กับดัก การศึกษา จากการเรียนมหาวิทยาลัย

สังคมเรา ยึดติดกับการสอบเข้ามหาลัยดัง จ่ายค่าเทอมแพงๆไปเพราะเชื่อว่าจะมีอนาคตที่ดี ฝึกฝนความสามารถให้เป็นคนเก่งของสังคมได้
 
แต่ความเป็นจริง การมีอนาคตที่ดี คือ การที่เรามีทักษะการทำงานที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง มีทักษะทางสังคมที่โอเค และสามารถเขียนใส่ใน Resume ได้อย่างมั่นใจ
 
แต่ผมไม่เข้าใจ ทำไมหลายคนที่เรียนมหาลัยถึงไม่ค่อยสังเกตกัน ว่าระบบการศึกษาจากมหาลัยนั้นไม่โอเคเป็นอย่างมาก ค่อนข้างเข้าข่ายล้มเหลวสุดๆ
 
ผู้ปกครองของเราต้องเสียเงินจำนวนมหาศาลสำหรับการศึกษาที่มากกว่า 90 % คือการเรียนแบบท่องจำเพื่อนำไปสอบ แทนที่จะเน้นการฝึกให้นักศึกษามีความสามารถในการทำงานจริงให้เป็นและเก่ง แต่มหาลัยกลับเอาแต่หมกมุ่นกับเกรดการเรียน ผสมกับทฤษฎีมากมายที่ล้าหลังและค่อนข้างเปล่าประโยชน์
 
สุดท้ายผลลัพท์ที่เกิดขึ้นจากการเรียนมหาลัย คือ
- นักศึกษาไม่มั่นใจในตนเอง เพราะเรียนหนักมีความกดดันสูง และบทลงโทษจากการเรียนไม่ผ่านคือโหดร้ายมาก
- เรียนเพื่อให้รอดผ่านๆไปในแต่ละเทอม ทำให้หลงลืมความรู้ที่เรียนไปจากเทอมก่อนหน้า เพราะต้องจดจ่อกับวิชาต่างๆในเทอมปัจจุบัน
- ในเมื่อเน้นแต่เรียนสอบ จึงไม่มีทักษะการทำงานที่เด่นชัด เพราะไม่ได้สัมผัสงานจริงเท่าที่ควร
- สุดท้าย พอจบออกมา ก็เป็นแค่คนที่ยังทำงานไม่ค่อยเป็น ไม่มั่นใจ ต้องไปฝึกฝนตอนที่มีงานทำใหม่ๆอีกที
 
ต่อไปนี้ จะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวสุดแย่ 11 ข้อ ที่ได้จากการเรียนมหาลัยดัง คณะชื่อดัง ในภาคอีสาน ที่ใครๆต่างก็อยากเข้านักหนา
 
1. บางวิชาได้เรียนแบบล้าหลังเป็นอย่างมาก อย่างเช่น วิชา Drawing ที่ต้องวาดเขียนแบบอย่างยากเย็น ถ้าหากเผลอทำผิดก็ต้องลบทำใหม่ ซึ่งเสียเวลาแก้มหาศาล
- ทั้งๆที่การทำงานจริง มันไม่มีใครมานั่งวาดแบบนี้กันแล้ว เขาใช้โปรแกรม AutoCad วาดให้ ทั้งสะดวกและรวดเร็ว แม้ทำผิด ก็สามารถแก้ไขแบบได้อย่างง่ายดายและแม่นยำ ทั้งๆที่ AutoCad สำคัญขนาดนี้ แต่ได้เรียนแค่ไม่กี่คาบ นอกนั้นเสียเวลาไปกับการวาดใส่กระดาษทั้งหมด
 
