สวัสดีทุกคนค่ะ โค้ชแหม่มจากเพจ Skycoachmam นะคะ (ไม่รุ้จักไม่ต้องงงค่ะ มันเป็นเพจเล็กๆเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพและภาษาค่ะ
ช่วงนี้ โค้ชเห็นหลายคนรอบตัวเจอแต่ปัญหากัน ทั้งปัญหาเรื่องการงาน การเงิน บางคนปัญหาการงานแล้วลามไปความรักอีก

กระทู้นี้ โค้ชเลยอยากมาให้กำลังใจคนและแชร์ประสบการณ์ตอนที่โค้ชเคยดิ่ง ดิ่งแบบจมอยู่ก้นเหว จนกลับมามีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งนะคะ
บางครั้ง การที่ได้รู้ว่า "เราไม่ใช่คนเดียวที่เจอเรื่องแย่ๆนะ คนอื่นเค้าก็เจอ และเค้าก็ดีขึ้น" มันอาจช่วยให้บางคนรู้สึกไม่เดียวดาย และอาจช่วยให้กำลังใจได้นะ
เริ่มเลยละกัน
ก่อนที่จะมาเป็นโค้ชสอนน้องๆที่อยากเป็นแอร์สจ๊วต โค้ชเคยเป็นแอร์โฮสเตสสายญี่ปุ่นและสายแขกประจำอยู่ที่ดูไบค่ะ เป็นแอร์สาวขาวหมวยตัวเล็กที่มีความฝันว่าสักวันก็อยากแต่งงานกับคนที่รักแล้วมีทายาทตัวน้อยๆ แต่แล้วความฝันของก็หยุดลงตอนอายุ30กว่าๆ ตอนเลิกกับแฟนที่คบมานาน 7 ปี
ด้วยความที่ตอนนั้น ก็ไปเป็นแอร์อยู่ดูไบ ได้กลับไทยบ้างไม่ได้กลับซะมาก ต่อให้พยายามประคองรักทางไกลให้มันรอดแบบยอมหลับตาข้างนึง จนเพื่อนๆให้ชื่อว่า อีศรีทนได้ อีกินหญ้าแทนข้าว แต่สุดท้ายความรัก7ปีกว่ามันก็จบลง และเวลาเพียงไม่ถึงปี ก็มาได้ข่าวว่าชายคนรักเก่าเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงที่เค้าคบได้ไม่ถึงปี ตอนนั้นคือแบบดิ่ง ดิ่งมากกกกก เหมือนจมลงไปในบ่อทรายอ่ะว่า เฮ้ยเรากลายเป็นผู้หญิงโสดอายุ 30 กว่า เห็นภาพแฟนเก่าแต่งงานมันแบบจุกมาก และด้วยความที่เป็นแอร์แขก อยู่ห่างไกลครอบครัว จะร้องไห้หาพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไหนก็ไม่มีนะ จะหมูกะทะชาบูแก้เครียดก็ไม่มีนะ
จากผู้หญิงร่าเริงสดใส ตอนนั้น โค้ชกลายเป็นเหมือนตัวดูดวิญญาณในHarry Potter อ่ะ วันๆเอาแต่ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องทุกข์ กลางคืนไม่หลับไม่นอน กลางวันถัดมาก็จะหน้าตาคล้ายๆผีJuon หมดอาลัยตายอยากในชีวิตคิดแต่เรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไมๆๆๆ ทำไม่เค้าแต่งกับคนอื่นไม่แต่งกับเรา เราไม่ดีละคบมานานตั้ง7 ปีทำไมอ่า
เป็นเวลาถึงปีกว่าที่โค้ชยอมให้รังสีมืดมนมันคลอบงำตัวเอง โชคยังดีที่เริ่มทนสภาพตัวเองไม่ไหว คิดได้ว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่เป็นบ้าก็ต้องกระโดดตึกBurj Khalifah ฆ่าตัวตายแน่ๆ โค้ชเลยเริ่มหาตัวช่วย
ตอนนั้นทำทุกทางค่ะ ทั้งเข้าวัดปฏิบัติธรรม ทั้งเข้าคอร์สนั่งสมาธิ10วันของท่านโกเอ็นก้า ทั้งเข้าเรียนคอร์สNLPจ่ายค่าเรียนไปเป็นแสน! ใครเคยเข้าเรียนคอร์สพวกนี้จะรู้ดี แพงเวอร์
