จากกระทู้ที่แล้วที่เล่าถึงปัญหาที่ทะเลาะกับแม่
เราก็มานั่งคิดทบทวนกับตัวเองว่า เราผิดตรงไหนบ้าง อะไรที่ทำให้เป็นแบบนี้ จึงย้อนทบทวนไปตั้งแต่เรื่องเก่าๆ
เกริ่นก่อนว่า จขกท ในตอนเด็กๆ ค่อนข้างเงียบ และขี้กลัว (ไม่กล้าเถียง ทำตามคำสั่งแม้ไม่เต็มใจ)
ถูกเลี้ยงมาแบบ หันซ้ายต้องซ้าย หันขวาต้องขวา ห้ามเถียงทั้งในทางแสดงออกมา หรือ ถอนหายใจแสดงความไม่พอใจ
ก็ต้องเก็บไว้ ต้องอยู่ในกรอบเสมอ คิดมาตลอดว่า นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเรา และโตไปก็คงเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง อย่างที่แม่
ตั้งมา
แต่...
หลังจากไปเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนค้นพบตัวเองใหม่ ว่าจริงๆแล้วเรามีอีกด้าน ที่กล้าแสดงออก ชอบการถกเถียง และก๋ากั่นบ้างบางเวลา
เวลาเปลี่ยน นิสัยเปลี่ยน ความคิดเลยเปลี่ยนตาม หลังจากเรียนจบกลับมาอยู่กับแม่ (ทำงานที่บ้าน + แม่อยากให้อยู่ใกล้ๆ ตามสเตปเดิมๆ ใช้นิสัยเดิมๆเหมือนตอนเรายังเด็ก แต่เราเปลี่ยนไปแล้ว..)
เราพูดตรงๆกับแม่ เมื่อไม่เห็นด้วย (พร้อมอธิบายเหตุผลและความคิด) เราไม่ทำตามคำสั่งเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควร หรือ ฝืนใจ
แม่ดูไม่ชอบใจ และหาว่าเราชอบเถียง จากการพูดคุยกันหลายๆเรื่อง (ชอบนอนคุยเล่นกับแม่) พบว่า
ปัญหาคือ เรามีความคิดที่แตกต่างกัน เช่น
เรื่องการเงินซึ่งเป็นประเด็นที่ทะเลาะกันหนักสุด
เราเป็นพวกวิตกกังวล กลัวความไม่มั่นคง เลยชอบสำรองทุกอย่าง ทั้งแผน ทั้งเงิน ทุกๆอย่างมีสำรองไว้หมด แต่แม่เราไม่เป็นแบบนั้น แม่เรามักจะตัดสินใจเป็นวันๆไป ซึ่งเราไม่โอเคกับแนวคิดแบบนั้น โดยเราก็ไม่รู้ว่า แม่อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่อาจจะมีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้แม่มองภาพแค่วันนี้ หรือ อาทิตย์นี้ได้แค่นั้นหรือเปล่า
อย่างเรื่องการทำประกันชีวิต
เราแนะนำให้แม่ตรวจสุขภาพและสำรองเงินไว้ยามป่วยไข้
แต่แม่กลับสวนมาว่า ป่วยไข้ก็ให้เป็นหน้าที่ของลูกมั่งสิ
(เราอยากทำให้แม่ แต่ยิ่งอายุเยอะเบี้ยยิ่งสูง และแม่ค่อนข้างชอบก้าวก่ายการเงินเราจนทะเลาะกันหลายครั้ง เราเคยตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า กระเป๋าเงินเราถูกค้นเอาแบงค์พันไป 5-6ใบ แล้วทิ้งโน๊ตไว้ ว่า หยิบไปเท่านี้ๆนะ เราเลยคิดว่าเรายังไม่มีความแน่นอนในการจ่ายเบี้ยแน่ๆ)
เราเลยบอกว่า ไม่ใช่จะไม่ดูแล แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องหนักหนาเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก
