ความตั้งใจ
ลับแล มาตามบานประตูไม้แกะสลักที่วัดดอนสัก
วัดกลาง มาตามจิตรกรรมฝาผนังเขียนสีฝุ่น
เมืองลับแล เล่าสืบต่อกันมาว่า
อาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน เกิดสงครามและโรคระบาด ราษฎรจึงละทิ้งถิ่นฐานเดิมไป หาที่ทำกินใหม่
คนกลุ่มหนึ่งมีหนานคำลือ กับหนานแสนคำเป็นหัวหน้า
ฝันว่าว่าดวงวิญญาณของ เจ้าปู่พญาแก้ววงเมือง กษัตริย์แห่งนครโยนกมาบอกว่า มีแหล่งทำมาหากินอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพมาจนที่แห่งนี้
จึงตั้งเมืองเรียกว่าบ้านเชียงแสน
ต่อมาพระเจ้าเรืองไทธิราช กษัตริย์แห่งโยนกนคร ได้ส่งเจ้าฟ้าฮ่ามกุมารมาปกครอง
เจ้าฟ้าฮ่าม ได้เขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากดอยตุงมาบรรจุไว้ที่สถูปเจดีย์วัดป่าแก้วเรไร - วัดแรกของเมืองลับแล
เมื่อเจ้าฟ้าฮ่ามเสด็จสวรรคตจึงนำอัฐิของพระองค์มาบรรจุไว้ ณ ม่อนอารักษ์
เกิดประเพณีแห่น้ำขึ้นโรงเพื่อทำการสักการะ ในวันที่ 14 เมษายน ของทุกปี
วัดเจดีย์คีรีวิหาร
เดิมคือวัดวัดป่าแก้วเรไร ซึ่งได้ทรุดโทรมลงจนกลายเป็นวัดร้าง
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสโปรดให้ พระครูธรรมฐิติวงศ์คีรีเขตรเจ้าคณะแขวงเมืองพิชัย
ไปบูรณะและไปจำพรรษาที่วัด ซึ่งสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวชิโรรสได้ตั้งชื่อวัดว่า วัดเจดีย์คีรีวิหาร
เจดีย์ บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
ฐานเขียงสี่เหลี่ยม ฐานปัทม์สองชั้นมีอกไก่ เรือนธาตุมีอกไก่ยกเก็จ มีซุ้มพระเจ้าทั้งสี่ด้าน
ถัดไปเป็นฐานปัทม์กลม รับบัวปากระฆัง
องค์ระฆังมีรัดอก บัลลังก์ ปล่องไฉน ปลียอดปกฉัตร
อุโบสถเก่า และใหม่
ตึกธรรมธิติวงศ์ ... สำนักงานเจ้าคณะอำเภอลับแล
วัดท้องลับแล
ตอนที่ผ่านไป 23-3-2555 เห็นเป็นวัดที่ มีเจดีย์คู่อยู่หน้าวิหาร มีสิงห์ใหญ่หน้าอุโบสถ
ตอนนี้ได้มาค้นอ่านได้ความว่า
วัดท้องลับแล เดิมชื่อท้องลับแลง คนในเมืองลับแลเรียกตัวเองว่าคนลับแลง
เดิมคนที่อยู่ที่นี่เป็นคนที่พูดกำเมือง - ภาษาล้านนา
ในประวัติศาสตร์มีเหตุการณ์ที่เจ้ายี่กุมกาม (โอรสองที่สอง เกิดที่เมืองกุมกาม) โอรสพญาแสนเมือง ที่ให้ไปปกครองเชียงราย - เมืองลูกหลวง
เมื่อพระเจ้าแสนเมืองมาสวรรคต พญาสามฝั่งแกนพระอนุชาได้ครองเชียงใหม่แทน
เจ้ายี่กุมกามจึงขอให้พระมหาธรรมราชาไสยลือไทยกทัพไปช่วยตีเอาเมืองเชียงใหม่จากพระอนุชาแต่ไม่สำเร็จ
เจ้ายี่กุมกามจึงได้พาชาวเมืองเชียงรายติดตามกองทัพสุโขทัยมาตั้งรกรากอยู่เวียงสระหนองหลวง
ต่อมา
พระเจ้าติโลกราช โอรสพญาสามฝั่งแกน ได้สถาปนาเวียงสระหนองหลวงเป็นเมืองลับแลงไชย และราชาภิเษกขึ้นเป็นพระเจ้าติโลกมหาราชาฟ้าฮ่าม ปฐมกษัตริย์แห่งลับแลงไชย
