จบประถมหกก็ออกมาเลี้ยงควายหมดโอาสเรียนต่อ คะแนนสูงสุดในห้องทุกปีกับโควต้าพิเศษเข้าเรียนต่อรร. ประจำจังหวัดก็ช่วยอะไรไม่ได้ ความจนมันค้ำคอกระดุกกระดิกไปข้างหน้าลำบาก ออกมาใช้ชีวิตกึ่งจริงกึ่งตลกว่า "ปัจจุบันคือหางไถ มองไปข้างคือหางควาย" สุดท้ายโกนหัวบวชเรียนมหาเปรียญธรรมเพื่อปรับวุฒิแล้วนำไปสอบเทียบจนได้มัธยมปลาย ได้มหาเปรียญตั้งแต่เป็นสามเณร กะจะไปให้สุดทางคือ "นาคหลวง" แต่ก็ตกม้าตาย
ชีวิต "คนสุก" แตกต่างจาก "คนจบปริญญา" วุฒิการศึกษาด้านเปรียญธรรมที่ได้มา ในยุคนั้นเขาชี้โบ้ยให้ไปหางานทำที่กรุงพาราณาสีหรือไม่ก็แคว้นโกสัมพีนู่น เพื่อนๆ แนะนำให้ไปสอบเป็นอนุศาสนาจารย์ในกองทัพประจำจังหวัดดู ด้วยว่าอายุยังน้อยอาจจะไต่เพดานไปถึงยศพันเอกพิเศษเหมือนรุ่นพี่หลายคนที่เป็นมาก็ได้ แต่ไม่ชอบชีวิตทหาร จึงใช้ภาษาอังกฤษที่เคยแอบเรียนมาด้วยตัวเองสมัยเป็นเณรไปเป็นไกด์
เบื่อเมืองกรุงฯ ขึ้นเหนือไปเชียงใหม่ กราฟชีวิตที่นั่นจมดิ่งลงห้วงเหว เกือบเอาชีวิตไม่รอด เคยตั้งเตาไฟทอดกล้วยแขกที่บ้านเช่าแล้วใส่ตะกร้าเดินตระเวณขายที่สวนสาธารณะบวกหาดถุงละ5บาท คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ อดีตสามเณรนักธรรมชั้นเอกและมหาเปรียญธรรมทอดกล้วยแขกขายถุงละห้าบาทตระเวณขายในสวนสาธารณะ ยามเฝ้าเต๊นท์รถมือสองก็เคยเป็นมาคืนละ 80 บาท ขึ้นเวทีชกมวยตามบาร์เบียร์โชว์ชาวต่างชาติก็เอาค่าเจ็บตัวไฟท์ละ250 โดนน็อคก็มีชนะก็มี
สุดท้ายชีวิตมาลงตัวที่การเป็น "ครูดอย" เป็นครู เป็นหมอ เป็นพ่อครัว เป็นอะไรต่อมิอะไรได้เกือบหมดที่ชาวบ้านคาดหวังให้เป็น แต่ก่อน เคยมองเรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องเหลวไหล เพ้อฝัน ไกลเกินแตะ ฝ่ายไหนได้เป็นรัฐบาลช่างมัน! เงินเดือนครูดอยก็ยังอยู่ที่ไม่กี่พัน วันหนึ่งทราบข่าวว่าชาวบ้านทะเลาะกันเรื่องฝายกันน้ำเพื่อกักน้ำาเข้าผืนนา กลุ่มคนที่อยู่ท้ายฝายได้รับน้ำน้อยเลยทะเลาะกัน ทั้งครูดอยและพ่อหลวงเรียกประชุมโหวตเสียงเพื่อทำลายฝายให้ทุกคนที่มีที่นาติดแม่น้ำ (สายเล็กๆ ก่อนจะไหลไปเป็นแม่น้ำปาย) ได้ใช้น้ำทั่วถึงและเท่าเทียม เสียงส่วนใหญ่ให้ทำลาย กลุ่มคนที่อยู่เหนือฝายก็ต้องยินยอม วันนั้นผมได้เห็น "ดอกประชาธิปไตย" เบ่งบานบนยอดดอย ผมเริ่มตระหนักว่ามันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือไกลเกินแตะ มันอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง
ขึ้นอยู่ที่ว่าเราปล่อยให้มันเบ่งบานหรือกดมันเอาไว้ไม่ให้เบ่งบาน
เมื่อมีการอนุญาตให้ชาวเขา (บางส่วน) ทำบัตรประชาชนถือสัญชาติไทยได้ ถือเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมาก และไม่นานก็มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ชาวเขายิ่งตื่นเต้นไปกันใหญ่ ครูดอยมีหน้าที่อธิบายขั้นตอนการเลือกตั้งและทำไมถึงมีการเลือกตั้งและทำไมต้องเลือกตั้ง
