบบนั้น ยิ่งที่กลัวก็คือจะแสดงออกยังไงน่ะสิ เมื่อยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองคิดยังไง ปัญหามันไม่ได้จบแค่ที่รู้เขาไหมล่ะ รู้เขาแต่ไม่รู้เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ลึก ๆ ก็ไม่อยากให้ความไม่ชัดเจนของตัวเองนี้ไปทำร้ายคุโรซาวะด้วยนั่นแหละ ก็เลยขอหลบหน้าคิดให้ดีว่าจะต้องทำยังไงต่อไป แต่หลบจริงจังไปนิดนึงถึงกับต้องไปมุดใต้โต๊ะราวกับเล่นซ่อนแอบ
แต่ในขณะที่กำลังตอนหายใจเฮือก เจ้าตัวก็ได้ยินเสียงถอนใจอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ คุณฟูจิซากิเพื่อนร่วมงานนั่นเอง คนนี้ที่เจ้าตัวเคยแอบนึกว่าถ้าเป็นผู้หญิงมาบอกชอบกันคงเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่านี้ แม้จะเป็นสาวออฟฟิศที่ตั้งใจทำงานด้วยรอยยิ้มเสมอก็ยังจะมีเรื่องกลัดกลุ้มเหมือนกันเนาะ อาจจะเป็นเพราะลักษณะท่าทางของอะดะจิที่ดูจริงใจไม่มีพิษภัยละมั้ง ที่ทำให้คุณฟูจิซากิตอบคำถามของอะดะจิแต่โดยดี
ค่านิยมต่อหญิงสาวชาวญี่ปุ่นถึงจะคลายไปบ้างแต่ก็ยังมีหลายส่วนที่ถูกครอบครัวกดดันเรื่องการแต่งงานและมีครอบครัว อะดะจิเหลือบมองไปที่กล่องข้าวของคุณฟูจิซากิ และ ข้าวปั้นร้านสะดวกซื้อของตัวเอง ห่างกันไกลโขทีเดียว คุณฟูจิซากิคงมาจากครอบครัวที่ดีละนะ ดังนั้นครอบครัวจึงคาดหวังเอาไว้มาก เอ๋ ... เพื่อน ๆ ของคุณฟูจิซากิแชร์ไอเดีย ทำไมไม่ให้คุณอะดะจิอุปโลกเป็นแฟนของเธอแล้วไปพบกับคุณแม่ล่ะจะได้สบายใจ คงล้อเล่นแหละว่าซั่น แล้วก็จริงเสียด้วย แหม ... เกือบเข้าใจผิดไปเลยแฮะ พอไม่เกร็งเข้าอะดะจิก็แสดงความเห็นอะไรที่เข้าอกเข้าใจและให้แง่มุมขบคิดใสสะอาดและเฉียบคม
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ผมว่าใคร ๆ ก็พูดคุยเป็นเรื่องปกตินะ ชีวิตก็แบบนี้แหละครับ แต่ผมก็คิดว่าชีวิตคนเรามันก็มีหลากหลายแง่มุม ไม่ใช่จะมีแค่เรื่องความรักเสียหน่อย ความสุขของเราในเวลานี้อาจจะเป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องนี้ก็ได้นี่เนอะ รอยยิ้มพิมพ์ใจของอะดะจิก็พลอยทำให้คุณฟูจิซากิมีความสุขไปด้วย เป็นอีกครั้งนึงที่กรอบวัฒนธรรมได้ถูกพูดถึงผ่านเรื่องราว และ อะดะจิเองก็คลี่คลายมันลงไป โดยที่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ หรือ สลักสำคัญอะไร
