คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
ตอบไล่ไปทีละคำถามนะครับ ( ปฎิบัติตามมหาสติปัฏฐานสูตรสติปัฏฐานสูตรมหาสุญญตสูตร......)
"- จิตคืออะไร? (รู้กับคิด?) "
เห็นอาการคิด คือ เห็นอาการสังขารขันธ์ทำงานในปัจจุบัน ( ละเอียดกว่านั้นคือแยกอุปาทานสังขารขันธ์ออกจากสังขารขันธ์ได้ )
เห็นอาการรู้ คือ เห็นอาการวิญญาณขันธ์ทำงานในปัจจุบัน ( ละเอียดกว่านั้นคือแยกอุปาทานวิญญาณขันธ์ออกจากวิญญาณขันธ์ได้ )
สำหรับท่านผู้ฝึกสติปัฏฐานได้สำเร็จจริง เมื่อเห็นอาการคิด จะไม่เห็นอาการรู้ / เมื่อเห็นอาการรู้ จะไม่เห็นอาการคิด
เพราะปฎิบัติธรรมในธรรม อุปาทานขันธ์5 ......อย่างนี้สังขาร....อย่างนี้ความเกิดแห่งสังขาร...อย่างนี้ความดับแห่งสังขาร
....อย่างนี้วิญญาณ...อย่างนี้ความเกิดแห่งวิญญาณ...อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ ....
เห็นอย่างนี้ได้จะรู้ชัดว่า คิดไม่ใช่จิตแต่คิดคือสังขารขันธ์ที่ประกอบกับจิต แต่ รู้คือการของจิตทำงานผ่านผัสสะ....ผ่านทวารทั้ง 6 เมื่อธรรม 3 ประกอบเข้าด้วยกัน
"- คิด ปรุง รู้ ต่างกันอย่างไร? "
อธิบายไว้ข้างบนแล้ว
"- "จิตรวม (ภาษาพระป่า) คืออะไร? เป็นอย่างไร? "
คือธรรมเอกผุดขึ้นในใจ ( ดับทวารทั้ง 5 คือ ตาหูจมูกลิ้นกาย )
เห็นดำรงจิตภายใน จิตภายในสงบ ตั้งจิตภายในมั่นด้วยฌานวิตกวิจาร.....ดำรงสุญญตสมาบัติภายใน ( ใจ )
"- "ฐีติจิต" (ศัพท์ลป.มั่น) คืออะไร เป็นอย่างไร? "
เห็นที่ตั้งของจิตรวมภายใน.....สภาวะธรรมเทียบกับอรรถกถาคือ เห็นหทัยวัตถุ ( นามรูปอิงกันยามปฎิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพและสืบต่อ )
"- เอโกทิภาวะเป็นอย่างไร? "
อธิบายไว้แล้วในเรื่องจิตรวม....ธรรมเอกผุดขึ้นในใจ...ดำรงสุญญตสมาบัติภายใน...จิตตั้งมั่นในสุญญตสมาบัติภายในไม่หวั่นไหว....
"- การเห็นจิตคืออย่างไร มีอาการ? "
ท่านผู้ฝึกสติปัฏฐานสำเร็จ จิตในจิต...จิตมีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตมีโมหะก็รู้....เกิดจากอามิสหรือไม่มีอามิสก็รู้.....
.......จิตตั้งมั่นในภายใน( ฌาน )ก็รู้....อาการรู้คือวิญญาณขันธ์ ( เพราะแยกกายเวทนาจิตธรรมได้...จึงแยกขันธ์5ได้...จึงรู้เห็นจิตได้จริง )
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นรูป
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นเวทนา
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นสัญญา
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นสังขาร ( คิด ปรุงแต่ง...)
.....และย้อนกลับกัน...ขณะเห็นรูปกายในกายจะไม่เห็นจิต...ขณะเห็นเวทนาในเวทนาจะไม่เห็นจิต....ขณะเห็นสัญญา(จำได้)จะไม่เห็นจิต
.....ขณะเห็นสังขาร(คิด)จะไม่เห็นจิต(รู้).....