แม่เลยบอกว่า เรายังเด็ก ก็คิดแบบนั้นแหละ ไว้แก่เมื่อไหร่ก็ไม่กลัวแล้วกับเรื่องความตาย
เราเลยบอกว่า รู้แล้วว่าทุกคนต้องตาย แต่ช่วงก่อนจะตายนั้นแหละลำบาก
แต่ก็จบประเด็นนี้ไป ด้วยความขุ่นเคืองกันทางความคิด
หรือเรื่องการลงทุน
ช่วงที่เราทำงานใหม่ๆ เราคุยกับแม่ว่า เราจะแบ่งกำไร ไปลงทุนใน กองทุน สลากออมสิน และอยากจะศึกษาเรื่องหุ้นไว้บ้าง
แม่ตอบมาว่า อย่าเพิ่งลงทุนตอนนี้เลย เก็บเงินไว้ให้แม่ยืมก่อน เราอึ้งกับคำตอบมาก สัมผัสได้ถึงความไม่ราบรื่นของการทำงานเลยอ่ะ 55555
และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมา 2 ปี แม่ก็ยังยืมเงินเราวนๆไปมา จนล่าสุดในกระทู้ที่แล้ว ที่ทะเลาะกันเรื่องเงิน เพราะเราเริ่มไม่ไหว (ค่าใช้จ่ายเยอะ) เลยออกปากทวงเงินแบบตรงๆครั้งแรก (ที่ผ่านมาทวงแบบอ้อมๆและไม่เร่งรัดมาก่อน)
เรื่องการศึกษา
คุณแม่เราเรียนจบประถมเท่านั้นแต่เป็นคนเก่งค่ะ หมุนเงินเก่ง ไอเดียดี แต่คิดว่าปัญหาอยู่ที่ไม่มีระเบียบวินัยทางการเงินเท่านั้นคือ แม่ใช้เงินแบบไม่แยกเงินทุนกับกำไร และเอาเงินทุกธุรกิจมารวมปนเปกันหมด แม่มองว่าจบการศึกษาระดับไหนก็เหมือนกัน เราพยายามกำชับกับแม่แล้วว่ายังไงๆ ก็ต้องบังคับให้น้องเรียนหนังสือ อย่างน้อยตามมาตรฐานการศึกษาก็ได้ แต่แม่ดูไม่ค่อยสนใจตรงนั้นเลย เราเคยพูดว่า วันนึงแม่ไม่อยู่ น้องมันจะเกาะใครกิน เราไม่เอาแล้วคนนึง ตัวเองยังไม่รอด
บอกตรงๆว่า เหนื่อยค่ะ ไม่รู้วันข้างหน้าจะเจออะไรอีก นั่งคิดทบทวนว่า ความคิดฉันมันเพ้อฝันไปเองตามประสาคนอายุยังน้อยหรือเปล่า หรือว่าทางที่แม่คิดที่แม่เป็นมันคือโลกแห่งความจริงกันแน่นะ
ยิ่งโต ยิ่งไม่เข้าใจแม่
เราก็มานั่งคิดทบทวนกับตัวเองว่า เราผิดตรงไหนบ้าง อะไรที่ทำให้เป็นแบบนี้ จึงย้อนทบทวนไปตั้งแต่เรื่องเก่าๆ
เกริ่นก่อนว่า จขกท ในตอนเด็กๆ ค่อนข้างเงียบ และขี้กลัว (ไม่กล้าเถียง ทำตามคำสั่งแม้ไม่เต็มใจ)
ถูกเลี้ยงมาแบบ หันซ้ายต้องซ้าย หันขวาต้องขวา ห้ามเถียงทั้งในทางแสดงออกมา หรือ ถอนหายใจแสดงความไม่พอใจ
ก็ต้องเก็บไว้ ต้องอยู่ในกรอบเสมอ คิดมาตลอดว่า นั่นคือตัวตนที่แท้จริงของเรา และโตไปก็คงเชื่อฟังแม่ทุกอย่าง อย่างที่แม่
ตั้งมา
แต่...
หลังจากไปเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนค้นพบตัวเองใหม่ ว่าจริงๆแล้วเรามีอีกด้าน ที่กล้าแสดงออก ชอบการถกเถียง และก๋ากั่นบ้างบางเวลา
เวลาเปลี่ยน นิสัยเปลี่ยน ความคิดเลยเปลี่ยนตาม หลังจากเรียนจบกลับมาอยู่กับแม่ (ทำงานที่บ้าน + แม่อยากให้อยู่ใกล้ๆ ตามสเตปเดิมๆ ใช้นิสัยเดิมๆเหมือนตอนเรายังเด็ก แต่เราเปลี่ยนไปแล้ว..)