ความตื่นเต้นของชาวเขา "ผู้มีสิทธิ์" ในการไปกากบาทเลือกตั้งเห็นได้ชัด ผมกับเพื่อนครูดอยอีกคนอาสาเดินทางข้ามเขาหลายลูกจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกสองสามหมู่บ้านเพื่อไปอธิบายขั้นตอนและวิธี ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง หมู่บ้านที่ผมสอนหนังสือตอนนั้น อยู่ไกลจากหน่วยเลือกตั้งมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เสียสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมกับชาวบ้านได้เดินทางล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ไปขอค้างแรมกับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้หน่วย พวกเราออกเดินทางตั้งแต่เช้าห่อข้าวเที่ยงไปทานระหวางทางด้วย ข้ามดอยหลายลูก ลัดทุ่ง ล่องน้ำไปถึงจุดหมายก็บ่ายแก่ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อที่จะได้เข้าไปกากบาทในคูหาเพียงไม่กี่นาที!! ส่วนผม...เข้าถึงตัวอำเภอแล้วต้องตีรถเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ไปเลือกตั้งเช่นกันเพราะผมย้ายเข้าเป็นผู้อาศัยในสำมะโนครัวของผู้มีพระคุณคนหนึ่ง แล้วถือโอกาสซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนติดมือตอนกลับด้วย รวมเวลาที่เสียไปในการไปใช้สิทธิ์กากบาทครั้งนั้น 2 วัน! หลายสิบปีต่อมา...ผมรู้สึกจุกและเจ็บมาก เมื่อได้อ่านข่าวนักวิชาการระดับรองศาสตราจารย์ท่านหนึ่งซึ่งน่าจะใช้เวลาเดินทางไปหน่วยเลือกตั้งใกล้บ้านท่านไม่กี่สิบนาทีเพื่อไป "ฉีกบัตร" เลือกตั้ง
ยอมรับว่ากระทู้นี้เขียนเลียนแบบคุณดาวดำจากกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/40192111 (่ขอโทษด้วยที่ต้องอ้างถึง) ไม่ได้มีเจตนาเหน็บแนมหรือในทางไม่ดี แต่เพื่อให้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตและความที่ต้องเกี่ยวโยงกับการเมือง (อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้จะพยามเลี่ยงหรือพยายามพูดว่า ใครจะเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้กระทบอะไรกับชีวิตๆ หนึ่ง)
....ชีวิต: วัยชรา-นนท์คนใช้ชีวิต.../วชรน
ชีวิต "คนสุก" แตกต่างจาก "คนจบปริญญา" วุฒิการศึกษาด้านเปรียญธรรมที่ได้มา ในยุคนั้นเขาชี้โบ้ยให้ไปหางานทำที่กรุงพาราณาสีหรือไม่ก็แคว้นโกสัมพีนู่น เพื่อนๆ แนะนำให้ไปสอบเป็นอนุศาสนาจารย์ในกองทัพประจำจังหวัดดู ด้วยว่าอายุยังน้อยอาจจะไต่เพดานไปถึงยศพันเอกพิเศษเหมือนรุ่นพี่หลายคนที่เป็นมาก็ได้ แต่ไม่ชอบชีวิตทหาร จึงใช้ภาษาอังกฤษที่เคยแอบเรียนมาด้วยตัวเองสมัยเป็นเณรไปเป็นไกด์
เบื่อเมืองกรุงฯ ขึ้นเหนือไปเชียงใหม่ กราฟชีวิตที่นั่นจมดิ่งลงห้วงเหว เกือบเอาชีวิตไม่รอด เคยตั้งเตาไฟทอดกล้วยแขกที่บ้านเช่าแล้วใส่ตะกร้าเดินตระเวณขายที่สวนสาธารณะบวกหาดถุงละ5บาท คุณได้ยินไม่ผิดหรอกครับ อดีตสามเณรนักธรรมชั้นเอกและมหาเปรียญธรรมทอดกล้วยแขกขายถุงละห้าบาทตระเวณขายในสวนสาธารณะ ยามเฝ้าเต๊นท์รถมือสองก็เคยเป็นมาคืนละ 80 บาท ขึ้นเวทีชกมวยตามบาร์เบียร์โชว์ชาวต่างชาติก็เอาค่าเจ็บตัวไฟท์ละ250 โดนน็อคก็มีชนะก็มี
