GJ 3512b
ทีมนักดาราศาสตร์จากประเทศสเปนและเยอรมนี ได้ค้นพบดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ซึ่งอยู่นอกระบบสุริยะจักรวาล โดยตั้งชื่อว่า ‘GJ 3512b’ อยู่ห่างไกลจากโลก 284 ล้านล้านกม.
นักวิทยาศาสตร์ ได้กล่าวว่าแท้จริงแล้วดาวดวงนี้ไม่ควรมีอยู่ ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้พวกเขาต้องกลับมาทบทวนทฤษฎีในเรื่องของการก่อกำเนินของดาวเคราะห์ที่กำลังใช้อยู่ ณ ปัจจุบันอีกครั้ง เพราะอาจช่วยทำให้มนุษย์มีความเข้าใจ ในเรื่องของการก่อตัวของดาวเคราะห์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับการค้นพบดาวเคราะห์ GJ 3512b นี้ เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2019 โดยสิ่งที่สร้างความสับสนให้แก่เหล่านักดาราศาสตร์คือ ขนาดที่ใหญ่มากเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับขนาดของดาวฤกษ์ที่มันกำลังโคจรรอบอยู่ โดย ‘GJ 3512b’ มีมวลประมาณครึ่งหนึ่งของดาวพฤหัสบดีเท่านั้น ทางด้านดาวฤกษ์แคระของดาวดวงนี้มีมวลเพียง 1 ใน 5 ของดวงอาทิตย์ของโลกเท่านั้น และมีความสว่างน้อยกว่าถึง 50 เท่า
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะซึ่งไม่อาจอธิบายการเกิดได้ด้วยทฤษฎี ‘การสะสมแกนกลาง’ และเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ทฤษฎีการกำเนินดาวเคราะห์ ‘Gravitational instability’ อาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์คาดการณ์พร้อมวิเคราะห์ว่า เมื่ออ้างอิงจากความไม่เสถียรของแรงโน้มถ่วงจะทำให้เกิดขึ้น ในส่วนของพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากดาวฤกษ์ ส่งผลให้ดาวเคราะห์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมีความห่างตามกันไปด้วย แต่ทีมวิจัยกลับพบว่า ‘GJ 3512b’ ได้มีการเคลื่อนตัวเข้าใกล้ดาวฤกษ์ไม่ถึง 150 ล้านกม. หรือมีระยะเท่ากับระยะของโลกกับดวงอาทิตย์
และการโคจรของ‘GJ 3512b’ นั้นมีความแปลกประหลาดมาก เพราะใช้เวลาโคจรรอบดาวฤกษ์แคระของตัวเอง 204 วัน โดยในบางช่วงจะเคลื่อนไหวเข้าใกล้ดาวฤกษ์มาก จากปัจจัยหลายๆ อย่างเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า มีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงอื่นๆ โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงนี้ภายในระยะห่างออกไปอีก จึงส่งผลให้วงโคจรของ ‘GJ 3512b’ เกิดการเปลี่ยนรูปไปนั่นเอง
Cr.