ได้ไปเลี้ยงข้าวเย็นให้น้องๆเด็กตาบอดที่โรงเรียนสอนคนตาบอดตรงอนุสาวรีย์ การเห็นคนที่เค้าเหมือนจะขาดแต่กลับมีความสุขมากกว่าเรา มันทำให้ได้รู้ว่า ความรู้สึกว่าขาดหรือเต็ม มันเกิดขึ้นที่ใจ ไม่ใช่ร่างกาย
และการได้ไปอ่านหนังสืออัดเสียงลงเทปให้น้องๆที่ตาบอด ทำให้ได้รู้ว่า เรามีคุณค่าในตัวเองอ่ะ เราทำประโยชน์ เราช่วยคนอื่นๆได้อีกเยอะมากนะ
ในที่สุด โค้ชได้เห็นว่าปัญหาจริงๆ ที่คนอกหักมักเจอคือ พออกหัก ไม่ได้แต่งงาน หรือแม้กระทั่งหย่าร้าง เราก็จะไม่เห็นคุณค่าตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง ดูถูกตัวเองและครอบครัว มันทำให้เราวิ่งตามความรักจากคนอื่นเพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกไม่มั่นคงในใจ เรายึดและติดมันเพราะคิดว่ามันทำให้ชีวิตสมบูรณ์ ยิ่งเราออกแรง ดึงรั้งสิ่งใดไว้กับเรา เขาก็ยิ่งอึดอัด ขัดขืนและอยากเดินจากเราไปเท่านั้น แล้วเมื่อเขาจากไปเราก็รู้สึกไร้ค่าอีก กลายเป็นหนังน้ำเน่า remake แล้ว remake อีก แก้ได้ง่ายๆแค่รักและเคารพตัวเองให้มากขึ้น
ตอนนั้น เริ่มมองหาข้อดีในตัวเอง เขียนไดอารี่ขอบคุณตัวเอง เขียนจดหมายรักหาตัวเอง มันฟังแล้วเหมือนคนบ้าใช่ป่ะ แต่อยากบอกว่ามันช่วยสร้างความรักและภูมิใจในตัวเองได้จริงๆนะคะ
พอรักตัวเองเป็น ก็มองสิ่งดีๆที่อยู่รอบตัว เริ่มจากคนใกล้ตัวคือครอบครัวก่อนเลย นึกถึงข้อดีของพ่อ ข้อดีของแม่ ข้อดีของพี่น้องเวลาที่มันไม่ตบตีกับเรา ข้อดีของเพื่อนฝูงเวลาที่ช่วยเหลือกันในยามยากและอยู่ต่างแดน
ตอนเวลาปกติที่อยู่ด้วยกันเราอาจมองข้ามข้อดีของคนดีๆรอบตัวเหล่านี้ไป แค่เพราะเราเคยชินกับการมีอยู่ของพวกเค้า แต่พอเราเริ่มมามองให้ดีๆ ที่จริง เราได้รับวามรักดีๆมาตั้งแต่ที่เราเกิดเลยนะ

เราเกือบทุกคนได้เจอรักแท้ตั้งแต่วันแรกที่เราเกิด
แปลกแต่จริง พอรักตัวเองมากขึ้น ก็กลับมามีความสุขกับงาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ มีความภูมิใจในตัวเอง มันอิ่มเอมแบบเต็มในใจมากขึ้น
และสุดท้าย การอกหักครั้งนั้น ก็เลยสร้างแรงบันดาลใจให้โค้ชมองโลก และมองตัวเองเปลี่ยนไป
การได้เห็นตัวเองที่ทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ กลับมามีพลังในการทำงานที่รักอย่างมีความสุข เห็นคุณค่าในตัวเองและเห็นความสามารถในการทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ตอนนั้นก็เลยเริ่มทำเพจบนเฟสบุ้ค แชร์ประสบการณ์เรื่องงานแอร์ จนกระทั่งในที่สุดก็ลาออกจากงานแอร์มาเปิดโรงเรียนพัฒนาบุคลิกภาพและภาษา ได้กลับมาอยู่เมืองไทย ได้แต่งงานและมีลูกน้อยน่ารัก1คน เป็นครอบครัวอบอุ่นอย่างที่เคยฝันไว้
กลายเป็นว่า ตั้งแต่วันที่โค้ชเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นความรักของคนรอบข้าง และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อคนอื่น ชีวิตของโค้ชก็ดีขึ้นทุกทาง ความสำเร็จในชีวิตผู้หญิงหนึ่งคนอาจไม่ได้จำกัดอยู่ที่ว่าเธอจะได้แต่งงานไหม แต่มันอาจรวมถึงเธอสามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขและมีคุณค่าได้มากแค่ไหนด้วยต่างหาก
