
.
ผมเป็นคนชอบเดินเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดมา แทบไม่เคยใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซต์ ผมเคยมีประสบการณ์เดินเที่ยวเมืองเวียงจันทร์ และโอซาก้า รวมถึงหลายๆจังหวัดในไทย พบว่าการเดินชมเมือง นอกจากจะให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่แล้ว เรายังไม่ต้องเสียเงินเที่ยวอีกตังหาก
.

(บรรยากาศร้านโชห่วยดั้งเดิม เจริญกรุง 107)
.
. ประจวบเหมาะกับช่วงนี้ไปเที่ยวไหนไม่ได้ (เดินทางในวันที่ 1/5/2020) เลยขอออกเดินเที่ยว ชมเมืองเกิดตัวเอง ยอมรับว่ามันไม่ได้ตื่นตาตื่นใจมากนักหรอก แต่ก็มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ และผมในฐานะเด็กที่เกิดจากถิ่นนี้ จะพาทุกคนมาชมกัน รับรองได้ว่าจะได้เห็นกรุงเทพฯ ในอีกมุมที่คุณไม่เคยเห็น
.
.
7.15 น. จัดแจงกรอกน้ำดื่ม สะพายกล้อง ออกเดินทางจากหอพักย่านถนนตก เดินลัดเลาะเข้ามาทางเจริญกรุง 107 (ซอยประดู่) ซอยที่มีของกินอร่อยๆมากมาย ที่จริงตลอดถนนเจริญกรุงมันก็มีของกินแทบทุกซอย นั่นแหละ !

(บ้านไม้ 2 ชั้น อายุ 20 ปีขึ้นไป เอกลักษณ์บ้านในย่านนี้)
.
. ผมเดินเท้ามาตามซอยเล็กๆเรื่อยมา เสน่ห์ของพื้นที่แถวนี้คือ ทุกซอยสามารถเชื่อมต่อกันได้ และแต่ละซอยก็มีวัฒนธรรมที่ต่างกัน บางซอยคุณอาจจะเจอกับมุสลิม ถัดไปคุณอาจจะเจอกับโรงเจ และถัดไปอีกหน่อย คุณก็อาจจะเจอวัด หรือไม่ก็เจอคนจับกลุ่มเล่นไฮโลกันอยู่ก็ได้นะ ฮ่าๆๆ

(ซอยชุมชนหลังวัดจันทร์ใน)
.
. ผมเดินกลับมาที่บ้านแม่ เพื่อกินข้าวเช้าเติมพลัง จากนั้นจึงออกเดินต่อไปที่ ชุมชนสวนหลวง 1 ชุมชนมุสลิมที่นี่ น่าอยู่ มีความสงบ สะอาด ที่สุดถ้าเทียบกับย่านอื่นๆ แถมทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนยังมีตลาดของกินอร่อยๆทั้งนั้นเลย
.

(ชุมชนสวนหลวง 1)
.
. เดินลัดเลาะตามซอกซอยมาเรื่อยๆ ต้องบอกก่อนว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว ฮ่าๆ เพราะผมปั่นจักรยานเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เชี่ยวชาญทุกตรอกซอกซอย แต่ทั้งนี้ผมคิดว่าพื้นที่นี้ก็ยังคงอันตรายอยู่บ้างสำหรับคนนอก เพราะวัยรุ่นค่อนข้างเยอะ ไว้เดี่ยวจะเล่าให้ฟัง

(บ้านต้นไม้)
.
. ผมเดินตัดออกมาจนมาออกชุมชนแม่บาง แม่บางเป็นชุมชนมุสลิม อยู่ใกล้ๆกับห้างเอเชียทีค ไม่รู้ที่มาเหมือนกันว่าทำไมเรียกแม่บาง แต่ความทรงจำที่มีก็คือ สมัยเด็กๆพวกวัยรุ่นจะแบ่งกลุ่มกันไปตามพื้นที่ต่างๆที่ตัวเองอยู่ เช่น แก๊งค์แม่บาง แก๊งค์วันจันทร์ใน แก๊งโรงเจ แก๊งซอยบ้านใหม่ แต่ละแก๊งค์ก็จะมีพื้นที่ของตนเอง
.