https://www.argosphere.net/รู้หรือไม่-นักดาราศาสตร.html
Monster black hole
เป็นอีกข่าวใหญ่ของวงการดาราศาสตร์ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2020 ที่ผ่านมา นักวิทยาศาสตร์ออกมารายงานว่า ได้ค้นพบสัญญาณคลื่นความโน้มถ่วง แปลกๆ ชิ้นหนึ่งสะเทือนมาถึงโลกจากห้วงอวกาศ และเมื่อไล่ตามคลื่นดังกล่าวไป ก็พบกับหลุมดำขนาดใหญ่ที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 142 เท่า
มวลของหลุมดำหลุมนี้ เรียกได้ว่าสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมันเป็นหลุมดำที่มีมวลมากที่สุดเท่าที่เคยพบด้วยวิธีตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง โดยนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันไม่ควรจะมีอยู่
ตัวต้นของหลุมดำนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในวันที่ 21 พฤษภาคม 2019 เมื่ออุปกรณ์สังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วง LIGO และ VIRGO ค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงห่างออกไปจากโลกราวๆ 150,000 ล้านล้านล้านกม. อย่างไรก็ตามมันเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น ที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถยืนยันได้ว่าคลื่นความโน้มถ่วงดังกล่าวแท้จริงแล้วอาจเกิดขึ้นจากการชนกันของหลุมดำ
เหตุการณ์ที่ว่านี้ถูกเรียกด้วยชื่อว่า “GW190521" โดยเชื่อกันว่ามันน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 7,000 ล้านปีก่อน จากการหลุมดำที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 66 เท่า ชนกับหลุมดำที่อีกหลุมมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 85 เท่า โดยการชนกันในเวลานั้นเป็นไปได้ว่าจะส่งพลังงานจำนวนมหาศาลไปยังพื้นที่รอบๆ (ซึ่งใช้เวลาหลายพันล้านปีกว่าจะมาถึงโลก) ก่อนที่หลุมดำทั้งสองจะรวมเป็นหลุมดำลูกใหม่ซึ่งถูกพบนี้
“สิ่งที่เราค้นพบนั้นแปลกประหลาดมาก จนทำลายสมมติฐานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการก่อตัวของหลุมดำไปหลายต่อหลายข้อ” Karan Jani นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยกล่าว
“เราต้องใช้เวลานานกว่าหนึ่งปีในการยืนยันการมีอยู่ของหลุมดำต่างดาวนี้ และรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้แบ่งปันการค้นพบนี้กับโลกทั้งใบ”
อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของหอสังเกตการณ์ LIGO และ VIRGO เหตุการณ์ GW190521 ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ที่ไม่น่าจะมีอยู่ในจุดจุดนั้นได้เท่านั้น แต่มันยังอาจเป็นเหตุการณ์ที่หายากมากๆ และมีค่าที่จะสังเกตการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และเหตุการณ์นี้คือหลักฐานสำคัญที่จะช่วยยืนยันตัวต้นของ “หลุมดำมวลขนาดกลาง” (หลุมดำที่มีมวลอยู่ระหว่าง 100-1,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) ที่นักวิทยาศาสตร์ตามหากันมานาน
และอาจเป็นกุญแจสำคัญไปสู่การหาคำตอบของวิธีเกิด “หลุมดํามวลยิ่งยวด” (หลุมดำที่มีมวลอยู่ระหว่าง 100,000-10,000,000,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) ต่อไปในอนาคต
ที่มา independent, mit และ northwestern
Cr.
https://www.catdumb.tv/gw190521-black-holes-378/ By เหมียวศรัทธา
Moonmoon