"- การเห็นจิตแตกต่างอย่างไรกับการเห็นทางอายตนะทั่วไปหรือไม่ อย่างไร? "
ต่างและไม่ต่าง ( ขึ้นกับบุคคลปฎิบัติละเอียดลึกซึ้งเพียงใด )
ผัสสะกระทบทางทวาร 6....จิตทำงานแล่นไปในทวารที่เด่น...วิญญาณขันธ์เกิดขึ้นในทวารนั้น...อาการนี้จิตไม่ต่างกันในแต่ละทวาร
ผัสสะกระทบทางทวาร 6....บุคคลฝึกจิตภายในเป็นธรรมเอก..ไม่หวั่นไหวไปกับอาการผัสสะกระทบในทวาร...สุญญตาสมาบัติยังคงแล่นไปว่างในภายใน.....จิตภายในหทัยวัตถุสว่างสงบกว่าจิตที่แล่นไปในทวารที่เหลือทั้ง 5....( ทางอายตนะใจสว่างสงบ....ทางอายตนะอื่นว่างแล้วแล่นกลับมาที่อายตนะใจ )
- อุบายการเห็นจิตคืออย่างไร?
ฝึกตามสติปัฏฐานสูตร....ละอภิชฌาและโทมนัสในโลก...มีสติสัมปชัญญะเพียรเผากิเลส( อุปกิเลส 16 ).....
เห็นธรรมในปัจจุบัน ( ห้ามตรึก..)....กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ทั้งหมดสรุปรวบวิธีปฎิบัติตาม สามัญญผลสูตร มหาสีหนาทสูตร......
- อุปกิเลส16 ที่บังจิตอยู่จะถูกระงับตอนเห็นจิตใช่หรือไม่?
ใช่ในระดับอุปกิเลสหยาบ
ไม่ใช่ในระดับอุปกิเลสละเอียด
เพราะ ขึ้นกับเห็นจิตหยาบหรือละเอียด....เช่น จิตมีราคะ...จิตฌาน..จิตหลุดพ้นแบบกดทับ...จิตหลุดพ้นแบบประหาร....
- เห็นจิตแล้วทำอย่างไร?
ทำตามสามัญญผลสูตร มหาสีหนาทสูตร.....
" ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ
นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น
แม้จากกามาสวะ แม้จากภาวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้น
แล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี นี้เป็นปัญญาสัมปทาของเธอประการหนึ่ง ดูกรกัสสป นี้แลปัญญาสัมปทา.
ดูกรกัสสป สีลสัมปทา จิตตสัมปทา ปัญญาสัมปทา ข้ออื่นที่ยิ่งกว่าหรือประณีตยิ่งกว่า
สีลสัมปทา จิตตสัมปทา ปัญญาสัมปทานี้ไม่มีเลย. "
" ๒. มหาราหุโลวาทสูตร
เรื่องพระราหุล
[๑๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี..................................
.........................................................................