เล่าว่าเมื่อพระเจ้าติโลกเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้ตอน ท้องฟ้ามีแสงสีอร่าม (ฟ้าฮ่าม) ในยามบ่าย (แลง) ที่ดวงตะวันใกล้จะลับจึงมีชื่อว่าลับแลง
วัดดอนสัก
ตั้งอยู่บนที่ดอน มีต้นสักมาก จึงเรียกดอนสัก
ได้นำไม้สักมาสร้างวิหาร คนที่วัดเล่าว่า พระท่านไม่อยากให้ตัดต้นไม้ วัดจึงดูครึ้มร่ม
อุโบสถ
วิหารมีฐานโค้งแบบเรือที่นิยมกันในสมัยอยุธยาตอนปลาย
ตัวเสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู
บานประตูเป็นไม้แกะสลักทั้งบาน รูปลายกนกก้านขด
มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายกนกต่าง ๆ
บานซ้ายและขวานั้นไม่เหมือนกัน
แต่เมื่อปิดบานแล้วลวดลายมีความลงตัวเข้ากันได้สนิท
มองข้ามรั้วไปชาวบ้านกำลังเก็บหอม
วัดกลาง หรือ วัดกลางธรรมสาคร
ตั้งใจจะไปชมภาพเขียนสีฝุ่นที่วัดกลาง ในพระอุโบสถ
สีฝุ่นโบราณที่ใช้เขียนเป็นผงคล้ายแป้ง ทึบแสง เวลาระบายต้องผสมกาวหรือไข่ขาว
เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังบ้านเราเขียนในพื้นที่แห้งสนิทแล้ว ทั้ง พื้นไม้ พื้นปูน ฯลฯ
เพราะให้เวลาในการเขียนนาน จึงเขียนได้ลายละเอียดดี ข้อเสียคือสีติดทนน้อยกว่า
อีกวิธีเป็นการเขียนลงบนผนังเปียกชื้นอยู่ ให้เวลาในการเขียนแค่ปูนแห้งแต่จะดูดสีเข้าไปได้ดีกว่า สีจึงติดทนกว่า
วัดอยู่ที่ จากถนนอุตรดิตถ์ - พิษณุโลก เลี้ยวไปทางศรีสัชนาลัย
ลงจากสะพานข้ามแม่น้ำน่านเลี้ยวซ้ายก่อนข้ามทางรถไฟ วัดอยู่ซ้ายมือ
บรรยายตามที่บอกทางคนขับ
วัดกลางธรรมสาครสร้างสมัยอยุธยาตอนปลาย เดิมชื่อวัดโพธาราม
เคยเป็นท่าจอดเรือเพื่อเดินเท้าไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ โดยเดินผ่าน บ้านเกาะ วัดทองเหลือ วัดบรมธาต์ทุ่งยั้ง ถึงพระแท่นศิลาอาสน์
ต่อมาลำน้ำเปลี่ยนทางไหลห่างไป หน้าวัดกลายเป็นบุ่งน้ำ
อุโบสถ
หน้าบันมีมุกประเจิด หรือมุกทะลุขื่อ เหมือนวัดท่าเสา - อยุธยาตอนปลาย
รูปครุฑยุดนาค ... พระราชลัญจกร ในรัชการที่ 2 ลายก้านขด เทพพนม และสัตว์ต่าง ๆ
หน้าบันชั้นบนเป็นรูปราหูอมจันทร์
เหนือประตูรูปเทพพนม
บานประตู หน้าต่าง แกะลวดลาย ประดับกระจกสี - เข้าใจแล้วว่ากระจกสีเมื่อสะท้อนแสงแดดสวยเพียงไร
พระประธาน
พระสาวกสององค์คงหายไป ดูจากจิตรกรรมฝาผนัง
จิตรกรรมฝาผนัง บนสุดเป็นพระอรหันต์ ถัดมาเป็นเทพชุมนุม
แถวล่างฝั่งขวาพระเป็นรูปนักสิทธิ์วิทยาธร - ภาพใคร ๆ ว่าเขียนเรื่องเวสสันดรชาดก - แต่ยังสงสัยเพราะไม่เห็นกัณหา ชาลี
ฝั่งซ้ายพระเป็นยักษ์และครุฑ ด้านล่างใครคิดได้ว่าภาพเรื่องอะไรบอกด้วยค่ะ
ตาลปัตรภาพทศชาติชาดก
เตมีใบ้ มหาชนก สุวรรณสาม ภูริทัตชาดก ไม่ชัดเนมิราช - เห็นยักษ์ตัวเขียว
ภาพเก็บตก
เขื่อนสิริกิติ์
จวนผู้ว่า
เขาพลึง
วัดทองเหลือ
สถานีรถไฟศิลาอาสน์
ข้าวพันผัก
อุตรดิตถ์ ตอน 5 ตอนจบ - จากลับแลถึงวัดกลางธรรมสาคร
ลับแล มาตามบานประตูไม้แกะสลักที่วัดดอนสัก
วัดกลาง มาตามจิตรกรรมฝาผนังเขียนสีฝุ่น