จูนา คอลล์ไมเยอร์ นักฟิสิกส์ดาราศาสตร์จากสถาบันคาร์เนกี คอลล์ไมเยอร์ และผู้ร่วมวิจัย ชอน เรย์มอนด์ จากมหาวิทยาลัยบอร์โด ได้ดำเนินการวิจัยอย่างจริงจังกับคำถามที่ว่ามีดวงจันทร์ของดวงจันทร์หรือไม่ และนำไปอภิปรายต่อในกลุ่มนักดาราศาสตร์
เรื่องราวของคำถามนี้ได้มีการเผยแพร่สู่สื่อสังคมเมื่อปลายปี 2019 ที่ผ่านมา ในขณะที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ว่า ถ้ามีดวงจันทร์ของดวงจันทร์จริง แล้วจะเรียกมันว่าอย่างไร มีผู้เสนอชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น จันทร์จันทร์ จันทร์น้อย จันทร์จิ๋ว ฯลฯ ชื่อที่ค้อนข้างเป็นทางการคือ Submoon และชื่อที่ออกแนวน่ารักคือ "Moonmoon" อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นักวิจัยทั้งสองต้องค้นหาคือ มีเงื่อนไขใดบ้างที่จะทำให้ดวงจันทร์ของดาวเคราะห์มีบริวารเป็นของตัวเองได้
การคำนวณของเรย์มอนด์และคอลล์ไมเยอร์เผยว่า ดวงจันทร์ที่จะมีบริวารได้ ต้องเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่มีวงโคจรห่างจากดาวเคราะห์มากพอสมควร หากเป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กหรือมีวงโคจรแคบ แรงน้ำขึ้นลงจากดาวเคราะห์และดวงจันทร์จะทำให้วงโคจรรอบดวงจันทร์ไม่เสถียร
ดวงจันทร์ของโลก ดวงจันทร์แคลลิสโตของดาวพฤหัสบดี ดวงจันทร์ไททันและไอยาพิตัสของดาวเสาร์ ก็ถือว่าเข้าข่ายที่จะมีโอกาสมีบริวารเป็นของตัวเองเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เคยพบว่ามีอยู่จริงก็ตาม แม้ปัจจุบันยังไม่มีการพบดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ต่างระบบที่ยืนยันได้ แต่มีดาวเคราะห์ต่างระบบบางดวงดูเหมือนจะมีดวงจันทร์เป็นบริวารด้วย เช่นดาวเคปเลอร์ 1625 บี (Kepler 1625b) เรย์มอนด์และคอลล์ไมเยอร์พบว่าดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงนี้ (หากมีจริง) มีมวลและระยะโคจรพอเหมาะที่จะมีดวงจันทร์เป็นของตัวเองได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การตรวจหาดวงจันทร์ของดวงจันทร์ในระบบสุริยะอื่นเป็นเรื่องยากยิ่ง
ทั้งสองยังพิจารณาต่อไปอีกถึงเงื่อนไขของการมีสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ของดวงจันทร์อีกด้วย ซึ่งพบว่าโอกาสที่ดวงจันทร์ของดวงจันทร์จะมีสิ่งมีชีวิตได้ จะต้องเป็นดวงใหญ่และโคจรรอบดาวฤกษ์มวลสูง ส่วนดาวฤกษ์มวลต่ำอย่างดาวแคระแดงมีเขตเอื้ออาศัยอยู่ชิดดาวฤกษ์มากเกินไป แรงน้ำขึ้นลงจากดาวฤกษ์จะสูงมากจนทำให้วงโคจรของดวงจันทร์และบริวารของดวงจันทร์ไม่เสถียร
NASA
(ภาพจากฝีมือศิลปิน) ดวงจันทร์ไอแอพิตัสของดาวเสาร์อาจมีดาวบริวารเป็นของตนเองอีกชั้นหนึ่ง
ดร.เรย์มอนด์ หนึ่งในทีมผู้วิจัยบอกว่า การเกิดขึ้นของ "ดวงจันทร์รอง" นั้นยากมาก เพราะต้องมีบางสิ่งที่มีพลังมหาศาลเหวี่ยงวัตถุอวกาศให้เข้ามาอยู่ในวงโคจรของดวงจันทร์อย่างพอดิบพอดี และจะต้องมีการรักษาสมดุลของระยะห่างจากดาวเคราะห์และดวงจันทร์ให้ดีด้วย มิฉะนั้นระบบ "ดวงจันทร์รอง" นี้จะมีอายุสั้นมาก ซึ่งอาจเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยังค้นหาดาวบริวารย่อยแบบนี้ไม่พบ
ทั้งนี้ วงการดาราศาสตร์ยังไม่ได้มีการกำหนดชื่อที่ใช้เรียกดาวชนิดนี้อย่างแน่นอน แต่มีผู้เสนอชื่อที่เหมาะสมเข้ามากันทางออนไลน์แล้วอีกหลายชื่อเช่นมูนมูน (Moonmoon) มูนิโต (Moonito) แม้กระทั่งมูเน็ตต์ (Moonette)
ที่มา
Where Is Earth's Submoon? - spacedaily.com , iflscience.com
Cr.
http://thaiastro.nectec.or.th/news/3366/โดย: วิมุติ วสะหลาย
Cr.
https://stem.in.th/บริวารของโลกเราเรียก-ด/เรียบเรียงโดย @MrVop
Cr.