.
. แต่ละแก๊งค์ต้องขอบอกเลยว่าโหดมากสมัยเราเด็กๆ โดยเฉพาะแม่บาง ขึ้นชื่อลือชามาก เราเป็นเด็กวัดจันทร์ใน ครั้งหนึ่งสมัยมัธยม เราเตะบอลเสร็จประมาณ 3 ทุ่ม เดินกลับบ้านผ่านทางแม่บาง อยู่ดีๆพวกพี่ ก็เล่นมาเตะก้านคอผมเฉยๆซะงั้น คุณว่าโหดไหมละ -.-

.
. ผมรีบเดินออกจากแม่บาง เพราะไม่อยากโดนก้านคออีก เดินต่อมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่พื้นที่โรงเจ หรือชุมชนวัดพระยาไกร ย่านนี้พื้นเพผมว่าส่วนใหญ่เป็นคนจีน แต่ก็จะมีคนต่างถิ่นที่เข้ามาทำงานใน กทม. ที่มักพักอาศัยตามหอพัก บ้านเช่า ก็เริ่มมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
.

(ตลาดบ้านใหม่)
.
. จากโรงเจ เราสามารถเดินซิกแซกมาเรื่อยๆ จนมาออกซอยบ้านใหม่ ศูนย์รวมอาหารสด อาหารสำเร็จ ผัก ปลา หู หมา กา ไก่ มีทุกอย่างที่จะกิน แถมราคาก็ถูกแสนถูก ที่อวยขนาดนี้เพราะผมมักจะมาฝากท้องที่ซอยนี้ ทุกเช้าเย็น
.

(ซ.แฉล้มนิมิตร)
.
. มาถึงตรงนี้บอกเลยว่าแรงยังเหลือเฟือ อากาศเวลาแปดโมงครึ่งไม่ร้อนเท่าไหร่ ผมเดินทะลุบ้านใหม่ไปทางด้านหลัง เป็นซอยแฉล้ม จากซอยนี้เราสามารถเดินเพื่อไปทะลุ ถนนจันทน์ได้ ตรงนี้หนทางค่อนข้างไกลหน่อย แถมเป็นถนนรถวิ่ง ผมจึงรีบเดินจนไปทะลุตรอกจันทน์
.

.
. ถ้าที่ผ่านมาคือการเดินไปหาเพื่อน มันคงเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนเรารู้จักเพื่อนสนิทเราดีอยู่แล้ว แต่พอเราเดินมาถึงตรงนี้ มันคงเป็นเหมือนเพื่อนที่รู้จัก แต่ไม่สนิทเท่าไหร่ เส้นทางการเดินเท้าต่อไปจึงเปลี่ยนไป จากที่ตอนแรกเราเน้นเดินตามตรอกซอกซอย คราวนี้ก็จะเริ่มเดินออกสู่ถนนใหญ่กันบ้างแล้วละ
. เราเดินต่อมาทางตลาดแสงจันทร์ แถวนี้เราพอคุ้นเคยสมัยมัธยมต้น เราเรียนที่วัดสุทธิวราราม และเชื่อว่าเด็กๆ สธ. หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้
.

(หลังศาล สธ.)
.
. Come on let go to ถนน.เจริญกรุง พลิกดูนาฬิกาเป็นเวลา 10 โมงกว่า เริ่มหวั่นใจแล้วว่า กูจะเดินไปได้ถึงไหนวะ อากาศเริ่มร้อน เท้าเริ่มพอง จึงขอนั่งพักอยู่ตรงนี้ก่อน
.

.
. พักจนหายเหนื่อย เราก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึง โรบินสันบางรัก เริ่มเกิดคำถามกับตัวเองว่า ทำไมถึงออกมาเดิน…...เราค้นพบว่า เรารู้สึกชอบการออกไป connect กับอะไรสักอย่างที่บนโลกออนไลน์ไม่สามารถให้เราได้ เพราะต่อให้ซีรี่ย์ใน netflix จะสนุกเพียงใด หนังสือที่ซื้อมาตุนกองไว้จะน่าสนใจแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรที่เราจะรู้สึกดีไปกว่าการได้ออกเดินทาง
.
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เขาชอบบอกว่า ออกไปเที่ยวให้ตัวเองลำบาก จะออกไปทำไม ผมกลับพบว่าผมชอบที่จะใช้ชีวิตแบบลำบากบ้าง มันคงเป็นสีสันชีวิตของแต่ละคน
.
เลิกบ่นแล้วไปต่อกันดีกว่า ผมเดินจากโรบินสันบางรัก ไปจนถึงตลาดน้อย บรรยากาศเงียบเหงากว่าที่เคย ไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว มีเพียงชายหนึ่งเดียวที่มาเยือน เขายังคงเดินๆๆๆ ผ่านความเงียบสงัดของตลาดน้อย ทันใดนั้นเอง…….BMW สีดำเงา ก็โผล่มาแบบไม่ให้สุ้ม ให้เสียง ชายคนนั้นเอี้ยวตัวหลบให้พ้นจากการเดินชน และก็โป้งงงงงงง...หัวชนเข้ากับป้ายเหล็กจังๆ พูดแล้วก็เจ็บไม่หาย แต่ถือว่ายังดีที่ผมได้หันหลังไปด่าเจ้า BMW แล้วว่า ขับรถภาษา….อะไร แต่เขาคงไม่ได้ยินหรอก
.