2. บางวิชา มันไม่ได้จำเป็นต้องเอามาให้เรียนเลย ไม่ได้เกี่ยวข้องกัน ไม่ได้ใช้ในการทำงานจริงเลย ยกตัวอย่างเช่น
- วิศวะโยธา(ก่อสร้าง) ต้องเรียนวิชาเคมี เรียนแลปเคมี เรียนการเขียนภาษาคอมพิวเตอร์ เรียนฟิสิกส์ไฟฟ้า เรียนเรื่องคลื่น
- หมอต้องเรียนคณิตฟิสิกเคมีชีวะจาก ม.ปลาย ใหม่หมด สูญเสียเงินค่าเทอมและเวลาไปฟรีๆปีนึง
หากลบวิชา และเนื้อหาบางบทที่มันไม่เกี่ยวข้องออก มันแทบจะลดระยะเวลาการเรียนลงได้ถึง 1 ปี ด้วยซ้ำ
 
3. ค้นพบว่าการทำงานจริง หากเราหลงลืมความรู้บางอย่างที่จำเป็นต่องาน เราสามารถค้นหา/ทบทวนความรู้ใดๆได้เสมอ ไม่เว้นแม้แต่การปรึกษาผู้เชี่ยวชาญที่รู้จัก เพราะจุดมุ่งหมายสูงสุดคือการสร้างผลงานออกมาให้ Perfect ที่สุด และรวดเร็วที่สุด เท่าที่เป็นไปได้
- แต่ในมหาลัยจุดมุ่งหมายไม่ใช่การฝึกทำงานให้เป็น แต่คือการสอบ ซึ่งหากหลงลืมความรู้ที่อ่านมา ก็ช่วยไม่ได้โง่เอง ความจำสั้นเอง ถ้าจำไม่ได้ก็ตกไปซะ (สอบไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายก็ลืม)
 
4. ค้นพบว่าตอนฝึกงาน ความรู้ใดๆที่จำเป็นที่เคยลืมไปแล้ว มันจะเริ่มเป็นความรู้ถาวรในสมอง เพราะ ตอนทำงานมันได้ใช้เรื่อยๆ ซึ่งถือเป็นการทบทวนบ่อยๆไปในตัวจนติดหัว
- ซึ่งไม่เหมือนกับการสอบ ที่ใช้ความรู้แค่ครั้งเดียวให้สอบผ่าน แล้วก็ไม่ได้ทบทวนอีก เพราะต้องหมกมุ่นกับวิชาความรู้ของเทอมถัดไป
 
5. ในขณะที่โลกไปไหนถึงไหน แต่กับบางวิชา มันไม่จำเป็นต้องมานั่งคำนวณมือยากๆเลย บางวิชาต้องมานั่งคิดคำนวณ หลายขั้นตอน หลายชั่วโมงจนสมองบวม แถมยังสามารถเกิดความผิดพลาดได้ง่าย
- ทั้งๆที่ทำงานจริง ก็แค่กำหนดเป้าหมายที่อยากได้ แล้วกรอกข้อมูลลงในโปรแกรม ไม่กี่วิก็จบได้คำตอบเสร็จสิ้น แทนที่จะเสียเวลามาสอนให้นักศึกษานั่งคำนวณจนสมองบวม ทำไมไม่สอนให้นักศึกษาใช้โปรแกรมเหล่านี้ให้ชำนาญ เพราะเขาจบไป เขาจะต้องอยู่กับมัน ไม่ได้มานั่งคำนวณมือแล้ว
 
6. วิชาลูกโซ่(วิชาที่ติดเงื่อนไข ถ้าเรียน A ยังไม่ผ่าน ห้ามลงเรียน B) ถือเป็นอุปสรรคแสนสาหัส เพราะมันทำลายจิตใจ+เงินทอง+เวลา ของนักศึกษาเป็นอย่างมาก
- คิดดูว่า นักศึกษาบางคน เขาเหลือแค่ 4-5 วิชาก็จบ(ปกติเทอมละ 7 วิชา) ซึ่งมันลงเทอมเดียวก็จบแล้ว แต่มันแย่ตรงที่ ใน 5 วิชาเหล่านั้น ดันเป็นวิชาลูกโซ่ ทำให้แม้จะเหลือแค่ 5 วิชา แต่ต้องลงอย่างน้อย 2 เทอมการศึกษา ซึ่งสูญเสียเวลาชีวิตเพิ่มครึ่งปี + ค่าเทอม 1 เทอม ทั้งๆที่มันจัดสรรสร้างกฎและเงื่อนไขใหม่ได้ง่ายๆ แต่ไม่คิดจะทำ แล้วยิ่งเป็นวิชาลูกโซ่ 3 ติด ก็แล้วใหญ่ แล้วคณะผมดันมีวิชายาก 3 วิชา ที่เป็นวิชาลูกโซ่นี้ ติดกัน 3 ต่อ ซึ่งยากทั้ง 3 วิชา
 