หวังว่าเรื่องของโค้ชจะทำให้คนที่กำลังอกหัก ไม่ว่าจะอกหักจากคนรัก หรือจากงาน มีกำลังใจมากขึ้นนะคะ
กำลังใจ ในวันที่ดิ่ง
ช่วงนี้ โค้ชเห็นหลายคนรอบตัวเจอแต่ปัญหากัน ทั้งปัญหาเรื่องการงาน การเงิน บางคนปัญหาการงานแล้วลามไปความรักอีก
บางครั้ง การที่ได้รู้ว่า "เราไม่ใช่คนเดียวที่เจอเรื่องแย่ๆนะ คนอื่นเค้าก็เจอ และเค้าก็ดีขึ้น" มันอาจช่วยให้บางคนรู้สึกไม่เดียวดาย และอาจช่วยให้กำลังใจได้นะ
เริ่มเลยละกัน
ก่อนที่จะมาเป็นโค้ชสอนน้องๆที่อยากเป็นแอร์สจ๊วต โค้ชเคยเป็นแอร์โฮสเตสสายญี่ปุ่นและสายแขกประจำอยู่ที่ดูไบค่ะ เป็นแอร์สาวขาวหมวยตัวเล็กที่มีความฝันว่าสักวันก็อยากแต่งงานกับคนที่รักแล้วมีทายาทตัวน้อยๆ แต่แล้วความฝันของก็หยุดลงตอนอายุ30กว่าๆ ตอนเลิกกับแฟนที่คบมานาน 7 ปี
ด้วยความที่ตอนนั้น ก็ไปเป็นแอร์อยู่ดูไบ ได้กลับไทยบ้างไม่ได้กลับซะมาก ต่อให้พยายามประคองรักทางไกลให้มันรอดแบบยอมหลับตาข้างนึง จนเพื่อนๆให้ชื่อว่า อีศรีทนได้ อีกินหญ้าแทนข้าว แต่สุดท้ายความรัก7ปีกว่ามันก็จบลง และเวลาเพียงไม่ถึงปี ก็มาได้ข่าวว่าชายคนรักเก่าเข้าพิธีแต่งงานกับผู้หญิงที่เค้าคบได้ไม่ถึงปี ตอนนั้นคือแบบดิ่ง ดิ่งมากกกกก เหมือนจมลงไปในบ่อทรายอ่ะว่า เฮ้ยเรากลายเป็นผู้หญิงโสดอายุ 30 กว่า เห็นภาพแฟนเก่าแต่งงานมันแบบจุกมาก และด้วยความที่เป็นแอร์แขก อยู่ห่างไกลครอบครัว จะร้องไห้หาพ่อแม่ญาติพี่น้องที่ไหนก็ไม่มีนะ จะหมูกะทะชาบูแก้เครียดก็ไม่มีนะ
จากผู้หญิงร่าเริงสดใส ตอนนั้น โค้ชกลายเป็นเหมือนตัวดูดวิญญาณในHarry Potter อ่ะ วันๆเอาแต่ตีหน้าเศร้าเล่าเรื่องทุกข์ กลางคืนไม่หลับไม่นอน กลางวันถัดมาก็จะหน้าตาคล้ายๆผีJuon หมดอาลัยตายอยากในชีวิตคิดแต่เรื่องเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาว่าทำไมๆๆๆ ทำไม่เค้าแต่งกับคนอื่นไม่แต่งกับเรา เราไม่ดีละคบมานานตั้ง7 ปีทำไมอ่า
เป็นเวลาถึงปีกว่าที่โค้ชยอมให้รังสีมืดมนมันคลอบงำตัวเอง โชคยังดีที่เริ่มทนสภาพตัวเองไม่ไหว คิดได้ว่าเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่เป็นบ้าก็ต้องกระโดดตึกBurj Khalifah ฆ่าตัวตายแน่ๆ โค้ชเลยเริ่มหาตัวช่วย
ตอนนั้นทำทุกทางค่ะ ทั้งเข้าวัดปฏิบัติธรรม ทั้งเข้าคอร์สนั่งสมาธิ10วันของท่านโกเอ็นก้า ทั้งเข้าเรียนคอร์สNLPจ่ายค่าเรียนไปเป็นแสน! ใครเคยเข้าเรียนคอร์สพวกนี้จะรู้ดี แพงเวอร์
ได้ไปเลี้ยงข้าวเย็นให้น้องๆเด็กตาบอดที่โรงเรียนสอนคนตาบอดตรงอนุสาวรีย์ การเห็นคนที่เค้าเหมือนจะขาดแต่กลับมีความสุขมากกว่าเรา มันทำให้ได้รู้ว่า ความรู้สึกว่าขาดหรือเต็ม มันเกิดขึ้นที่ใจ ไม่ใช่ร่างกาย