.
. จากตลาดน้อยสู่ทรงวาด ไม่ใช่ชื่อละครย้อนยุค แต่คือการเดินทางทรมานส้นเท้าที่สนุกดี ทรงวาดเป็นถนนที่ให้อารมณ์เหมือนหนัง 2499 อันธพาลครองเมือง…เป็นถนนที่ขนานกับถนนเยาวราช แต่ให้อารมณ์ที่สงบ น่าเดินเล่น ถ่ายรูปมากกว่า
.

.
. มาแวะช็อปปิ้งกันที่สำเพ็งกันต่อดีกว่า ตอนแรกคิดว่าสำเพ็งคงเงียบเหงา แต่โอ้วววแม่เจ้า คนเยอะเหมือนกันนะ แถมของที่ขายส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องพูดถึง คุณสามารถเดาของที่ขายในสำเพ็งได้จาก กระแสนิยมของสินค้าในช่วงนี้ได้เลย (หน้ากากอนามัย face shild)
.
. ผมรีบมุดหนีผู้คน มุดมาเรื่อยๆผ่านบ้านคนนู้น คนนี่ ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่มีกันแทบทุกบ้านและสิ่งนั้นก็คือ
.


.
. มันคงเป็นวัฒนธรรมของประเทศเราไปแล้ว กับการแขวนป้ายแบบนี้ มองมุมหนึ่งก็ตลกดี แต่อีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนจะแสดงให้เห็นพฤติกรรมอะไรบางอย่างของพวกเราเหมือนกัน…..
. จากสำเพ็งเข้าสู่สะพานพุทธ สายลมแผ่วเบาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่บรรยากาศดูเงียบซึม ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดูเหมือนอะไรหลายๆอย่างใน กทม จะเปลี่ยนไป ผู้คนดูเงียบขรึมขึ้น ความวุ่นวายดูเบาบาง แต่ภายใต้ความเงียบสงัดนั้น ก็เต็มไปด้วยความเดือดร้อนที่เพิ่มมากขึ้นของใครหลายคน ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาดูเหมือนคนไร้บ้านตามข้างทางจะมีมากขึ้น และยิ่งเข้าสู่เขตพระนคร ก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มจำนวนสูงขึ้นเป็นเท่าตัว

"
. ผมแวะทานข้าวเที่ยงที่ร้านเสียวหลัง เสียวหลังคือร้านกะเพราไก่ ที่เหล่า นร.แถวนี้ รู้จักกันดี ด้วยเอกลักษณ์ที่กะเพราไก่แสนอร่อย ให้เยอะ ในราคาเพียง 40 บาท ก็ทำให้ใครหลายคนติดใจ จนต้องกลับมากินรอบ 2 ให้ได้ สำหรับผมคงเป็นรอบที่ร้อยแล้วละ ชื่อเสียวหลังมาจากแต่ก่อนร้านจะตั้งบริเวณริมทางขนผัก ทำให้เวลากินไปต้องคอยเสียวหลังไปว่ารถเข็นผักจะมาชนไหม

(กะเพราไก่เสียวหลัง)
.
. ได้กินข้าวกินน้ำก็สดชื่นขึ้น แต่บรรยากาศภายนอกในเวลาเที่ยงเริ่มร้อนละอุ แต่อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แล้วคือสนามหลวง ผมเดินมาทางท่าเตียน บรรยากาศแทบจะเหมือนเมืองร้าง ทั้งที่แต่ก่อนย่านนี้แทบจะเป็นศูนย์รวมของคนจากทั่วทุกมุกโลกที่มาท่องเที่ยว วันนี้กลับเหลือเพียงพี่ตุ๊กๆ คันเดียว จอดเหงาหงอย รอการกลับมาของลูกค้าของเขา
.