ดวงตาของคุณฟูจิซากิแวววาวขึ้นมา ผู้ชายคนนี้น่ารักจริง เราชอบเขาจริง ๆ ด้วย สัมผัสโดยบังเอิญทำให้อะดะจิรับรู้ห้วงคิดของหญิงสาวตรงหน้า การรับรู้ตรงนี้ทำเอาอะดะจิยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ระหว่างเดินกลับบริษัททีดียว แต่ด้วยความที่ชอบคิดโน่นคิดนี่คิดอย่างจริงจัง ก็ออกจะแยกได้ว่านอกจากความรู้สึกดีใจที่มีคนมาชอบ(บ้าง)แล้ว หัวใจไม่ได้รู้สึกกุ๊กกิ๊กใจเต้นตึ๊กตั๊กเท่าไหร่เลย
จากนั้นอาการเดินหน้า 1 ก้าว ถอย 3 ก้าวก็กลับมา หัวใจที่ฟูฟ่องว่าคนอย่างเราพอมีข้อดีให้คนชอบฟุบลงอีกรอบ การจะทำตัวแมนอัพปกป้องผู้หญิงซักคนสำหรับเขาที่ค่อนข้างเก็บตัวมันดูงกเงิ่น ไม่สมกับเป็นผู้ชายเลย อีกสำทับด้วยการช่วยเหลือแบบไวฟ้าแล่บของคุโรซาวะ ยิ่งทำให้เขารู้สึก ... อับอายละมั้ง คำถามที่ตามมาก็คือ เออ ทำไมเราไม่ perfect แบบนั้นบ้าง ทำไมตัวเราถึงทำอะไรไม่ได้บ้างเลย ความภูมิใจที่พอจะมีอยู่บ้างในตอนแรกก็ลดลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคุโรซาวะ
ค่อนข้างชัดเจนว่าทางนี้ก็รู้สึกว่าคุโรซาวะจะผิดหวังรึเปล่านะที่คนที่เขาชอบเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะรู้ก็เถอะว่าคุโรซาวะคิดยังไง รู้จากใจจริงโดยไม่เสแสร้ง แต่จิตมันก็ปรุงแต่งไปอย่างช่วยไม่ได้ จนกระทั่งได้การอ่านใจได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ความเป็นตัวเขา คำพูดของเขาต่างหากล่ะที่ทำให้คุณฟูจิซากิชอบ นั่นสิชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องแต่งงานนี่นา พออะดะจิพูดออกมาแบบนั้นก็รู้สึกขึ้นมาเลยล่ะว่ามันเป็นไปได้ ความสุขมีตั้งหลายมิติใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องรักใคร่เสมอไปเมื่อไหร่ อยากให้อะดะจิมีความสุขจังเลย ถึงอีกฝ่ายจะเป็นใครก็เถอะ
ความรู้สึกที่วาบขึ้นมาในใจอะดะจิก็คือ ทุกคนเหมือนจะคิดบวกกันหมดเลยนะ ทั้งคุณฟูจิซากิ ทั้งคุโรซาวะ แต่ละคนแม้จะมีเรื่องทุกข์ใจ หนักใจ แม้กระทั่งเรื่องที่บอกใครไม่ได้ แต่ก็ยังยิ้มและพยายามในทุกวัน ก้าวไปข้างหน้าตามแบบของตัวเอง เรื่องนี้นั่นเอง เรื่องนี้เองที่เป็นเรื่องสำคัญ ทำไมถึงคิดมากล่ะว่าสิ่งที่ทำออกแล้วมันจะดีหรือเปล่าน้อ แม้กระทั่งสิ่งที่คิดว่าดีก็ยังไปคิดมากอีกว่ามันดีพอรึเปล่า ทำไมการไปช่วยผู้หญิงซักคนแต่มันงกเงิ่นไปหน่อยถึงรู้สึกอาย ทำไมการคิดว่าจะทำความรู้จักใครซักคนให้ดีขึ้นแต่กลับเลือกจะหลบล่ะ