[๑๔๖] ดูกรราหุล เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะอานาปานสติที่บุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผล มีอานิสงส์ใหญ่. ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญอย่างไร
ทำให้มากอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่? ดูกรราหุล ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติ
หายใจออก มีสติหายใจเข้า. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียก
ว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียก
ว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจาก
ราคะหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจออก ย่อมสำเหนียก
ว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่
สละคืน หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน หายใจเข้า. ดูกรราหุล
อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ดูกรราหุล เมื่ออานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ลมอัสสาสะ
ปัสสาสะ ครั้งสุดท้าย อันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติทราบชัดแล้ว ย่อมดับไป หาเป็น
อันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติไม่ทราบชัดแล้ว ดับไปไม่ได้ดังนี้. "
ปฎิบัติธรรมตามข้างบน บรรลุธรรมได้จริงแน่นอนครับ
แต่
ถ้าปฎิบัติไม่ตรงตามข้างบน ไม่มีทางบรรลุธรรมแน่นอนอีกเช่นกัน
เจริญในธรรม ครับ
"- จิตคืออะไร? (รู้กับคิด?) "
เห็นอาการคิด คือ เห็นอาการสังขารขันธ์ทำงานในปัจจุบัน ( ละเอียดกว่านั้นคือแยกอุปาทานสังขารขันธ์ออกจากสังขารขันธ์ได้ )
เห็นอาการรู้ คือ เห็นอาการวิญญาณขันธ์ทำงานในปัจจุบัน ( ละเอียดกว่านั้นคือแยกอุปาทานวิญญาณขันธ์ออกจากวิญญาณขันธ์ได้ )
สำหรับท่านผู้ฝึกสติปัฏฐานได้สำเร็จจริง เมื่อเห็นอาการคิด จะไม่เห็นอาการรู้ / เมื่อเห็นอาการรู้ จะไม่เห็นอาการคิด
เพราะปฎิบัติธรรมในธรรม อุปาทานขันธ์5 ......อย่างนี้สังขาร....อย่างนี้ความเกิดแห่งสังขาร...อย่างนี้ความดับแห่งสังขาร
....อย่างนี้วิญญาณ...อย่างนี้ความเกิดแห่งวิญญาณ...อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ ....
เห็นอย่างนี้ได้จะรู้ชัดว่า คิดไม่ใช่จิตแต่คิดคือสังขารขันธ์ที่ประกอบกับจิต แต่ รู้คือการของจิตทำงานผ่านผัสสะ....ผ่านทวารทั้ง 6 เมื่อธรรม 3 ประกอบเข้าด้วยกัน
"- คิด ปรุง รู้ ต่างกันอย่างไร? "
อธิบายไว้ข้างบนแล้ว
"- "จิตรวม (ภาษาพระป่า) คืออะไร? เป็นอย่างไร? "
คือธรรมเอกผุดขึ้นในใจ ( ดับทวารทั้ง 5 คือ ตาหูจมูกลิ้นกาย )
เห็นดำรงจิตภายใน จิตภายในสงบ ตั้งจิตภายในมั่นด้วยฌานวิตกวิจาร.....ดำรงสุญญตสมาบัติภายใน ( ใจ )
"- "ฐีติจิต" (ศัพท์ลป.มั่น) คืออะไร เป็นอย่างไร? "
เห็นที่ตั้งของจิตรวมภายใน.....สภาวะธรรมเทียบกับอรรถกถาคือ เห็นหทัยวัตถุ ( นามรูปอิงกันยามปฎิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพและสืบต่อ )
"- เอโกทิภาวะเป็นอย่างไร? "
อธิบายไว้แล้วในเรื่องจิตรวม....ธรรมเอกผุดขึ้นในใจ...ดำรงสุญญตสมาบัติภายใน...จิตตั้งมั่นในสุญญตสมาบัติภายในไม่หวั่นไหว....
"- การเห็นจิตคืออย่างไร มีอาการ? "
ท่านผู้ฝึกสติปัฏฐานสำเร็จ จิตในจิต...จิตมีราคะก็รู้ จิตมีโทสะก็รู้ จิตมีโมหะก็รู้....เกิดจากอามิสหรือไม่มีอามิสก็รู้.....
.......จิตตั้งมั่นในภายใน( ฌาน )ก็รู้....อาการรู้คือวิญญาณขันธ์ ( เพราะแยกกายเวทนาจิตธรรมได้...จึงแยกขันธ์5ได้...จึงรู้เห็นจิตได้จริง )
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นรูป
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นเวทนา
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นสัญญา
ขณะเห็นจิต จะไม่เห็นสังขาร ( คิด ปรุงแต่ง...)