.
. ผมแหงนดูนาฬิกาอีกครั้ง เพื่อดูจำนวนก้าวเดิน ปรากฎว่าเดินไป 10000 กว่าก้าว สำหรับคนออกกำลังกายประจำอย่างผม จำนวนเท่านี้ถือว่าสบายมาก แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ทั้งเท้าก็ยังเริ่มพองมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ
.
. การเดินทางของสองเท้ายังคงดำเนินต่อไป จนมาถึงท่าพระจันทร์ ผมมีทางเลือก 2 ทางคือกลับและไปต่อ แต่ไหนๆมาถึงขนาดนี้แล้ว กลับบ้านไปก็เบื่อ ขอเดินไปอีกนิด เพื่อทำสถิติให้กับตัวเอง ว่าครั้งหนึ่งเคยเดินจากบ้านมาถึง ถนนข้าวสาร
.

.
. น้ำที่เตรียมใส่กระบอกมา แปรสภาพจากน้ำอุ่น กลายเป็นน้ำร้อน การกินน้ำร้อนไม่ช่วยให้ความกระหายดับลง ผมมองหาเซเว่น แล้วคิดถึงเครื่องดื่มที่เราชอบกิน “สเลอปี้” ผมไม่ได้กินมันมาหลายปีแล้ว แต่รสชาติความสดชื่นของมันยังไม่เคยจางหายไปจางความทรงจำของผม
.
. ผมเดินเข้าเซเว่น 3-4 ที่กว่าจะเจอมัน แต่ก็ต้องตกใจเพราะดูเหมือนเขาจะลดขนาดแก้วสเลอปี้ของเราให้เล็กลง ผมกดมันมาเต็มแก้ว พร้อมกับย้อนวันวานด้วยการแอบกินมันและกดต่อ แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่า การแอบกินมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสนุกและรู้สึกตื่นเต้นที่เคยแอบกินในวัยเด็ก มันกลับกลายเป็นความเขิลอาย ที่มาแอบกินในวัยนี้
.
. ผมเดินออกจากเซเว่นถนนข้าวสาร เพื่อมารอรถเมล์สาย 6 แต่ปรากฎว่ารอตั้งนานก็ไม่มา จึงตัดสินใจขึ้นสาย 82 นี่ก็คงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ได้กลับมาสู่บรรยากาศเก่าๆ การเดินทางของผมครั้งนี้เหมือนได้นั่งทาแมชชีนย้อนเวลากลับไปหาความทรงจำของตัวเองอีกครั้งหนึ่งเลย
.
. เริ่มจากเดินตามตรอกซอกซอย เหมือนครั้งเด็กน้อยที่มักชอบ ปั่นจักรยานกับแก๊งเพื่อนๆ เดินผ่านสถานที่ในวัยมัธยม ที่ซ่อนเรื่องราวครั้งแรกไว้มากมาย…..สูบบุหรี่ครั้งแรก โดดเรียนครั้งแรก อะไรหลายๆอย่างครั้งแรก เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้
.
. ผ่านย่านการค้าเก่าแก่อย่างสำเพ็ง เยาวราช ที่ทำให้คิดถึงภาพการทำงานอย่างหนักหน่วงในช่วงวัยเรียน ที่สุดท้ายมันทำให้เราเติบโตจนมีวันนี้ ผ่านย่านสะพานพุทธ ย่านที่เรากับเพื่อนๆสมัยมหาวิทยาลัยเคยนั่งดื่ม เหล้าเบียร์กันอย่างสนุกสนาน หรือแม้แต่กระทั่งย่านท่าเตียน มันก็ได้ฉายภาพสมัยเรียน ปวช ที่ผ่านเรื่องราวดีร้ายต่างๆนานา มามากมาย ดูเหมือนผมจะมีความทรงจำซ่อนอยู่ ในทางเดินที่ผ่านมาแทบทุกก้าว
.
ถนนตก จรด ถนนข้าวสาร กับการเดินเท้าเที่ยว 13 ไมล์
.