https://www.bbc.com/thai/features-45896503
LB-1
ทีมศึกษาวิจัยนำโดยศาสตราจารย์ หลิว จี้เฟิง นักดาราศาสตร์จากสถาบันวิชาการด้านวิทยาศาสตร์แห่งจีน เผยแพร่ผลงานการค้นพบหลุมดำชนิด “Stellar Black Hole” หรือ “หลุมดำของดาวฤกษ์” ที่มีขนาดใหญ่มหึมามีมวลมากถึงราว 70 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ในวารสารวิชาการ เจอร์นัล เนเจอร์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน2019 ที่ผ่านมา
การค้นพบครั้งนี้ เป็นการทำลายทฤษฎีตามองค์ความรู้เดิมที่ระบุว่า Stellar Black Hole จะมีมวลระหว่าง 1.5 เท่าไปจนถึงสูงสุดเพียง 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากหลุมดำชนิดนี้เกิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์ หรือดาวนิวตรอน ซึ่งมีมวลเริ่มต้นไม่เกิน 100 เท่าของดวงอาทิตย์เท่านั้น เมื่อผ่านกระบวนการตามขั้นตอนวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ก็จะสูญเสียมวลไปเรื่อยๆ เมื่อถึงขั้นตอนการยุบตัวจึงไม่ควรมีมวลมากไปกว่านั้น
ทีมวิจัยของศาสตราจารย์หลิว ให้ชื่อรหัสหลุมดำชนิดนี้ไว้ว่า LB-1 (แอลบี-วัน) อยู่ห่างจากโลกไปราว 15,000 ปีแสง ภายในแกแล็กซีทางช้างเผือก
“หลุมดำที่มีมวลมหาศาลขนาดนี้ ไม่ควรจะมีอยู่ในแกแล็กซีของเรา ตามรูปแบบซึ่งเป็นแบบฉบับของวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ที่เราส่วนใหญ่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบัน” “แต่ LB-1 มีมวลมากกว่ามวลสูงสุดที่เรายึดถือกันอยู่ว่าเป็นไปได้ถึงสองเท่าตัว การค้นพบครั้งนี้จึงกลายเป็นความท้าทายสำหรับนักทฤษฎีทั้งหลายที่จะหาคำอธิบายว่ามันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร”
ทีมวิจัยของจีนได้เสนอแนวทางที่อาจเป็นสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ซึ่งทำให้ LB-1 มีขนาดมหึมาเช่นนี้ โดยทฤษฎีแรก ระบุว่าขนาดใหญ่ของ LB-1 เกิดขึ้นได้เพราะหลุมดำนี้ไม่ได้เกิดจากการยุบตัวเข้าสู่จุดศูนย์กลางของดาวฤกษ์เพียงดวงเดียว แต่อาจเกิดขึ้นจากหลุมดำที่มีขนาดย่อมกว่า 2 หลุมซึ่งโคจรอยู่โดยรอบซึ่งกันและกัน แล้วเกิดชนหรือรวมตัวกันเข้า
ทฤษฎีอีกหนึ่งคือ LB-1 อาจกำเนิดมาจากการยุบตัวของซุปเปอร์โนวา ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ โดยการระเบิดออกเป็นซุปเปอร์โนวา ดีดสสารต่างๆ กระจายออกไปในทุกทิศทุกทาง ต่อมาสสารเหล่านี้ตกกลับลงไปในซุปเปอร์โนวาที่กำลังยุบตัวก่อให้เกิดเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นมา
ทฤษฎีการเกิดหลุมดำในขณะที่เป็นซุปเปอร์โนวาดังกล่าวนี้ ในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปได้ แต่ยังไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบพบ หรือสามารถสังเกตุการณ์เห็นได้ด้วยตา หาก LB-1 ก่อตัวขึ้นตามทฤษฎีนี้จริง การค้นพบครั้งนี้ก็จะเป็นการค้นพบหลักฐานโดยตรงครั้งแรกสุดที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการดังกล่าว
Stellar Black Hole เชื่อว่ามีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาล แต่ยากที่จะตรวจสอบพบได้ เนื่องจากมักไม่ปล่อยให้รังสีเอ็กซ์เรย์เล็ดรอดออกมาได้ โดยจะแผ่รังสีเอ็กซ์เรย์ก็ต่อเมื่อมันกำลังกลืนกินเทหวัตถุอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่เท่านั้น ทำให้จนถึงขณะนี้มีการค้นพบหลุมดำชนิดนี้เพียงไม่กี่สิบหลุมเท่านั้น
ทีมวิจัยจากจีนใช้วิธีการตรวจสอบหาดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่รอบวัตถุบางอย่างที่มองไม่เห็นเพราะถูกแรงโน้มถ่วงจากหลุมดำดึงดูดเข้าหามัน ด้วยวิธีนี้ ไม่นานก็พบดาวฤกษ์ขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ราว 8 เท่าโคจรอยู่รอบบางอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งปรากฏในเวลาต่อมาว่าคือ LB-1 นี้เอง
Cr.