ก็เมื่อมันชัดอยู่แล้วนี่นาว่าสิ่งที่ทำลงไปมันก็เป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกดีนี่นา ถ้าคิดว่าทำอะไรได้ก็ต้องทำสิ ทำไปเลย อะดะจิเริ่มก้าวแรกด้วยการบอกกับคุณฟูจิซากิว่าจะให้ผมไปพบคุณแม่ก็ได้นะ ผมก็อยากจะเรียนท่านว่าคุณฟูจิซากิพยายามในทุก ๆ วัน และ สนุกกับการทำงานมากขนาดไหน รอยยิ้มสดใสของคนฟังส่องสว่าง นั่นแหละ ... นั่นต่างหากที่สำคัญ ส่วนคุโรซาวะนั้น เขากำลังก้มหัวขอโทษด้วยเรื่องอะไรซักอย่าง ไม่รู้หรอกนะว่าไปทำอะไรเข้า แต่สายตาของอะดะจิบอกกับเราว่า คงต้องมีซักอย่างนั่นแหละที่ทำได้ ต้องมีซักทางที่ช่วยเหลือคุโรซาวะได้บ้าง
เวทมนต์บันดาลให้อ่านใจ
แต่จะก้าวเดินไปแบบไหนอย่างไร อะดะจิ คงต้องลิขิตเอง
ฝาก OST ไว้ในอ้อมใจ
Cherry Magic (กึ่งรีวิวตอนที่ 4) : เรื่องสำคัญ (สปอยด์)
มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะ อะดะจิจะว่าไปก็เป็นคนที่จริงจังและคิดมาก พอจะทำอะไรเข้าซักครั้งความกังวลก็เลยขยายใหญ่ไปกว่าปกติ อย่างตอนนี้ ทั้งสับสน งุนงง และ แทบไม่เข้าใจอะไรเลย สิ่งเหล่านี้ก่อกวนจิตใจของอะดะจิมาก ๆ ถึงเวทย์มนต์จะพาความสามารถในการอ่านความคิดคนมาให้แต่มันก็ไม่ใช่ตลอดเวลา แถมที่แย่ก็คือว่าถึงจะรู้ใจคนอื่น แต่กลับไม่รู้ใจตัวเองเสียนี่ว่าควรจะต้องทำยังไงกัน
ถึงจะกล้าขึ้นมาบ้างแล้ว แต่การมารู้ใจอีกฝ่ายชัดเจนแบบนี้ก็ทำให้นึกกลัวขึ้นมา ถ้าถามว่าก็ในเมื่อขจัดความไม่รู้ไปแล้วนี่ อีกฝ่ายคิดยังไงได้ยินออกแจ่มแจ้งแบบนั้น ยิ่งที่กลัวก็คือจะแสดงออกยังไงน่ะสิ เมื่อยังไม่แน่ใจเลยว่าตัวเองคิดยังไง ปัญหามันไม่ได้จบแค่ที่รู้เขาไหมล่ะ รู้เขาแต่ไม่รู้เราก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ลึก ๆ ก็ไม่อยากให้ความไม่ชัดเจนของตัวเองนี้ไปทำร้ายคุโรซาวะด้วยนั่นแหละ ก็เลยขอหลบหน้าคิดให้ดีว่าจะต้องทำยังไงต่อไป แต่หลบจริงจังไปนิดนึงถึงกับต้องไปมุดใต้โต๊ะราวกับเล่นซ่อนแอบ