ผมเป็นคนชอบเดินเป็นชีวิตจิตใจ เรียกได้ว่าตั้งแต่เกิดมา แทบไม่เคยใช้บริการพี่วินมอเตอร์ไซต์ ผมเคยมีประสบการณ์เดินเที่ยวเมืองเวียงจันทร์ และโอซาก้า รวมถึงหลายๆจังหวัดในไทย พบว่าการเดินชมเมือง นอกจากจะให้ประสบการณ์ที่แปลกใหม่แล้ว เรายังไม่ต้องเสียเงินเที่ยวอีกตังหาก
.
(บรรยากาศร้านโชห่วยดั้งเดิม เจริญกรุง 107)
.
. ประจวบเหมาะกับช่วงนี้ไปเที่ยวไหนไม่ได้ (เดินทางในวันที่ 1/5/2020) เลยขอออกเดินเที่ยว ชมเมืองเกิดตัวเอง ยอมรับว่ามันไม่ได้ตื่นตาตื่นใจมากนักหรอก แต่ก็มีเรื่องราวมากมายซ่อนอยู่ และผมในฐานะเด็กที่เกิดจากถิ่นนี้ จะพาทุกคนมาชมกัน รับรองได้ว่าจะได้เห็นกรุงเทพฯ ในอีกมุมที่คุณไม่เคยเห็น
.
.
7.15 น. จัดแจงกรอกน้ำดื่ม สะพายกล้อง ออกเดินทางจากหอพักย่านถนนตก เดินลัดเลาะเข้ามาทางเจริญกรุง 107 (ซอยประดู่) ซอยที่มีของกินอร่อยๆมากมาย ที่จริงตลอดถนนเจริญกรุงมันก็มีของกินแทบทุกซอย นั่นแหละ !
(บ้านไม้ 2 ชั้น อายุ 20 ปีขึ้นไป เอกลักษณ์บ้านในย่านนี้)
.
. ผมเดินเท้ามาตามซอยเล็กๆเรื่อยมา เสน่ห์ของพื้นที่แถวนี้คือ ทุกซอยสามารถเชื่อมต่อกันได้ และแต่ละซอยก็มีวัฒนธรรมที่ต่างกัน บางซอยคุณอาจจะเจอกับมุสลิม ถัดไปคุณอาจจะเจอกับโรงเจ และถัดไปอีกหน่อย คุณก็อาจจะเจอวัด หรือไม่ก็เจอคนจับกลุ่มเล่นไฮโลกันอยู่ก็ได้นะ ฮ่าๆๆ
(ซอยชุมชนหลังวัดจันทร์ใน)
.
. ผมเดินกลับมาที่บ้านแม่ เพื่อกินข้าวเช้าเติมพลัง จากนั้นจึงออกเดินต่อไปที่ ชุมชนสวนหลวง 1 ชุมชนมุสลิมที่นี่ น่าอยู่ มีความสงบ สะอาด ที่สุดถ้าเทียบกับย่านอื่นๆ แถมทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนยังมีตลาดของกินอร่อยๆทั้งนั้นเลย
.
(ชุมชนสวนหลวง 1)
.
. เดินลัดเลาะตามซอกซอยมาเรื่อยๆ ต้องบอกก่อนว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว ฮ่าๆ เพราะผมปั่นจักรยานเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็ก ทำให้เชี่ยวชาญทุกตรอกซอกซอย แต่ทั้งนี้ผมคิดว่าพื้นที่นี้ก็ยังคงอันตรายอยู่บ้างสำหรับคนนอก เพราะวัยรุ่นค่อนข้างเยอะ ไว้เดี่ยวจะเล่าให้ฟัง
(บ้านต้นไม้)
.
. ผมเดินตัดออกมาจนมาออกชุมชนแม่บาง แม่บางเป็นชุมชนมุสลิม อยู่ใกล้ๆกับห้างเอเชียทีค ไม่รู้ที่มาเหมือนกันว่าทำไมเรียกแม่บาง แต่ความทรงจำที่มีก็คือ สมัยเด็กๆพวกวัยรุ่นจะแบ่งกลุ่มกันไปตามพื้นที่ต่างๆที่ตัวเองอยู่ เช่น แก๊งค์แม่บาง แก๊งค์วันจันทร์ใน แก๊งโรงเจ แก๊งซอยบ้านใหม่ แต่ละแก๊งค์ก็จะมีพื้นที่ของตนเอง
.
.
. แต่ละแก๊งค์ต้องขอบอกเลยว่าโหดมากสมัยเราเด็กๆ โดยเฉพาะแม่บาง ขึ้นชื่อลือชามาก เราเป็นเด็กวัดจันทร์ใน ครั้งหนึ่งสมัยมัธยม เราเตะบอลเสร็จประมาณ 3 ทุ่ม เดินกลับบ้านผ่านทางแม่บาง อยู่ดีๆพวกพี่ ก็เล่นมาเตะก้านคอผมเฉยๆซะงั้น คุณว่าโหดไหมละ -.-
.