https://www.matichon.co.th/foreign/news_1773788
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ดาวเคราะห์ที่ไม่ควรมีอยู่ในอวกาศ
นักวิทยาศาสตร์ ได้กล่าวว่าแท้จริงแล้วดาวดวงนี้ไม่ควรมีอยู่ ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้พวกเขาต้องกลับมาทบทวนทฤษฎีในเรื่องของการก่อกำเนินของดาวเคราะห์ที่กำลังใช้อยู่ ณ ปัจจุบันอีกครั้ง เพราะอาจช่วยทำให้มนุษย์มีความเข้าใจ ในเรื่องของการก่อตัวของดาวเคราะห์มากยิ่งขึ้นอีกด้วย
สำหรับการค้นพบดาวเคราะห์ GJ 3512b นี้ เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2019 โดยสิ่งที่สร้างความสับสนให้แก่เหล่านักดาราศาสตร์คือ ขนาดที่ใหญ่มากเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับขนาดของดาวฤกษ์ที่มันกำลังโคจรรอบอยู่ โดย ‘GJ 3512b’ มีมวลประมาณครึ่งหนึ่งของดาวพฤหัสบดีเท่านั้น ทางด้านดาวฤกษ์แคระของดาวดวงนี้มีมวลเพียง 1 ใน 5 ของดวงอาทิตย์ของโลกเท่านั้น และมีความสว่างน้อยกว่าถึง 50 เท่า
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการค้นพบดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะซึ่งไม่อาจอธิบายการเกิดได้ด้วยทฤษฎี ‘การสะสมแกนกลาง’ และเป็นเครื่องพิสูจน์แล้วว่า ทฤษฎีการกำเนินดาวเคราะห์ ‘Gravitational instability’ อาจเข้ามามีบทบาทสำคัญในการก่อตัวของดาวเคราะห์ขนาดใหญ่
อย่างไรก็ตาม นักดาราศาสตร์คาดการณ์พร้อมวิเคราะห์ว่า เมื่ออ้างอิงจากความไม่เสถียรของแรงโน้มถ่วงจะทำให้เกิดขึ้น ในส่วนของพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลจากดาวฤกษ์ ส่งผลให้ดาวเคราะห์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้นมีความห่างตามกันไปด้วย แต่ทีมวิจัยกลับพบว่า ‘GJ 3512b’ ได้มีการเคลื่อนตัวเข้าใกล้ดาวฤกษ์ไม่ถึง 150 ล้านกม. หรือมีระยะเท่ากับระยะของโลกกับดวงอาทิตย์
และการโคจรของ‘GJ 3512b’ นั้นมีความแปลกประหลาดมาก เพราะใช้เวลาโคจรรอบดาวฤกษ์แคระของตัวเอง 204 วัน โดยในบางช่วงจะเคลื่อนไหวเข้าใกล้ดาวฤกษ์มาก จากปัจจัยหลายๆ อย่างเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า มีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ดวงอื่นๆ โคจรรอบดาวฤกษ์ดวงนี้ภายในระยะห่างออกไปอีก จึงส่งผลให้วงโคจรของ ‘GJ 3512b’ เกิดการเปลี่ยนรูปไปนั่นเอง
Cr.https://www.argosphere.net/รู้หรือไม่-นักดาราศาสตร.html
มวลของหลุมดำหลุมนี้ เรียกได้ว่าสูงมากอย่างไม่น่าเชื่อ โดยมันเป็นหลุมดำที่มีมวลมากที่สุดเท่าที่เคยพบด้วยวิธีตรวจจับคลื่นความโน้มถ่วง โดยนักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันไม่ควรจะมีอยู่