และการได้ไปอ่านหนังสืออัดเสียงลงเทปให้น้องๆที่ตาบอด ทำให้ได้รู้ว่า เรามีคุณค่าในตัวเองอ่ะ เราทำประโยชน์ เราช่วยคนอื่นๆได้อีกเยอะมากนะ
ในที่สุด โค้ชได้เห็นว่าปัญหาจริงๆ ที่คนอกหักมักเจอคือ พออกหัก ไม่ได้แต่งงาน หรือแม้กระทั่งหย่าร้าง เราก็จะไม่เห็นคุณค่าตัวเอง ไม่เคารพตัวเอง ดูถูกตัวเองและครอบครัว มันทำให้เราวิ่งตามความรักจากคนอื่นเพื่อมาเติมเต็มความรู้สึกไม่มั่นคงในใจ เรายึดและติดมันเพราะคิดว่ามันทำให้ชีวิตสมบูรณ์ ยิ่งเราออกแรง ดึงรั้งสิ่งใดไว้กับเรา เขาก็ยิ่งอึดอัด ขัดขืนและอยากเดินจากเราไปเท่านั้น แล้วเมื่อเขาจากไปเราก็รู้สึกไร้ค่าอีก กลายเป็นหนังน้ำเน่า remake แล้ว remake อีก แก้ได้ง่ายๆแค่รักและเคารพตัวเองให้มากขึ้น
ตอนนั้น เริ่มมองหาข้อดีในตัวเอง เขียนไดอารี่ขอบคุณตัวเอง เขียนจดหมายรักหาตัวเอง มันฟังแล้วเหมือนคนบ้าใช่ป่ะ แต่อยากบอกว่ามันช่วยสร้างความรักและภูมิใจในตัวเองได้จริงๆนะคะ
พอรักตัวเองเป็น ก็มองสิ่งดีๆที่อยู่รอบตัว เริ่มจากคนใกล้ตัวคือครอบครัวก่อนเลย นึกถึงข้อดีของพ่อ ข้อดีของแม่ ข้อดีของพี่น้องเวลาที่มันไม่ตบตีกับเรา ข้อดีของเพื่อนฝูงเวลาที่ช่วยเหลือกันในยามยากและอยู่ต่างแดน
ตอนเวลาปกติที่อยู่ด้วยกันเราอาจมองข้ามข้อดีของคนดีๆรอบตัวเหล่านี้ไป แค่เพราะเราเคยชินกับการมีอยู่ของพวกเค้า แต่พอเราเริ่มมามองให้ดีๆ ที่จริง เราได้รับวามรักดีๆมาตั้งแต่ที่เราเกิดเลยนะ
แปลกแต่จริง พอรักตัวเองมากขึ้น ก็กลับมามีความสุขกับงาน เห็นคุณค่าของงานที่ทำ มีความภูมิใจในตัวเอง มันอิ่มเอมแบบเต็มในใจมากขึ้น
และสุดท้าย การอกหักครั้งนั้น ก็เลยสร้างแรงบันดาลใจให้โค้ชมองโลก และมองตัวเองเปลี่ยนไป
การได้เห็นตัวเองที่ทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ กลับมามีพลังในการทำงานที่รักอย่างมีความสุข เห็นคุณค่าในตัวเองและเห็นความสามารถในการทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ตอนนั้นก็เลยเริ่มทำเพจบนเฟสบุ้ค แชร์ประสบการณ์เรื่องงานแอร์ จนกระทั่งในที่สุดก็ลาออกจากงานแอร์มาเปิดโรงเรียนพัฒนาบุคลิกภาพและภาษา ได้กลับมาอยู่เมืองไทย ได้แต่งงานและมีลูกน้อยน่ารัก1คน เป็นครอบครัวอบอุ่นอย่างที่เคยฝันไว้
กลายเป็นว่า ตั้งแต่วันที่โค้ชเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นความรักของคนรอบข้าง และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าต่อคนอื่น ชีวิตของโค้ชก็ดีขึ้นทุกทาง ความสำเร็จในชีวิตผู้หญิงหนึ่งคนอาจไม่ได้จำกัดอยู่ที่ว่าเธอจะได้แต่งงานไหม แต่มันอาจรวมถึงเธอสามารถใช้ชีวิตให้มีความสุขและมีคุณค่าได้มากแค่ไหนด้วยต่างหาก
หวังว่าเรื่องของโค้ชจะทำให้คนที่กำลังอกหัก ไม่ว่าจะอกหักจากคนรัก หรือจากงาน มีกำลังใจมากขึ้นนะคะ