. ผมรีบเดินออกจากแม่บาง เพราะไม่อยากโดนก้านคออีก เดินต่อมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่พื้นที่โรงเจ หรือชุมชนวัดพระยาไกร ย่านนี้พื้นเพผมว่าส่วนใหญ่เป็นคนจีน แต่ก็จะมีคนต่างถิ่นที่เข้ามาทำงานใน กทม. ที่มักพักอาศัยตามหอพัก บ้านเช่า ก็เริ่มมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
.
(ตลาดบ้านใหม่)
.
. จากโรงเจ เราสามารถเดินซิกแซกมาเรื่อยๆ จนมาออกซอยบ้านใหม่ ศูนย์รวมอาหารสด อาหารสำเร็จ ผัก ปลา หู หมา กา ไก่ มีทุกอย่างที่จะกิน แถมราคาก็ถูกแสนถูก ที่อวยขนาดนี้เพราะผมมักจะมาฝากท้องที่ซอยนี้ ทุกเช้าเย็น
.
(ซ.แฉล้มนิมิตร)
.
. มาถึงตรงนี้บอกเลยว่าแรงยังเหลือเฟือ อากาศเวลาแปดโมงครึ่งไม่ร้อนเท่าไหร่ ผมเดินทะลุบ้านใหม่ไปทางด้านหลัง เป็นซอยแฉล้ม จากซอยนี้เราสามารถเดินเพื่อไปทะลุ ถนนจันทน์ได้ ตรงนี้หนทางค่อนข้างไกลหน่อย แถมเป็นถนนรถวิ่ง ผมจึงรีบเดินจนไปทะลุตรอกจันทน์
.
.
. ถ้าที่ผ่านมาคือการเดินไปหาเพื่อน มันคงเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่กันมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนเรารู้จักเพื่อนสนิทเราดีอยู่แล้ว แต่พอเราเดินมาถึงตรงนี้ มันคงเป็นเหมือนเพื่อนที่รู้จัก แต่ไม่สนิทเท่าไหร่ เส้นทางการเดินเท้าต่อไปจึงเปลี่ยนไป จากที่ตอนแรกเราเน้นเดินตามตรอกซอกซอย คราวนี้ก็จะเริ่มเดินออกสู่ถนนใหญ่กันบ้างแล้วละ
. เราเดินต่อมาทางตลาดแสงจันทร์ แถวนี้เราพอคุ้นเคยสมัยมัธยมต้น เราเรียนที่วัดสุทธิวราราม และเชื่อว่าเด็กๆ สธ. หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับสถานที่นี้
.
(หลังศาล สธ.)
.
. Come on let go to ถนน.เจริญกรุง พลิกดูนาฬิกาเป็นเวลา 10 โมงกว่า เริ่มหวั่นใจแล้วว่า กูจะเดินไปได้ถึงไหนวะ อากาศเริ่มร้อน เท้าเริ่มพอง จึงขอนั่งพักอยู่ตรงนี้ก่อน
.
.
. พักจนหายเหนื่อย เราก็ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆจนถึง โรบินสันบางรัก เริ่มเกิดคำถามกับตัวเองว่า ทำไมถึงออกมาเดิน…...เราค้นพบว่า เรารู้สึกชอบการออกไป connect กับอะไรสักอย่างที่บนโลกออนไลน์ไม่สามารถให้เราได้ เพราะต่อให้ซีรี่ย์ใน netflix จะสนุกเพียงใด หนังสือที่ซื้อมาตุนกองไว้จะน่าสนใจแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรที่เราจะรู้สึกดีไปกว่าการได้ออกเดินทาง
.
ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่เขาชอบบอกว่า ออกไปเที่ยวให้ตัวเองลำบาก จะออกไปทำไม ผมกลับพบว่าผมชอบที่จะใช้ชีวิตแบบลำบากบ้าง มันคงเป็นสีสันชีวิตของแต่ละคน
.