ตัวต้นของหลุมดำนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในวันที่ 21 พฤษภาคม 2019 เมื่ออุปกรณ์สังเกตการณ์คลื่นความโน้มถ่วง LIGO และ VIRGO ค้นพบคลื่นความโน้มถ่วงห่างออกไปจากโลกราวๆ 150,000 ล้านล้านล้านกม. อย่างไรก็ตามมันเมื่อไม่นานมานี้เท่านั้น ที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถยืนยันได้ว่าคลื่นความโน้มถ่วงดังกล่าวแท้จริงแล้วอาจเกิดขึ้นจากการชนกันของหลุมดำ
เหตุการณ์ที่ว่านี้ถูกเรียกด้วยชื่อว่า “GW190521" โดยเชื่อกันว่ามันน่าจะเกิดขึ้นเมื่อราวๆ 7,000 ล้านปีก่อน จากการหลุมดำที่มีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 66 เท่า ชนกับหลุมดำที่อีกหลุมมีมวลมากกว่าดวงอาทิตย์ 85 เท่า โดยการชนกันในเวลานั้นเป็นไปได้ว่าจะส่งพลังงานจำนวนมหาศาลไปยังพื้นที่รอบๆ (ซึ่งใช้เวลาหลายพันล้านปีกว่าจะมาถึงโลก) ก่อนที่หลุมดำทั้งสองจะรวมเป็นหลุมดำลูกใหม่ซึ่งถูกพบนี้
“สิ่งที่เราค้นพบนั้นแปลกประหลาดมาก จนทำลายสมมติฐานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการก่อตัวของหลุมดำไปหลายต่อหลายข้อ” Karan Jani นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิลต์ หนึ่งในผู้มีส่วนร่วมในการวิจัยกล่าว
“เราต้องใช้เวลานานกว่าหนึ่งปีในการยืนยันการมีอยู่ของหลุมดำต่างดาวนี้ และรู้สึกตื่นเต้นมากที่ได้แบ่งปันการค้นพบนี้กับโลกทั้งใบ”
อ้างอิงจากทีมนักวิทยาศาสตร์ของหอสังเกตการณ์ LIGO และ VIRGO เหตุการณ์ GW190521 ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดหลุมดำขนาดใหญ่ที่ไม่น่าจะมีอยู่ในจุดจุดนั้นได้เท่านั้น แต่มันยังอาจเป็นเหตุการณ์ที่หายากมากๆ และมีค่าที่จะสังเกตการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และเหตุการณ์นี้คือหลักฐานสำคัญที่จะช่วยยืนยันตัวต้นของ “หลุมดำมวลขนาดกลาง” (หลุมดำที่มีมวลอยู่ระหว่าง 100-1,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) ที่นักวิทยาศาสตร์ตามหากันมานาน
และอาจเป็นกุญแจสำคัญไปสู่การหาคำตอบของวิธีเกิด “หลุมดํามวลยิ่งยวด” (หลุมดำที่มีมวลอยู่ระหว่าง 100,000-10,000,000,000 เท่าของมวลดวงอาทิตย์) ต่อไปในอนาคต
ที่มา independent, mit และ northwestern
Cr.https://www.catdumb.tv/gw190521-black-holes-378/ By เหมียวศรัทธา
เรื่องราวของคำถามนี้ได้มีการเผยแพร่สู่สื่อสังคมเมื่อปลายปี 2019 ที่ผ่านมา ในขณะที่คนส่วนใหญ่อยากรู้ว่า ถ้ามีดวงจันทร์ของดวงจันทร์จริง แล้วจะเรียกมันว่าอย่างไร มีผู้เสนอชื่อเรียกหลายชื่อ เช่น จันทร์จันทร์ จันทร์น้อย จันทร์จิ๋ว ฯลฯ ชื่อที่ค้อนข้างเป็นทางการคือ Submoon และชื่อที่ออกแนวน่ารักคือ "Moonmoon" อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่นักวิจัยทั้งสองต้องค้นหาคือ มีเงื่อนไขใดบ้างที่จะทำให้ดวงจันทร์ของดาวเคราะห์มีบริวารเป็นของตัวเองได้
