จากใจ HR ถึง เพื่อนพนักงานภาคบริการ ท่องเที่ยว ที่กำลังหางาน


.
.        สวัสดีครับ วันนี้ผมจะมาแชร์เรื่องราว เทคนิค การช่วยหางาน สำหรับคนทำงานภาคบริการ และการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโควิดจนทำให้ต้องออกจากงาน หรือตกงาน ตัวผมเองทำงาน HR ด้านการสรรหาบุคลากร ก็พบว่าปีนี้ คนทำงานภาคบริการ ท่องเที่ยว ส่งเรซูเม่ เข้ามาสมัครงานกันเยอะมากเลยนะครับ แต่แทบไม่มีใครผ่านเกณฑ์  ผมเลยอยากมาแชร์เทคนิค บอกเล่าเรื่องราว เผื่อจะเป็นตัวช่วยให้ทุกคนที่กำลังตกงานอยู่ มีหนทางหางานได้ดียิ่งขึ้น

.
1
.       อย่างแรกเลยขอให้กำลังใจทุกคนก่อนว่า ถึงแม้ภาคบริการ ท่องเที่ยวจะวิกฤตอย่างหนัก แต่ภาคธุรกิจอื่นๆ ยังมีบริษัทจำนวนมากนะครับ ที่หาคนเก่งๆมาร่วมงานด้วยอยู่ อย่างของผมก็ยังคงรับคนเข้ามาทำงานเรื่อยๆ และพนักงานในบริษัทเองก็ยังคงมีการเปลี่ยนงาน หมุนเวียนงาน แถมตอนนี้ช่วงปลายปี คนกลับลาออกกันเยอะมากด้วยครับ  มันจึงเป็นโอกาสให้ตลาดหางานเริ่มครึกคักขึ้น แต่การแข่งขันก็รุนแรงเช่นกันครับ   เพราะมือเก่าที่กล้าเปลี่ยนงานช่วงนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกมั่นใจในฝีมือ อายุไม่มาก และต้องการเงินเดือน หรืองานที่ก้าวหน้ามากขึ้น  แต่มั่นใจได้เลยว่ายังมีงานดีๆ รอคนที่เหมาะสมเข้าไปทำงานอยู่เสมอ
.
.
2
.       อย่าคาดหวังมากจนเกินไป หลายครั้งที่เจอคนทำงานภาคบริการโทรเข้ามาสอบถามงาน บางครั้งเห็นเงินเดือนที่ต้องการแล้วก็แทบเป็นลมหงายท้องตึง ผมเข้าใจนะครับงานเก่าก่อนของพวกคุณรายได้ค่อนข้างดี แต่ก็อย่าลืมนะครับว่ามันแลกมาด้วยความเสี่ยง เข่นที่เจออยู่ ณ ขณะนี้ การหวังว่ามา สมัครงานออฟฟิศแล้วจะได้เงินเดือนเท่าเดิม โอกาสแทบจะน้อยมาก คือต้องทั้งโชคดีและเก่งจริงๆครับคุณถึงจะได้ ต้องอย่าลืมว่าชุดประสบการณ์ที่คุณมี กับทักษะงานในออฟิศมันต่างกันนะครับ การที่เรารับคุณเข้ามาแทบจะต้องเสี่ยงดวงสุดๆเลยละ เพราะไม่มีประสบการณ์ตรงมาการันตีฝีมือคุณเลย
.
ในฐานะ HR อย่างผม ถ้าต้องจ่ายแพงจ้างพนักงาน ผมก็ยิ่งต้องมั่นใจสุดๆ ไม่อย่างนั้นเวลาผมส่งเรื่องอนุมัติขอพนักงาน คงจะโดนด่าเปิงว่า กล้ารับมาได้อย่างไรเงินเดือนขนาดนี้ แต่ไม่มีประสบการณ์ตรง และอย่างที่ผมบอกไปคุณกำลังแข่งขันกับคนเก่งที่มีประสบการณ์ ที่ก็หางานเช่นเดียวกับคุณ และพวกนี้เขาก็รู้ดีว่า เขาจะเรียกเงินเดือนที่เท่าไหร่ ที่แทบจะทำให้บริษัทรับเข้าทำงานแบบทันที
.
.
3
.       เสริมทักษะกันหน่อย   ตำแหน่งงานที่คนภาคบริการสมัครเข้ามากันค่อนข้างเยอะคือ งานจัดซื้อเกี่ยวกับต่างประเทศ งานขาย งานประสานงาน หรืองานที่ต้องใช้ภาษา  ผมถือว่าพวกคุณมีจุดแข็งในเรื่องของภาษา แต่นั่นก็เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น ภายใต้มันยังมีทักษะอื่นๆที่คุณจำเป็นต้องเสริมมากมาย เช่น การใช้โปรแกรม MS Office / การรู้ข้อกำหนดต่างๆ / ความรู้ด้าน marketimg / ทักษะด้านงานธุรการ งานเอกสาร / ทักษะการขาย
และบลาๆ ตามแต่ตำแหน่งงานนั้นๆ 
.
หลายครั้งที่พบเจอคือ “ฉันมีประสบการณ์ บลา บลา บลา มา แต่ไอประสบการณ์ที่ว่ามานั้นแทบใช้ไม่ได้เลยกับงานที่สมัครเข้ามา มันก็เหมือนตำน้ำพริกละลายแม่น้ำละครับ ทางที่ดี เอาเวลาลองไปศึกษาข้อมูล เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ โยนเอาชุดประสบการณ์เก่าทิ้งไปก่อน เริ่มต้นนับ 1 ใหม่ และโอกาสการหางานจะมีเพิ่มมากขึ้น
.
.
4
.       งานออฟฟิศ มันไม่น่าสนุก มันไม่ได้เที่ยว ไม่ได้เดินทาง ได้พบปะผู้คน คุณต้องทำใจยอมรับความน่าเบื่อนี้ให้ได้ กับการตื่นนอนตอนเช้าเพื่อมาเข้างาน ตรอกบัตรออกตอนเย็นเพื่อฝ่ามรสุมรถติดกลับบ้าน ผมเชื่อว่าอะไรหลายๆในชีวิตคงจะเปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย ขนาดเราคนทำงานออฟิศเอง ยังต้องเปลี่ยนเลยในปีนี้  มันจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราควรปรับตัว   (แต่มันก็มีข้อดีให้คุณจัดการบริหารเวลาชีวิตได้ง่ายขึ้นนะ)
.
.
5
.       อย่าใจร้อน   การหางานดีๆสัก 1 งาน มันไม่ใช่ส่งใบสมัครไปวันนี้และจะได้เลยในอาทิตย์หน้าเลย สำหรับคนที่ตกงาน ก่อนสมัครงานทุกครั้งอยากให้ลองศึกษาข้อมูลให้ดีๆก่อนครับ ทำความเข้าใจตำแหน่งงาน ความเป็นไปได้  ถ้าให้ดีถาม HR ไปเลยครับ  ประสบการณ์ไม่ตรงรับไหม ถ้าไม่รับเราจะได้ไปที่อื่น   และระหว่างการสัมภาษณ์เองอันนี้ในมุมมองผมนะครับ คำว่า “ถึงผมจะไม่มีประสบการณ์ตรง แต่ถ้ามีคนสอนงานผมคิดว่าผมทำได้แน่นอนครับ” เพราะเรื่องจริงไม่มีใครมานั่งสอนคุณหรอกครับ พูดง่ายๆคือถ้าเงินเดือนเกิน 20000 คุณไม่ใช่เด็กจบใหม่แล้วครับ คุณต้องสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตนเองให้มากที่สุด  แต่ถ้าคิดว่ายังต้องรอคนสอนงานอยู่ก็ยอมลดเงินเดือนลงมาเท่าเด็กจบใหม่ดีกว่าครับ เพราะเด็กจบใหม่สมัยนี้เงินเดือนไม่สูง แต่ก็สามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้อย่างรวดเร็ว  
.
.
6
เทคนิคการแข่งขันการผู้สมัครคนอื่นที่มีประสบการณ์
คนเก่งๆที่มี ปสก ตรง จะมีสิ่งหนึ่งที่มีกัน(ไม่ทุกคน) คือ กูไม่ง้อ กูเลือกได้ ดังนั้นเขาจะไม่ได้ออกอาการว่าอยากได้งานนั้น คือคุณไม่เลือกผม ผมก็ไม่เลือกคุณเหมือนกัน  บางทีบริษัทเองเจอคนเก่งๆ ก็ทำใจไว้แล้วว่าเขาอาจจะอยู่กับเราไม่นาน หรืออาจจะเปลี่ยนความสนใจได้ตลอดเวลา
.
ดังนั้นเอง คนหางานที่ไม่ได้มี ปสก ตรงถ้าเราแสดงความมุ่งมั่นว่าต้องการทำงานนั้นจริงๆ มันก็เป็นคะแนนให้คุณได้นะครับ และอีกจุดหนึ่งสำหรับคนทำงานภาคบริการที่ผมกังวลเวลารับสมัครคือ กลัวว่าพอสถานการณ์โควิดดีขึ้น  ทุกคนก็จะลาออกกลับไปทำงานเดิมของตน  มันก็เป็นคำถามที่ว่าการที่บริษัทเสียโอกาสรับคุณเข้ามา และถ้าคุณอยู่ไม่นานเราก็ต้องเสียเวลาหาคนใหม่อีก มันจึงเป็นสิ่งที่คุณต้องทำให้เรามั่นใจ
.
.