เลิกบ่นแล้วไปต่อกันดีกว่า ผมเดินจากโรบินสันบางรัก ไปจนถึงตลาดน้อย บรรยากาศเงียบเหงากว่าที่เคย ไร้ซึ่งนักท่องเที่ยว มีเพียงชายหนึ่งเดียวที่มาเยือน เขายังคงเดินๆๆๆ ผ่านความเงียบสงัดของตลาดน้อย ทันใดนั้นเอง…….BMW สีดำเงา ก็โผล่มาแบบไม่ให้สุ้ม ให้เสียง ชายคนนั้นเอี้ยวตัวหลบให้พ้นจากการเดินชน และก็โป้งงงงงงง...หัวชนเข้ากับป้ายเหล็กจังๆ พูดแล้วก็เจ็บไม่หาย แต่ถือว่ายังดีที่ผมได้หันหลังไปด่าเจ้า BMW แล้วว่า ขับรถภาษา….อะไร แต่เขาคงไม่ได้ยินหรอก
.
.
. จากตลาดน้อยสู่ทรงวาด ไม่ใช่ชื่อละครย้อนยุค แต่คือการเดินทางทรมานส้นเท้าที่สนุกดี ทรงวาดเป็นถนนที่ให้อารมณ์เหมือนหนัง 2499 อันธพาลครองเมือง…เป็นถนนที่ขนานกับถนนเยาวราช แต่ให้อารมณ์ที่สงบ น่าเดินเล่น ถ่ายรูปมากกว่า
.
.
. มาแวะช็อปปิ้งกันที่สำเพ็งกันต่อดีกว่า ตอนแรกคิดว่าสำเพ็งคงเงียบเหงา แต่โอ้วววแม่เจ้า คนเยอะเหมือนกันนะ แถมของที่ขายส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องพูดถึง คุณสามารถเดาของที่ขายในสำเพ็งได้จาก กระแสนิยมของสินค้าในช่วงนี้ได้เลย (หน้ากากอนามัย face shild)
.
. ผมรีบมุดหนีผู้คน มุดมาเรื่อยๆผ่านบ้านคนนู้น คนนี่ ก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เป็นสิ่งที่มีกันแทบทุกบ้านและสิ่งนั้นก็คือ
.
.
. มันคงเป็นวัฒนธรรมของประเทศเราไปแล้ว กับการแขวนป้ายแบบนี้ มองมุมหนึ่งก็ตลกดี แต่อีกมุมหนึ่งมันก็เหมือนจะแสดงให้เห็นพฤติกรรมอะไรบางอย่างของพวกเราเหมือนกัน…..
. จากสำเพ็งเข้าสู่สะพานพุทธ สายลมแผ่วเบาจากแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่บรรยากาศดูเงียบซึม ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ดูเหมือนอะไรหลายๆอย่างใน กทม จะเปลี่ยนไป ผู้คนดูเงียบขรึมขึ้น ความวุ่นวายดูเบาบาง แต่ภายใต้ความเงียบสงัดนั้น ก็เต็มไปด้วยความเดือดร้อนที่เพิ่มมากขึ้นของใครหลายคน ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาดูเหมือนคนไร้บ้านตามข้างทางจะมีมากขึ้น และยิ่งเข้าสู่เขตพระนคร ก็ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มจำนวนสูงขึ้นเป็นเท่าตัว
"
. ผมแวะทานข้าวเที่ยงที่ร้านเสียวหลัง เสียวหลังคือร้านกะเพราไก่ ที่เหล่า นร.แถวนี้ รู้จักกันดี ด้วยเอกลักษณ์ที่กะเพราไก่แสนอร่อย ให้เยอะ ในราคาเพียง 40 บาท ก็ทำให้ใครหลายคนติดใจ จนต้องกลับมากินรอบ 2 ให้ได้ สำหรับผมคงเป็นรอบที่ร้อยแล้วละ ชื่อเสียวหลังมาจากแต่ก่อนร้านจะตั้งบริเวณริมทางขนผัก ทำให้เวลากินไปต้องคอยเสียวหลังไปว่ารถเข็นผักจะมาชนไหม
(กะเพราไก่เสียวหลัง)
.