การคำนวณของเรย์มอนด์และคอลล์ไมเยอร์เผยว่า ดวงจันทร์ที่จะมีบริวารได้ ต้องเป็นดวงจันทร์ขนาดใหญ่มีวงโคจรห่างจากดาวเคราะห์มากพอสมควร หากเป็นดวงจันทร์ขนาดเล็กหรือมีวงโคจรแคบ แรงน้ำขึ้นลงจากดาวเคราะห์และดวงจันทร์จะทำให้วงโคจรรอบดวงจันทร์ไม่เสถียร
ดวงจันทร์ของโลก ดวงจันทร์แคลลิสโตของดาวพฤหัสบดี ดวงจันทร์ไททันและไอยาพิตัสของดาวเสาร์ ก็ถือว่าเข้าข่ายที่จะมีโอกาสมีบริวารเป็นของตัวเองเหมือนกัน แม้ว่าจะไม่เคยพบว่ามีอยู่จริงก็ตาม แม้ปัจจุบันยังไม่มีการพบดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ต่างระบบที่ยืนยันได้ แต่มีดาวเคราะห์ต่างระบบบางดวงดูเหมือนจะมีดวงจันทร์เป็นบริวารด้วย เช่นดาวเคปเลอร์ 1625 บี (Kepler 1625b) เรย์มอนด์และคอลล์ไมเยอร์พบว่าดวงจันทร์ของดาวเคราะห์ดวงนี้ (หากมีจริง) มีมวลและระยะโคจรพอเหมาะที่จะมีดวงจันทร์เป็นของตัวเองได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม การตรวจหาดวงจันทร์ของดวงจันทร์ในระบบสุริยะอื่นเป็นเรื่องยากยิ่ง
ทั้งสองยังพิจารณาต่อไปอีกถึงเงื่อนไขของการมีสิ่งมีชีวิตบนดวงจันทร์ของดวงจันทร์อีกด้วย ซึ่งพบว่าโอกาสที่ดวงจันทร์ของดวงจันทร์จะมีสิ่งมีชีวิตได้ จะต้องเป็นดวงใหญ่และโคจรรอบดาวฤกษ์มวลสูง ส่วนดาวฤกษ์มวลต่ำอย่างดาวแคระแดงมีเขตเอื้ออาศัยอยู่ชิดดาวฤกษ์มากเกินไป แรงน้ำขึ้นลงจากดาวฤกษ์จะสูงมากจนทำให้วงโคจรของดวงจันทร์และบริวารของดวงจันทร์ไม่เสถียร
(ภาพจากฝีมือศิลปิน) ดวงจันทร์ไอแอพิตัสของดาวเสาร์อาจมีดาวบริวารเป็นของตนเองอีกชั้นหนึ่ง
ทั้งนี้ วงการดาราศาสตร์ยังไม่ได้มีการกำหนดชื่อที่ใช้เรียกดาวชนิดนี้อย่างแน่นอน แต่มีผู้เสนอชื่อที่เหมาะสมเข้ามากันทางออนไลน์แล้วอีกหลายชื่อเช่นมูนมูน (Moonmoon) มูนิโต (Moonito) แม้กระทั่งมูเน็ตต์ (Moonette)
ที่มา
Where Is Earth's Submoon? - spacedaily.com , iflscience.com
Cr.http://thaiastro.nectec.or.th/news/3366/โดย: วิมุติ วสะหลาย
Cr.https://stem.in.th/บริวารของโลกเราเรียก-ด/เรียบเรียงโดย @MrVop
Cr.https://www.bbc.com/thai/features-45896503
ทีมศึกษาวิจัยนำโดยศาสตราจารย์ หลิว จี้เฟิง นักดาราศาสตร์จากสถาบันวิชาการด้านวิทยาศาสตร์แห่งจีน เผยแพร่ผลงานการค้นพบหลุมดำชนิด “Stellar Black Hole” หรือ “หลุมดำของดาวฤกษ์” ที่มีขนาดใหญ่มหึมามีมวลมากถึงราว 70 เท่าของมวลดวงอาทิตย์ ในวารสารวิชาการ เจอร์นัล เนเจอร์ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน2019 ที่ผ่านมา
การค้นพบครั้งนี้ เป็นการทำลายทฤษฎีตามองค์ความรู้เดิมที่ระบุว่า Stellar Black Hole จะมีมวลระหว่าง 1.5 เท่าไปจนถึงสูงสุดเพียง 20 เท่าของมวลดวงอาทิตย์เท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากหลุมดำชนิดนี้เกิดจากการยุบตัวของดาวฤกษ์ หรือดาวนิวตรอน ซึ่งมีมวลเริ่มต้นไม่เกิน 100 เท่าของดวงอาทิตย์เท่านั้น เมื่อผ่านกระบวนการตามขั้นตอนวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ก็จะสูญเสียมวลไปเรื่อยๆ เมื่อถึงขั้นตอนการยุบตัวจึงไม่ควรมีมวลมากไปกว่านั้น