.....และย้อนกลับกัน...ขณะเห็นรูปกายในกายจะไม่เห็นจิต...ขณะเห็นเวทนาในเวทนาจะไม่เห็นจิต....ขณะเห็นสัญญา(จำได้)จะไม่เห็นจิต
.....ขณะเห็นสังขาร(คิด)จะไม่เห็นจิต(รู้).....
"- การเห็นจิตแตกต่างอย่างไรกับการเห็นทางอายตนะทั่วไปหรือไม่ อย่างไร? "
ต่างและไม่ต่าง ( ขึ้นกับบุคคลปฎิบัติละเอียดลึกซึ้งเพียงใด )
ผัสสะกระทบทางทวาร 6....จิตทำงานแล่นไปในทวารที่เด่น...วิญญาณขันธ์เกิดขึ้นในทวารนั้น...อาการนี้จิตไม่ต่างกันในแต่ละทวาร
ผัสสะกระทบทางทวาร 6....บุคคลฝึกจิตภายในเป็นธรรมเอก..ไม่หวั่นไหวไปกับอาการผัสสะกระทบในทวาร...สุญญตาสมาบัติยังคงแล่นไปว่างในภายใน.....จิตภายในหทัยวัตถุสว่างสงบกว่าจิตที่แล่นไปในทวารที่เหลือทั้ง 5....( ทางอายตนะใจสว่างสงบ....ทางอายตนะอื่นว่างแล้วแล่นกลับมาที่อายตนะใจ )
- อุบายการเห็นจิตคืออย่างไร?
ฝึกตามสติปัฏฐานสูตร....ละอภิชฌาและโทมนัสในโลก...มีสติสัมปชัญญะเพียรเผากิเลส( อุปกิเลส 16 ).....
เห็นธรรมในปัจจุบัน ( ห้ามตรึก..)....กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม
ทั้งหมดสรุปรวบวิธีปฎิบัติตาม สามัญญผลสูตร มหาสีหนาทสูตร......
- อุปกิเลส16 ที่บังจิตอยู่จะถูกระงับตอนเห็นจิตใช่หรือไม่?
ใช่ในระดับอุปกิเลสหยาบ
ไม่ใช่ในระดับอุปกิเลสละเอียด
เพราะ ขึ้นกับเห็นจิตหยาบหรือละเอียด....เช่น จิตมีราคะ...จิตฌาน..จิตหลุดพ้นแบบกดทับ...จิตหลุดพ้นแบบประหาร....
- เห็นจิตแล้วทำอย่างไร?
ทำตามสามัญญผลสูตร มหาสีหนาทสูตร.....
" ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน
ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ย่อมรู้ชัด
ตามความเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ
นี้อาสวสมุทัย นี้อาสวนิโรธ นี้อาสวนิโรธคามินีปฏิปทา เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น
แม้จากกามาสวะ แม้จากภาวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณว่าหลุดพ้น
แล้ว รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความ
เป็นอย่างนี้มิได้มี นี้เป็นปัญญาสัมปทาของเธอประการหนึ่ง ดูกรกัสสป นี้แลปัญญาสัมปทา.
ดูกรกัสสป สีลสัมปทา จิตตสัมปทา ปัญญาสัมปทา ข้ออื่นที่ยิ่งกว่าหรือประณีตยิ่งกว่า
สีลสัมปทา จิตตสัมปทา ปัญญาสัมปทานี้ไม่มีเลย. "
" ๒. มหาราหุโลวาทสูตร
เรื่องพระราหุล
[๑๓๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก
เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี..................................
.........................................................................