. ได้กินข้าวกินน้ำก็สดชื่นขึ้น แต่บรรยากาศภายนอกในเวลาเที่ยงเริ่มร้อนละอุ แต่อีกนิดเดียวก็จะถึงจุดหมายที่ตั้งใจไว้แล้วคือสนามหลวง ผมเดินมาทางท่าเตียน บรรยากาศแทบจะเหมือนเมืองร้าง ทั้งที่แต่ก่อนย่านนี้แทบจะเป็นศูนย์รวมของคนจากทั่วทุกมุกโลกที่มาท่องเที่ยว วันนี้กลับเหลือเพียงพี่ตุ๊กๆ คันเดียว จอดเหงาหงอย รอการกลับมาของลูกค้าของเขา
.
.
. ผมแหงนดูนาฬิกาอีกครั้ง เพื่อดูจำนวนก้าวเดิน ปรากฎว่าเดินไป 10000 กว่าก้าว สำหรับคนออกกำลังกายประจำอย่างผม จำนวนเท่านี้ถือว่าสบายมาก แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกเหนื่อยล้ามาก ทั้งเท้าก็ยังเริ่มพองมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสิ
.
. การเดินทางของสองเท้ายังคงดำเนินต่อไป จนมาถึงท่าพระจันทร์ ผมมีทางเลือก 2 ทางคือกลับและไปต่อ แต่ไหนๆมาถึงขนาดนี้แล้ว กลับบ้านไปก็เบื่อ ขอเดินไปอีกนิด เพื่อทำสถิติให้กับตัวเอง ว่าครั้งหนึ่งเคยเดินจากบ้านมาถึง ถนนข้าวสาร
.
.
. น้ำที่เตรียมใส่กระบอกมา แปรสภาพจากน้ำอุ่น กลายเป็นน้ำร้อน การกินน้ำร้อนไม่ช่วยให้ความกระหายดับลง ผมมองหาเซเว่น แล้วคิดถึงเครื่องดื่มที่เราชอบกิน “สเลอปี้” ผมไม่ได้กินมันมาหลายปีแล้ว แต่รสชาติความสดชื่นของมันยังไม่เคยจางหายไปจางความทรงจำของผม
.
. ผมเดินเข้าเซเว่น 3-4 ที่กว่าจะเจอมัน แต่ก็ต้องตกใจเพราะดูเหมือนเขาจะลดขนาดแก้วสเลอปี้ของเราให้เล็กลง ผมกดมันมาเต็มแก้ว พร้อมกับย้อนวันวานด้วยการแอบกินมันและกดต่อ แต่ผมกลับมีความรู้สึกว่า การแอบกินมันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสนุกและรู้สึกตื่นเต้นที่เคยแอบกินในวัยเด็ก มันกลับกลายเป็นความเขิลอาย ที่มาแอบกินในวัยนี้
.
. ผมเดินออกจากเซเว่นถนนข้าวสาร เพื่อมารอรถเมล์สาย 6 แต่ปรากฎว่ารอตั้งนานก็ไม่มา จึงตัดสินใจขึ้นสาย 82 นี่ก็คงเป็นอีกครั้งที่ทำให้ได้กลับมาสู่บรรยากาศเก่าๆ การเดินทางของผมครั้งนี้เหมือนได้นั่งทาแมชชีนย้อนเวลากลับไปหาความทรงจำของตัวเองอีกครั้งหนึ่งเลย
.
. เริ่มจากเดินตามตรอกซอกซอย เหมือนครั้งเด็กน้อยที่มักชอบ ปั่นจักรยานกับแก๊งเพื่อนๆ เดินผ่านสถานที่ในวัยมัธยม ที่ซ่อนเรื่องราวครั้งแรกไว้มากมาย…..สูบบุหรี่ครั้งแรก โดดเรียนครั้งแรก อะไรหลายๆอย่างครั้งแรก เกิดขึ้นในพื้นที่เหล่านี้
.
. ผ่านย่านการค้าเก่าแก่อย่างสำเพ็ง เยาวราช ที่ทำให้คิดถึงภาพการทำงานอย่างหนักหน่วงในช่วงวัยเรียน ที่สุดท้ายมันทำให้เราเติบโตจนมีวันนี้ ผ่านย่านสะพานพุทธ ย่านที่เรากับเพื่อนๆสมัยมหาวิทยาลัยเคยนั่งดื่ม เหล้าเบียร์กันอย่างสนุกสนาน หรือแม้แต่กระทั่งย่านท่าเตียน มันก็ได้ฉายภาพสมัยเรียน ปวช ที่ผ่านเรื่องราวดีร้ายต่างๆนานา มามากมาย ดูเหมือนผมจะมีความทรงจำซ่อนอยู่ ในทางเดินที่ผ่านมาแทบทุกก้าว
.