ทีมวิจัยของศาสตราจารย์หลิว ให้ชื่อรหัสหลุมดำชนิดนี้ไว้ว่า LB-1 (แอลบี-วัน) อยู่ห่างจากโลกไปราว 15,000 ปีแสง ภายในแกแล็กซีทางช้างเผือก
“หลุมดำที่มีมวลมหาศาลขนาดนี้ ไม่ควรจะมีอยู่ในแกแล็กซีของเรา ตามรูปแบบซึ่งเป็นแบบฉบับของวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ที่เราส่วนใหญ่ยึดถือกันอยู่ในปัจจุบัน” “แต่ LB-1 มีมวลมากกว่ามวลสูงสุดที่เรายึดถือกันอยู่ว่าเป็นไปได้ถึงสองเท่าตัว การค้นพบครั้งนี้จึงกลายเป็นความท้าทายสำหรับนักทฤษฎีทั้งหลายที่จะหาคำอธิบายว่ามันก่อตัวขึ้นมาได้อย่างไร”
ทีมวิจัยของจีนได้เสนอแนวทางที่อาจเป็นสาเหตุที่อาจเป็นไปได้ซึ่งทำให้ LB-1 มีขนาดมหึมาเช่นนี้ โดยทฤษฎีแรก ระบุว่าขนาดใหญ่ของ LB-1 เกิดขึ้นได้เพราะหลุมดำนี้ไม่ได้เกิดจากการยุบตัวเข้าสู่จุดศูนย์กลางของดาวฤกษ์เพียงดวงเดียว แต่อาจเกิดขึ้นจากหลุมดำที่มีขนาดย่อมกว่า 2 หลุมซึ่งโคจรอยู่โดยรอบซึ่งกันและกัน แล้วเกิดชนหรือรวมตัวกันเข้า
ทฤษฎีอีกหนึ่งคือ LB-1 อาจกำเนิดมาจากการยุบตัวของซุปเปอร์โนวา ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายในวิวัฒนาการของดาวฤกษ์ โดยการระเบิดออกเป็นซุปเปอร์โนวา ดีดสสารต่างๆ กระจายออกไปในทุกทิศทุกทาง ต่อมาสสารเหล่านี้ตกกลับลงไปในซุปเปอร์โนวาที่กำลังยุบตัวก่อให้เกิดเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ขึ้นมา
ทฤษฎีการเกิดหลุมดำในขณะที่เป็นซุปเปอร์โนวาดังกล่าวนี้ ในทางทฤษฎีแล้วเป็นไปได้ แต่ยังไม่เคยมีนักวิทยาศาสตร์ตรวจสอบพบ หรือสามารถสังเกตุการณ์เห็นได้ด้วยตา หาก LB-1 ก่อตัวขึ้นตามทฤษฎีนี้จริง การค้นพบครั้งนี้ก็จะเป็นการค้นพบหลักฐานโดยตรงครั้งแรกสุดที่แสดงให้เห็นถึงกระบวนการดังกล่าว
Stellar Black Hole เชื่อว่ามีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในจักรวาล แต่ยากที่จะตรวจสอบพบได้ เนื่องจากมักไม่ปล่อยให้รังสีเอ็กซ์เรย์เล็ดรอดออกมาได้ โดยจะแผ่รังสีเอ็กซ์เรย์ก็ต่อเมื่อมันกำลังกลืนกินเทหวัตถุอย่างหนึ่งอย่างใดอยู่เท่านั้น ทำให้จนถึงขณะนี้มีการค้นพบหลุมดำชนิดนี้เพียงไม่กี่สิบหลุมเท่านั้น
ทีมวิจัยจากจีนใช้วิธีการตรวจสอบหาดาวฤกษ์ที่โคจรอยู่รอบวัตถุบางอย่างที่มองไม่เห็นเพราะถูกแรงโน้มถ่วงจากหลุมดำดึงดูดเข้าหามัน ด้วยวิธีนี้ ไม่นานก็พบดาวฤกษ์ขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ราว 8 เท่าโคจรอยู่รอบบางอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งปรากฏในเวลาต่อมาว่าคือ LB-1 นี้เอง
Cr.https://www.matichon.co.th/foreign/news_1773788