สุดท้ายชีวิตมาลงตัวที่การเป็น "ครูดอย" เป็นครู เป็นหมอ เป็นพ่อครัว เป็นอะไรต่อมิอะไรได้เกือบหมดที่ชาวบ้านคาดหวังให้เป็น แต่ก่อน เคยมองเรื่องประชาธิปไตยเป็นเรื่องเหลวไหล เพ้อฝัน ไกลเกินแตะ ฝ่ายไหนได้เป็นรัฐบาลช่างมัน! เงินเดือนครูดอยก็ยังอยู่ที่ไม่กี่พัน วันหนึ่งทราบข่าวว่าชาวบ้านทะเลาะกันเรื่องฝายกันน้ำเพื่อกักน้ำาเข้าผืนนา กลุ่มคนที่อยู่ท้ายฝายได้รับน้ำน้อยเลยทะเลาะกัน ทั้งครูดอยและพ่อหลวงเรียกประชุมโหวตเสียงเพื่อทำลายฝายให้ทุกคนที่มีที่นาติดแม่น้ำ (สายเล็กๆ ก่อนจะไหลไปเป็นแม่น้ำปาย) ได้ใช้น้ำทั่วถึงและเท่าเทียม เสียงส่วนใหญ่ให้ทำลาย กลุ่มคนที่อยู่เหนือฝายก็ต้องยินยอม วันนั้นผมได้เห็น "ดอกประชาธิปไตย" เบ่งบานบนยอดดอย ผมเริ่มตระหนักว่ามันไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันหรือไกลเกินแตะ มันอยู่รอบๆ ตัวเรานี่เอง ขึ้นอยู่ที่ว่าเราปล่อยให้มันเบ่งบานหรือกดมันเอาไว้ไม่ให้เบ่งบาน
เมื่อมีการอนุญาตให้ชาวเขา (บางส่วน) ทำบัตรประชาชนถือสัญชาติไทยได้ ถือเป็นเรื่องที่ตื่นเต้นมาก และไม่นานก็มีการเลือกตั้งเกิดขึ้น ชาวเขายิ่งตื่นเต้นไปกันใหญ่ ครูดอยมีหน้าที่อธิบายขั้นตอนการเลือกตั้งและทำไมถึงมีการเลือกตั้งและทำไมต้องเลือกตั้ง
ความตื่นเต้นของชาวเขา "ผู้มีสิทธิ์" ในการไปกากบาทเลือกตั้งเห็นได้ชัด ผมกับเพื่อนครูดอยอีกคนอาสาเดินทางข้ามเขาหลายลูกจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกสองสามหมู่บ้านเพื่อไปอธิบายขั้นตอนและวิธี ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้ง หมู่บ้านที่ผมสอนหนังสือตอนนั้น อยู่ไกลจากหน่วยเลือกตั้งมาก เพื่อป้องกันไม่ให้เสียสิทธิ์ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ผมกับชาวบ้านได้เดินทางล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน ไปขอค้างแรมกับหมู่บ้านที่อยู่ใกล้หน่วย พวกเราออกเดินทางตั้งแต่เช้าห่อข้าวเที่ยงไปทานระหวางทางด้วย ข้ามดอยหลายลูก ลัดทุ่ง ล่องน้ำไปถึงจุดหมายก็บ่ายแก่ๆ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ก็เพื่อที่จะได้เข้าไปกากบาทในคูหาเพียงไม่กี่นาที!! ส่วนผม...เข้าถึงตัวอำเภอแล้วต้องตีรถเข้าตัวเมืองเชียงใหม่ไปเลือกตั้งเช่นกันเพราะผมย้ายเข้าเป็นผู้อาศัยในสำมะโนครัวของผู้มีพระคุณคนหนึ่ง แล้วถือโอกาสซื้ออุปกรณ์การเรียนการสอนติดมือตอนกลับด้วย รวมเวลาที่เสียไปในการไปใช้สิทธิ์กากบาทครั้งนั้น 2 วัน! หลายสิบปีต่อมา...ผมรู้สึกจุกและเจ็บมาก เมื่อได้อ่านข่าวนักวิชาการระดับรองศาสตราจารย์ท่านหนึ่งซึ่งน่าจะใช้เวลาเดินทางไปหน่วยเลือกตั้งใกล้บ้านท่านไม่กี่สิบนาทีเพื่อไป "ฉีกบัตร" เลือกตั้ง
ยอมรับว่ากระทู้นี้เขียนเลียนแบบคุณดาวดำจากกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/40192111 (่ขอโทษด้วยที่ต้องอ้างถึง) ไม่ได้มีเจตนาเหน็บแนมหรือในทางไม่ดี แต่เพื่อให้เห็นอีกมุมหนึ่งของชีวิตและความที่ต้องเกี่ยวโยงกับการเมือง (อย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้จะพยามเลี่ยงหรือพยายามพูดว่า ใครจะเป็นรัฐบาลก็ไม่ได้กระทบอะไรกับชีวิตๆ หนึ่ง)