7. โลกมาไกลขนาดนี้ แต่ระบบเอกสารยังคงอยู่ และวุ่นวายเป็นอย่างมาก
- การลงทะเบียนแบบเงื่อนไขพิเศษ หรือการดำเนินเรื่องใดๆในยุคนี้ มันควรเป็นแบบออนไลน์ได้แล้ว ยิ่งขึ้นชื่อว่ามหาลัยชั้นนำ จะยังใช้ระบบล้าหลังโบราณแบบนี้อีกทำไม เทคโนโลยีอยู่ตรงหน้าไม่เลือก กลับเลือกแบบโบราณล้าหลัง ต้องไปนั่งล่ารายเซ็นต์เรียงคนเพื่ออะไร แค่จัดเป็นระบบออนไลนต์แล้วส่งเรื่องให้อาจารย์แต่ละท่านรับทราบ ไม่ดีกว่าหรอ
 
8. ครูบาอาจารย์หลายคน ถ่อย หยาบ กู ขึ้นเสียง เสียงดัง เหมือนทะเลาะกับที่บ้านมา
- นี่นักศึกษาไม่ได้มาเรียนฟรี ผู้ปกครองเขาจ่ายค่าเทอมมาเรียนกันทั้งนั้น อาจารย์แต่ละท่านก็ได้เงินเดือนอย่างเยอะเป็นค่าตอบแทน ดังนั้น ครูบาอาจารย์ไม่ควรทำตัวยิ้ม ควรวางตัวให้เหมาะสม ควรเป็นเยี่ยงอย่างให้นักศึกษาชื่นชม ไม่ใช่มาวางตัวบ้าอำนาจ มีอัตตา คลาสกู วิชากู ครูบางคนยังชอบลงโทษให้นักศึกษาอับอาย ด่าทอเขาต่อหน้าคนอื่น ใช้น้ำเสียงที่ไม่น่าฟัง โยนรายงานนักศึกษาลงถังขยะ หากทำมาไม่ถูกต้อง หรือไม่พอใจ
 
9. การสอบ ที่มีแค่มิดเทอมกับไฟนอล (จำเป็นแค่ไหน ?)
- วิชาต่างๆว่ายากแล้ว แต่การสอบ คือการมัดรวมวิชายากๆทั้งหมด มากระจุกตัวอยู่แค่สัปดาห์เดียวให้สอบ ซึ่งมันทำให้นักศึกษาเครียดกันเป็นอย่างมาก ด้วยเนื้อหาวิชามากมาย ต้องจำให้ได้ ต้องเข้าใจให้ทัน คำถามคือ แล้วทำไมไม่แบ่งสอบให้มันย่อยลงมากกว่านี้ เปลี่ยนจากมิดเทอมกับไฟนอล เป็นการสอบประจำเดือน หรือประจำบทหลังเรียนบทนั้นๆจบไปเลยดีกว่ามั้ย นักศึกษาจะได้ไม่เครียดมาก จะได้ลดภาระของจิตแพทย์ลงได้เยอะ แบ่งสอบไป ก้ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาวิชาจะลดลงนี่จริงไหม เนื้อหาก็ยังเท่าเดิม เหมือนเดิม แถมยิ่งแบ่งเยอะ ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้นักศึกษาตื่นตัวบ่อยขึ้น ไม่เอ้อระเหยเหมือนตอนที่ต้องรอนานๆแล้วสอบทีเดียวเหมือนมิดเทอมกับไฟนอล
 