“อย่าใช้คำว่าพร้อมเรียนรู้  แต่ให้เรียนรู้มาก่อนที่จะสมัครเข้ามา”  ทุกวันนี้สื่อการเรียน การหาข้อมูลมีอยู่เยอะมากให้เราเลือกศึกษา การเสียเวลาไปลงเรียน อบรม พัฒนาความรู้ก่อน ผมว่าสำคัญกว่าการมานั่งหว่านใบสมัครหางานไปทั่วอีก ลองหาตำแหน่งที่ตนเองสนใจให้เจอครับ และลองไปลงคอร์สเรียนสั้นๆดู  เพราะตอนนี้พวกสถาบันอบรมก็กลับมาสอนกันเกือบหมดแล้ว (แต่เลือกดีๆหน่อยนะ บางทีแพงก็แพง เหมือนเอาข้อมูลมาแปะๆแล้วสอน) 
"บริษัทไม่ใช่โรงเรียนที่คุณจะมาหาความรู้ แต่บริษัทคือสื่อกลางที่คุณจะนำความรู้ของคุณ มาแลกกับประสบการณ์ทำงานซึ่งกันและกัน"
.
.
สุดท้ายสิ่งที่ผมพูดมา เป็นเหมือนมุมมองจากฝั่งนายจ้าง ที่กำลังหาคน  ผมเองก็อยากฟังมุมมองจากคนหางานจากภาคบริการ ว่าคิดเห็นกันอย่างไร และเป็นอย่างไรกันบ้างครับสำหรับการหางานทำในช่วงนี้  แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ขอให้กำลังใจทุกคนให้หางานที่ตนเองชอบทำให้ได้ครับ 

ขอบคุณรูปภาพโดย Gerd Altmann จาก Pixabay 
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่