[๑๔๖] ดูกรราหุล เธอจงเจริญอานาปานสติภาวนาเถิด เพราะอานาปานสติที่บุคคล
เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผล มีอานิสงส์ใหญ่. ก็อานาปานสติอันบุคคลเจริญอย่างไร
ทำให้มากอย่างไร จึงมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่? ดูกรราหุล ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี
อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า เธอมีสติ
หายใจออก มีสติหายใจเข้า. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว เมื่อหายใจเข้ายาว
ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น เมื่อหายใจเข้าสั้น
ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ย่อมสำเหนียก
ว่า จักกำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับกายสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้ปีติหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้สุขหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักระงับจิตสังขารหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักกำหนดรู้จิตหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักทำจิตให้ร่าเริงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจออก
ย่อมสำเหนียกว่า จักดำรงจิตมั่นหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจออก ย่อม
สำเหนียกว่า จักเปลื้องจิตหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยง
หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาโดยความเป็นของไม่เที่ยงหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียก
ว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจากราคะหายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมอันปราศจาก
ราคะหายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจออก ย่อมสำเหนียก
ว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจเข้า. ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่
สละคืน หายใจออก ย่อมสำเหนียกว่า จักพิจารณาธรรมเป็นที่สละคืน หายใจเข้า. ดูกรราหุล
อานาปานสติที่บุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ย่อมมีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ดูกรราหุล เมื่ออานาปานสติอันบุคคลเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้ ลมอัสสาสะ
ปัสสาสะ ครั้งสุดท้าย อันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติทราบชัดแล้ว ย่อมดับไป หาเป็น
อันบุคคลผู้เจริญอานาปานสติไม่ทราบชัดแล้ว ดับไปไม่ได้ดังนี้. "
ปฎิบัติธรรมตามข้างบน บรรลุธรรมได้จริงแน่นอนครับ
แต่
ถ้าปฎิบัติไม่ตรงตามข้างบน ไม่มีทางบรรลุธรรมแน่นอนอีกเช่นกัน
เจริญในธรรม ครับ
แสดงความคิดเห็น
ปุจฉา เรื่องจิต
- จิตคืออะไร? (รู้กับคิด?)
- คิด ปรุง รู้ ต่างกันอย่างไร?
- "จิตรวม (ภาษาพระป่า) คืออะไร? เป็นอย่างไร?
- "ฐีติจิต" (ศัพท์ลป.มั่น) คืออะไร เป็นอย่างไร?
- เอโกทิภาวะเป็นอย่างไร?
- การเห็นจิตคืออย่างไร มีอาการ?
- การเห็นจิตแตกต่างอย่างไรกับการเห็นทางอายตนะทั่วไปหรือไม่ อย่างไร?
- อุบายการเห็นจิตคืออย่างไร?
- อุปกิเลส16 ที่บังจิตอยู่จะถูกระงับตอนเห็นจิตใช่หรือไม่?
- เห็นจิตแล้วทำอย่างไร?
ปกติผู้ปฏิบัติถ้ารู้ไม่เท่าทัน อาการและความเป็นไปของจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกิเลส16. ก็จะเข้าใจว่าตนนั้น จิตใจดีงามแล้ว หรือฝึกมาดีแล้ว
แต่ถ้าไม่เข้าใจคำถามที่ยกมานั้น ให้ทราบด้วยว่า ท่านยังไม่เห็นใจตนเอง สิ่งที่เห็นว่าดี ใจดี ใจงามนั้น แท้จริงฉาบทาด้วย หรือถูกปิดด้วย อุปกิเลส16 ตลอดเวลา และตัวสายโมหะ จะเป็นตัวที่หลอกว่าจิตถูกฝึกมาดีแล้ว. ดีงาม ล้ำเลิศ. แท้จริงแล้วยังห่างมาก กับคำว่า จิตที่ฝึกมาดีแล้ว หรือเอโกทิภาวะ* หรือการเห็นจิต หรือที่หลวงปู่มั่น ท่านกล่าวเรียกว่า วันนั้นท่านจิตรวมใหญ่ ถึงฐานจิต "ฐีติจิต"
ฉะนั้น ลำดับการศึกษาในอานาปานสติ สำคัญมาก ทำตรงย่อมให้ผลตรง ไปตามลำดับ
*เอโกทิภาวะ. เป็นพุทธพจน์ ภาษาไทยแปลว่า "ธรรมเอกที่ผุดขึ้น"