อาณาจักรโยนกนาคนครเชียงแสน เกิดสงครามและโรคระบาด ราษฎรจึงละทิ้งถิ่นฐานเดิมไป หาที่ทำกินใหม่
คนกลุ่มหนึ่งมีหนานคำลือ กับหนานแสนคำเป็นหัวหน้า
ฝันว่าว่าดวงวิญญาณของ เจ้าปู่พญาแก้ววงเมือง กษัตริย์แห่งนครโยนกมาบอกว่า มีแหล่งทำมาหากินอุดมสมบูรณ์ จึงอพยพมาจนที่แห่งนี้
จึงตั้งเมืองเรียกว่าบ้านเชียงแสน
ต่อมาพระเจ้าเรืองไทธิราช กษัตริย์แห่งโยนกนคร ได้ส่งเจ้าฟ้าฮ่ามกุมารมาปกครอง
เจ้าฟ้าฮ่าม ได้เขอแบ่งพระบรมสารีริกธาตุจากดอยตุงมาบรรจุไว้ที่สถูปเจดีย์วัดป่าแก้วเรไร - วัดแรกของเมืองลับแล
เมื่อเจ้าฟ้าฮ่ามเสด็จสวรรคตจึงนำอัฐิของพระองค์มาบรรจุไว้ ณ ม่อนอารักษ์
เกิดประเพณีแห่น้ำขึ้นโรงเพื่อทำการสักการะ ในวันที่ 14 เมษายน ของทุกปี
ฐานเขียงสี่เหลี่ยม ฐานปัทม์สองชั้นมีอกไก่ เรือนธาตุมีอกไก่ยกเก็จ มีซุ้มพระเจ้าทั้งสี่ด้าน
ถัดไปเป็นฐานปัทม์กลม รับบัวปากระฆัง
องค์ระฆังมีรัดอก บัลลังก์ ปล่องไฉน ปลียอดปกฉัตร
ได้นำไม้สักมาสร้างวิหาร คนที่วัดเล่าว่า พระท่านไม่อยากให้ตัดต้นไม้ วัดจึงดูครึ้มร่ม
อุโบสถ
ตัวเสาประตูเป็นลายกนกใบเทศสลับลายกนกก้ามปู
บานประตูเป็นไม้แกะสลักทั้งบาน รูปลายกนกก้านขด
มีรูปสัตว์หิมพานต์แทรกอยู่ในลวดลายกนกต่าง ๆ
บานซ้ายและขวานั้นไม่เหมือนกัน
แต่เมื่อปิดบานแล้วลวดลายมีความลงตัวเข้ากันได้สนิท
สีฝุ่นโบราณที่ใช้เขียนเป็นผงคล้ายแป้ง ทึบแสง เวลาระบายต้องผสมกาวหรือไข่ขาว
เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังบ้านเราเขียนในพื้นที่แห้งสนิทแล้ว ทั้ง พื้นไม้ พื้นปูน ฯลฯ
เพราะให้เวลาในการเขียนนาน จึงเขียนได้ลายละเอียดดี ข้อเสียคือสีติดทนน้อยกว่า
อีกวิธีเป็นการเขียนลงบนผนังเปียกชื้นอยู่ ให้เวลาในการเขียนแค่ปูนแห้งแต่จะดูดสีเข้าไปได้ดีกว่า สีจึงติดทนกว่า
วัดอยู่ที่ จากถนนอุตรดิตถ์ - พิษณุโลก เลี้ยวไปทางศรีสัชนาลัย
ลงจากสะพานข้ามแม่น้ำน่านเลี้ยวซ้ายก่อนข้ามทางรถไฟ วัดอยู่ซ้ายมือ
บรรยายตามที่บอกทางคนขับ
เคยเป็นท่าจอดเรือเพื่อเดินเท้าไปนมัสการพระแท่นศิลาอาสน์ โดยเดินผ่าน บ้านเกาะ วัดทองเหลือ วัดบรมธาต์ทุ่งยั้ง ถึงพระแท่นศิลาอาสน์
ต่อมาลำน้ำเปลี่ยนทางไหลห่างไป หน้าวัดกลายเป็นบุ่งน้ำ
อุโบสถ
หน้าบันมีมุกประเจิด หรือมุกทะลุขื่อ เหมือนวัดท่าเสา - อยุธยาตอนปลาย
รูปครุฑยุดนาค ... พระราชลัญจกร ในรัชการที่ 2 ลายก้านขด เทพพนม และสัตว์ต่าง ๆ
หน้าบันชั้นบนเป็นรูปราหูอมจันทร์
บานประตู หน้าต่าง แกะลวดลาย ประดับกระจกสี - เข้าใจแล้วว่ากระจกสีเมื่อสะท้อนแสงแดดสวยเพียงไร
พระสาวกสององค์คงหายไป ดูจากจิตรกรรมฝาผนัง
แถวล่างฝั่งขวาพระเป็นรูปนักสิทธิ์วิทยาธร - ภาพใคร ๆ ว่าเขียนเรื่องเวสสันดรชาดก - แต่ยังสงสัยเพราะไม่เห็นกัณหา ชาลี
เตมีใบ้ มหาชนก สุวรรณสาม ภูริทัตชาดก ไม่ชัดเนมิราช - เห็นยักษ์ตัวเขียว