10. ยังไงก็ตาม การทำงานจริง มันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับการสอบเลย ส่วนมากการสอบพวกนี้ ใช้แค่สอบให้ได้ใบต่างๆมาครอบครอง ประโยชน์ของการสอบมีแค่นี้จริงๆหรอ
- การทำงานจริงมันไม่มีหรอกนะการสอบน่ะ มันคือการเค้นความสามารถเอามาใช้ การทำงานเป็นทีม การประสานงานที่ดี การสื่อสารที่ชัดเจน ผสมกับความชำนาญในการนำเทคโนโลยีต่างๆมาอำนวยความสะดวก มหาลัยและระบบการคัดกรองใบประะกอบวิชาชีพ ควรเปลี่ยนใหม่นะ ควรทดสอบการทำงานจริงของคน ไม่ใช่การสอบแบบนี้
 
11. บทลงโทษของคนที่สอบไม่ผ่าน มันร้ายแรงกว่าการออกจากงานด้วยซ้ำ
- หากเราได้ออกจากงาน เราก็แค่หางานใหม่ทำได้โดยทันทีขึ้นอยู่กับเรา แต่การสอบตกของมหาลัย บทลงโทษคือ คุณต้องเสียเวลาเพิ่ม 1 เทอม พร้อมกับต้องรบกวนผู้ปกครองจ่ายค่าเทอมใหม่อีกครั้ง เพื่อลงทะเบียนเรียนแก้ ซึ่งถือว่าเป็นความรุนแรงอย่างมาก แต่หากโชคดีตารางเรียนไม่ชนกับวิชาอื่น ก็ดีไป แต่ก็ต้องเรียนหนักเพิ่มขึ้นมาอีก 1 วิชา
 
ทั้ง 11 ข้อ ที่คิดออกได้ตอนนี้ คือความบัดซบที่สุด ที่ไม่รู้ว่าระบบการศึกษาไทย คิดบ้าอะไรอยู่ ทำไมไม่เน้นฝึกคนให้ทำงานเป็น ทำงานเก่ง จะเน้นฝึกคนให้สอบเก่งไปเพื่ออะไร
เราให้พ่อกับแม่เสียเงินจำนวนมาก เสียเวลาชีวิตแสนนาน เพื่อฝึกให้ตัวเราจบออกมาเป็นคนสอบเก่ง แต่ยังทำงานไม่ค่อยเป็น แบบนั้นหรือ ?
 
ลองย้อนกลับมามองสภาพการทำงานจริงๆ
- ควรเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถในการทำงานอย่างน้อยด้านใดด้านหนึ่งอย่างเชี่ยวชาญ
- ควรเป็นคนที่มีทักษะการสื่อสารที่ดี ชัดเจน สุภาพ และตรงประะเด็น
- ควรเป็นคนที่มีทักษะการใช้เทคโนโลยีต่างๆมาเสริมด้านการงานได้อย่างดี
- ควรเป็นคนที่ฉลาด คิดเก่ง สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในหน้างานได้ Work
- ควรเป็นคนที่มีสภาวะ สภาพอารมณ์ที่โอเค แม้จะมีปัญหาต่างๆบ้าง แต่ก็สามารถควบคุมตนได้
- ควรเป็นคนที่มีพัฒนาการเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ไม่มากก็น้อย
- ควรเป็นคนที่สุขุมรอบคอบ ทำงานได้อย่างระมัดระวัง ผิดพลาดน้อยที่สุด
- และอื่นๆ ฯลฯ
 
จะสังเกตุได้ว่า จากด้านบนที่กล่าว นอกจากความรู้และการสอบแล้ว นอกนั้นมหาลัยแทบไม่ได้สอนเราเลย เราต้องฝึกฝนด้วยตนเองทั้งนั้น ซึ่งถือเป็นสิ่งที่ผิดพลาดเป็นอย่างมาก
ทั้งๆที่คอนเซปบทบาทหน้าที่สำคัญของมหาวิทยาลัย คือ "ผลิตบัณฑิตอาชีพตามคณะและสาขาที่เรียน ที่มีคุณภาพเข้าสู่ตลาดแรงงาน"
ตกลงแล้ว มหาวิทยาลัย มองนิยามคำว่า บัณฑิตอาชีพ ที่มีคุณภาพ คือ "คนที่แก้โจทย์ข้อสอบเก่ง" หรือ "คนที่ทำงานเก่งมีคุณภาพ" กันแน่
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่