เราพูดตรงๆกับแม่ เมื่อไม่เห็นด้วย (พร้อมอธิบายเหตุผลและความคิด) เราไม่ทำตามคำสั่งเมื่อเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควร หรือ ฝืนใจ
แม่ดูไม่ชอบใจ และหาว่าเราชอบเถียง จากการพูดคุยกันหลายๆเรื่อง (ชอบนอนคุยเล่นกับแม่) พบว่า
ปัญหาคือ เรามีความคิดที่แตกต่างกัน เช่น
เรื่องการเงินซึ่งเป็นประเด็นที่ทะเลาะกันหนักสุด
เราเป็นพวกวิตกกังวล กลัวความไม่มั่นคง เลยชอบสำรองทุกอย่าง ทั้งแผน ทั้งเงิน ทุกๆอย่างมีสำรองไว้หมด แต่แม่เราไม่เป็นแบบนั้น แม่เรามักจะตัดสินใจเป็นวันๆไป ซึ่งเราไม่โอเคกับแนวคิดแบบนั้น โดยเราก็ไม่รู้ว่า แม่อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นแต่อาจจะมีเงื่อนไขอะไรที่ทำให้แม่มองภาพแค่วันนี้ หรือ อาทิตย์นี้ได้แค่นั้นหรือเปล่า
อย่างเรื่องการทำประกันชีวิต
เราแนะนำให้แม่ตรวจสุขภาพและสำรองเงินไว้ยามป่วยไข้
แต่แม่กลับสวนมาว่า ป่วยไข้ก็ให้เป็นหน้าที่ของลูกมั่งสิ
(เราอยากทำให้แม่ แต่ยิ่งอายุเยอะเบี้ยยิ่งสูง และแม่ค่อนข้างชอบก้าวก่ายการเงินเราจนทะเลาะกันหลายครั้ง เราเคยตื่นขึ้นมาแล้วพบว่า กระเป๋าเงินเราถูกค้นเอาแบงค์พันไป 5-6ใบ แล้วทิ้งโน๊ตไว้ ว่า หยิบไปเท่านี้ๆนะ เราเลยคิดว่าเรายังไม่มีความแน่นอนในการจ่ายเบี้ยแน่ๆ)
เราเลยบอกว่า ไม่ใช่จะไม่ดูแล แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องหนักหนาเรื่องค่าใช้จ่ายมากนัก
แม่เลยบอกว่า เรายังเด็ก ก็คิดแบบนั้นแหละ ไว้แก่เมื่อไหร่ก็ไม่กลัวแล้วกับเรื่องความตาย
เราเลยบอกว่า รู้แล้วว่าทุกคนต้องตาย แต่ช่วงก่อนจะตายนั้นแหละลำบาก
แต่ก็จบประเด็นนี้ไป ด้วยความขุ่นเคืองกันทางความคิด
หรือเรื่องการลงทุน
ช่วงที่เราทำงานใหม่ๆ เราคุยกับแม่ว่า เราจะแบ่งกำไร ไปลงทุนใน กองทุน สลากออมสิน และอยากจะศึกษาเรื่องหุ้นไว้บ้าง
แม่ตอบมาว่า อย่าเพิ่งลงทุนตอนนี้เลย เก็บเงินไว้ให้แม่ยืมก่อน เราอึ้งกับคำตอบมาก สัมผัสได้ถึงความไม่ราบรื่นของการทำงานเลยอ่ะ 55555
และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ผ่านมา 2 ปี แม่ก็ยังยืมเงินเราวนๆไปมา จนล่าสุดในกระทู้ที่แล้ว ที่ทะเลาะกันเรื่องเงิน เพราะเราเริ่มไม่ไหว (ค่าใช้จ่ายเยอะ) เลยออกปากทวงเงินแบบตรงๆครั้งแรก (ที่ผ่านมาทวงแบบอ้อมๆและไม่เร่งรัดมาก่อน)
เรื่องการศึกษา
คุณแม่เราเรียนจบประถมเท่านั้นแต่เป็นคนเก่งค่ะ หมุนเงินเก่ง ไอเดียดี แต่คิดว่าปัญหาอยู่ที่ไม่มีระเบียบวินัยทางการเงินเท่านั้นคือ แม่ใช้เงินแบบไม่แยกเงินทุนกับกำไร และเอาเงินทุกธุรกิจมารวมปนเปกันหมด แม่มองว่าจบการศึกษาระดับไหนก็เหมือนกัน เราพยายามกำชับกับแม่แล้วว่ายังไงๆ ก็ต้องบังคับให้น้องเรียนหนังสือ อย่างน้อยตามมาตรฐานการศึกษาก็ได้ แต่แม่ดูไม่ค่อยสนใจตรงนั้นเลย เราเคยพูดว่า วันนึงแม่ไม่อยู่ น้องมันจะเกาะใครกิน เราไม่เอาแล้วคนนึง ตัวเองยังไม่รอด
บอกตรงๆว่า เหนื่อยค่ะ ไม่รู้วันข้างหน้าจะเจออะไรอีก นั่งคิดทบทวนว่า ความคิดฉันมันเพ้อฝันไปเองตามประสาคนอายุยังน้อยหรือเปล่า หรือว่าทางที่แม่คิดที่แม่เป็นมันคือโลกแห่งความจริงกันแน่นะ