แต่ในขณะที่กำลังตอนหายใจเฮือก เจ้าตัวก็ได้ยินเสียงถอนใจอีกหนึ่งเฮือกใหญ่ คุณฟูจิซากิเพื่อนร่วมงานนั่นเอง คนนี้ที่เจ้าตัวเคยแอบนึกว่าถ้าเป็นผู้หญิงมาบอกชอบกันคงเป็นเรื่องที่ง่ายดายกว่านี้ แม้จะเป็นสาวออฟฟิศที่ตั้งใจทำงานด้วยรอยยิ้มเสมอก็ยังจะมีเรื่องกลัดกลุ้มเหมือนกันเนาะ อาจจะเป็นเพราะลักษณะท่าทางของอะดะจิที่ดูจริงใจไม่มีพิษภัยละมั้ง ที่ทำให้คุณฟูจิซากิตอบคำถามของอะดะจิแต่โดยดี
ค่านิยมต่อหญิงสาวชาวญี่ปุ่นถึงจะคลายไปบ้างแต่ก็ยังมีหลายส่วนที่ถูกครอบครัวกดดันเรื่องการแต่งงานและมีครอบครัว อะดะจิเหลือบมองไปที่กล่องข้าวของคุณฟูจิซากิ และ ข้าวปั้นร้านสะดวกซื้อของตัวเอง ห่างกันไกลโขทีเดียว คุณฟูจิซากิคงมาจากครอบครัวที่ดีละนะ ดังนั้นครอบครัวจึงคาดหวังเอาไว้มาก เอ๋ ... เพื่อน ๆ ของคุณฟูจิซากิแชร์ไอเดีย ทำไมไม่ให้คุณอะดะจิอุปโลกเป็นแฟนของเธอแล้วไปพบกับคุณแม่ล่ะจะได้สบายใจ คงล้อเล่นแหละว่าซั่น แล้วก็จริงเสียด้วย แหม ... เกือบเข้าใจผิดไปเลยแฮะ พอไม่เกร็งเข้าอะดะจิก็แสดงความเห็นอะไรที่เข้าอกเข้าใจและให้แง่มุมขบคิดใสสะอาดและเฉียบคม
เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ผมว่าใคร ๆ ก็พูดคุยเป็นเรื่องปกตินะ ชีวิตก็แบบนี้แหละครับ แต่ผมก็คิดว่าชีวิตคนเรามันก็มีหลากหลายแง่มุม ไม่ใช่จะมีแค่เรื่องความรักเสียหน่อย ความสุขของเราในเวลานี้อาจจะเป็นเรื่องอื่นไม่ใช่เรื่องนี้ก็ได้นี่เนอะ รอยยิ้มพิมพ์ใจของอะดะจิก็พลอยทำให้คุณฟูจิซากิมีความสุขไปด้วย เป็นอีกครั้งนึงที่กรอบวัฒนธรรมได้ถูกพูดถึงผ่านเรื่องราว และ อะดะจิเองก็คลี่คลายมันลงไป โดยที่ไม่คิดว่าเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ หรือ สลักสำคัญอะไร
ดวงตาของคุณฟูจิซากิแวววาวขึ้นมา ผู้ชายคนนี้น่ารักจริง เราชอบเขาจริง ๆ ด้วย สัมผัสโดยบังเอิญทำให้อะดะจิรับรู้ห้วงคิดของหญิงสาวตรงหน้า การรับรู้ตรงนี้ทำเอาอะดะจิยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ระหว่างเดินกลับบริษัททีดียว แต่ด้วยความที่ชอบคิดโน่นคิดนี่คิดอย่างจริงจัง ก็ออกจะแยกได้ว่านอกจากความรู้สึกดีใจที่มีคนมาชอบ(บ้าง)แล้ว หัวใจไม่ได้รู้สึกกุ๊กกิ๊กใจเต้นตึ๊กตั๊กเท่าไหร่เลย
จากนั้นอาการเดินหน้า 1 ก้าว ถอย 3 ก้าวก็กลับมา หัวใจที่ฟูฟ่องว่าคนอย่างเราพอมีข้อดีให้คนชอบฟุบลงอีกรอบ การจะทำตัวแมนอัพปกป้องผู้หญิงซักคนสำหรับเขาที่ค่อนข้างเก็บตัวมันดูงกเงิ่น ไม่สมกับเป็นผู้ชายเลย อีกสำทับด้วยการช่วยเหลือแบบไวฟ้าแล่บของคุโรซาวะ ยิ่งทำให้เขารู้สึก ... อับอายละมั้ง คำถามที่ตามมาก็คือ เออ ทำไมเราไม่ perfect แบบนั้นบ้าง ทำไมตัวเราถึงทำอะไรไม่ได้บ้างเลย ความภูมิใจที่พอจะมีอยู่บ้างในตอนแรกก็ลดลงไปอย่างรวดเร็วเมื่อเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคุโรซาวะ
ค่อนข้างชัดเจนว่าทางนี้ก็รู้สึกว่าคุโรซาวะจะผิดหวังรึเปล่านะที่คนที่เขาชอบเป็นแบบนี้ ถึงแม้จะรู้ก็เถอะว่าคุโรซาวะคิดยังไง รู้จากใจจริงโดยไม่เสแสร้ง แต่จิตมันก็ปรุงแต่งไปอย่างช่วยไม่ได้ จนกระทั่งได้การอ่านใจได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง ความเป็นตัวเขา คำพูดของเขาต่างหากล่ะที่ทำให้คุณฟูจิซากิชอบ นั่นสิชีวิตไม่ได้มีแค่เรื่องแต่งงานนี่นา พออะดะจิพูดออกมาแบบนั้นก็รู้สึกขึ้นมาเลยล่ะว่ามันเป็นไปได้ ความสุขมีตั้งหลายมิติใช่ว่าจะต้องเป็นเรื่องรักใคร่เสมอไปเมื่อไหร่ อยากให้อะดะจิมีความสุขจังเลย ถึงอีกฝ่ายจะเป็นใครก็เถอะ
ความรู้สึกที่วาบขึ้นมาในใจอะดะจิก็คือ ทุกคนเหมือนจะคิดบวกกันหมดเลยนะ ทั้งคุณฟูจิซากิ ทั้งคุโรซาวะ แต่ละคนแม้จะมีเรื่องทุกข์ใจ หนักใจ แม้กระทั่งเรื่องที่บอกใครไม่ได้ แต่ก็ยังยิ้มและพยายามในทุกวัน ก้าวไปข้างหน้าตามแบบของตัวเอง เรื่องนี้นั่นเอง เรื่องนี้เองที่เป็นเรื่องสำคัญ ทำไมถึงคิดมากล่ะว่าสิ่งที่ทำออกแล้วมันจะดีหรือเปล่าน้อ แม้กระทั่งสิ่งที่คิดว่าดีก็ยังไปคิดมากอีกว่ามันดีพอรึเปล่า ทำไมการไปช่วยผู้หญิงซักคนแต่มันงกเงิ่นไปหน่อยถึงรู้สึกอาย ทำไมการคิดว่าจะทำความรู้จักใครซักคนให้ดีขึ้นแต่กลับเลือกจะหลบล่ะ
ก็เมื่อมันชัดอยู่แล้วนี่นาว่าสิ่งที่ทำลงไปมันก็เป็นกำลังใจให้อีกฝ่าย ทำให้เขารู้สึกดีนี่นา ถ้าคิดว่าทำอะไรได้ก็ต้องทำสิ ทำไปเลย อะดะจิเริ่มก้าวแรกด้วยการบอกกับคุณฟูจิซากิว่าจะให้ผมไปพบคุณแม่ก็ได้นะ ผมก็อยากจะเรียนท่านว่าคุณฟูจิซากิพยายามในทุก ๆ วัน และ สนุกกับการทำงานมากขนาดไหน รอยยิ้มสดใสของคนฟังส่องสว่าง นั่นแหละ ... นั่นต่างหากที่สำคัญ ส่วนคุโรซาวะนั้น เขากำลังก้มหัวขอโทษด้วยเรื่องอะไรซักอย่าง ไม่รู้หรอกนะว่าไปทำอะไรเข้า แต่สายตาของอะดะจิบอกกับเราว่า คงต้องมีซักอย่างนั่นแหละที่ทำได้ ต้องมีซักทางที่ช่วยเหลือคุโรซาวะได้บ้าง