อายุ30แล้วมีอะไรเปลี่ยนไปบ้างครับในชีวิตคุณ อ่านกระทู้นี้แล้วนึกถึงตัวเอง ไม่เคยคิดว่ามาก่อนว่าชีวิตจะเปลี่ยนแปลงไปได้ขนาดนี้

แทบจะเปลี่ยนแปลงไปถึง 80% จากช่วงชีวิตวัย 20กว่าของเรา ทัศนคติ และการเห็นคุณค่าของตัวเองเราได้จากการที่เราสูญเสียคนสำคัญที่สุดไป คนที่รักที่สุด คนที่ปกป้องเรา คนที่เราคิดว่าปลอดภัยและสบายใจที่สุดเมื่อมีเค้าอยู่ คนที่เป็นแบบอย่าง ต้นแบบ แนวทางในการดำเนินชีวิตของเรา เกือบทั้งหมด คือคุณพ่อของเราเอง ท่านเป็นคนที่มีจิตใจดี ยิ้มแย้ม ฉลาด รอบคอบ ใจกว้าง พ่อจะสอนให้มองมุมกว้าง เวลาคิดเราต้องคิดไป 2 step คิดนำคนอื่น คิดต่างจากคนอื่น และที่สำคัญ พ่อจะสอนให้มองทุกสิ่งรอบตัวและสิ่งที่เราทำอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่มองว่าเราแค่ได้ผลประโยชน์อะไรแค่นั้น ให้มองว่าสิ่งนั้นให้คุณค่าอะไรกับเราดีกว่า สิ่งพวกนี้มันจะทำให้เรามองโลกในด้านแง่ดี รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และรู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ถ้าในใจเราจะมีฮีโร่ในใจสักคน คนนั้นก็คือพ่อของเรา SuperDad ตั้งแต่พ่อเสียเราทำใจอยู่เกือบปี กว่าจะดีขึ้นมาหน่อย ตอนนี้ท่านเสียไปได้ 3 ปี กว่าแล้ว ท่านคือความทรงจำและช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเรา ระหว่างระยะเวลาที่เราเยียวยาตัวเอง หนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุด เราไม่ค่อยพูดจากับใคร อ่านหนังสือ ฟังเพลงเศร้า ทำงาน กลับบ้าน ไม่สุงสิงหรือไปไหนมาไหน ถ้าไม่จำเป็น เราอ่านหนังสือ และคิดว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง ความคิดมันค่อยๆตกผนึก จากการอ่านมันซึมซับ เวลาดำเนินไป ความคิด ทัศนคติ ค่อยๆเปลี่ยนแปลงตาม นั้นคือจุดเริ่มต้นของการที่ชีวิตของเราเปลี่ยนไป 80% เราพยายามแยกออกมาเป็นด้านๆ เพื่อที่จะเข้าใจต่อการเรียบเรียง
*** ทัศนคติ มันทำให้การการมองโลก มองสิ่งรอบข้างให้น่าพึงพอใจมากขึ้น เราพึงพอใจในสิ่งที่มีมากขึ้น และอยากสร้างคุณค่าให้ตัวเองมากขึ้น เราสามารถมองเห็นคุณค่าของทุกสิ่ง รอบข้างมากขึ้น เราเข้าใจโลก เราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ง่ายขึ้น เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น จากเมื่อก่อนเราจะเป็นโกรธง่ายกับทุกสิ่ง เคียดแค้นกับทุกสิ่ง แต่เป็นคนที่ชอบตั้งคำถาม แต่จะเป็นคำถามในวงแคบ คำถามที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการแค่เราไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่ถูกกับจริตของเรา ก็กลายเป็นว่าตั้งคำถาม คิดลบ และก็ไม่ชอบ ไม่ทำ แต่พอทัศนคติเปลี่ยน เราเรียนรู้เรามองในมุมมองที่แตกต่างจากเมื่อก่อน เราคิดต่าง เรามองในมุมเค้า มุมเรา เราก็จะตั้งคำถามเชิงลบนั้นน้อยลง จากที่เป็นคนโกรธง่ายในทุกเรื่องทุกคนที่คิดต่างจากเรา เราก็เปลี่ยนจากการโกรธ เป็นเรียนรู้ว่าทำไม เค้าถึงคิดแบบนี้ มุมมองเค้าเป็นเช่นไร หัดมองคน หัดอ่านใจคนบ้างในบางคราว
***การตั้งเป้าหมาย เมื่อก่อนเป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไร คิดจะทำก็ทำ ทำให้มันผ่านไปวันๆ แต่พอเรามีมุมมองที่เปลี่ยน เราจะเริ่มตั้งเป้าหมายในชีวิตเรา มันทำให้เรารู้ว่าว่า เราพยายาม เราอดทนไปเพื่ออะไร เป้าหมายนั้นมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว แต่เราชอบตั้งเป้าหมายระยะยาว เพราะการตั้งระยะยาวเราไปถึงมันได้ด้วยดอกผลของความอนทนและพยายาม อาจมีเซเป๋ออกข้างทางไปบ้าง หลงทางบ้าง แต่เราก็สามารถเดินอ้อมกลับมาทางเก่าได้ มันทำให้เรามีความหวัง คาดหวังกับเป้าหมาของเรา เชื่อเถอะถ้าเราอดทนและพยายาม ไม่ย่อท้อ เป้าหมายระยะยาวเราไปถึงแน่นอน สำหรับตัวเรา เรามีเป้าหมาย ระยะยาว ถึง 5-10 ปี บางคนบอกเราว่ามันยาวไป ใช่สำหรับคนที่มองใกล้ๆ ถ้าคุณลองพยายามมองในมุมไกลๆ คุณจะเห็นว่าเป้าหมายระยะยาวแบบนั้น มันทำให้คุณประสบความสำเร็จ และมั่นคง ยาวนานกว่าเป้าหมายระยะสั้นของเรา
***ความพยายาม พยายามแล้ว พยายามอีก พยายามเหอะ มันคุ้มกับความพยายามมาก แต่ราต้องมองว่าการพยายามของเรานั้น มันมีหนทางที่จะไปต่อให้ถึงเป้าหมายของเราได้รึเปล่า เชื่อหรือไม่เราพยายามมา 2-3ปี ในธุรกิจของเรา เราพยายามเรียนรู้ พยายามหาช่องทาง ทุกคนรอบข้างกลับมองว่าจะไปได้หรอ แต่เราไปได้ เราสามารถทำ 2ธุรกิจ และ งานประจำ อีก 1 งาน ได้ใน เวลา 24 ชม เท่ากับคนอื่น เราพยายามทุกอย่าง พยายามใส่ใจรายละเอียด เราทำทีเดียว แต่ทำให้ดีเลย ถึงแม้เราจะเป็นคนใจร้อน คิดเร็ว แต่เราจะชอบใส่ใจในรายละเอียดของงานที่ทำ เราอดทน คนอื่นนอน วันละ 8 ชม แต่เรานอน วันละ 6 ชม อาจมีบางวันงีบหลับช่วงกลางวัน ครั้งคราวบ้าง แต่เรามีวันหยุด 1 วันต่อวีค เราจะพักผ่อนจริงๆ พักผ่อนทั้งวัน ฟังเพลง จัดระเบียบชีวิตตัวเอง วางแผนในวีคถัดไป
***ความอดทน เราค่อนข้างมีความอดทน ในการทำงานหนัก ทำงานทั้งวัน บ่นบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็กลับมาอดทนทุกครั้งที่มองไปที่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ดอกผลของความอดทนนั้นคุ้มค่าเสมอสำหรับเรา เหมือนเราลงแรงทุกวัน ขุดทุกวัน สักวันหนึ่งเราก็จะเจอกับปลายทางของเรา
ปัญหาสำหรับเรา มีเข้ามาทุกวันบางปัญหาแก้ได้เราก็ทันที แต่แก้ให้จบอย่าให้คารังคาซังนะ มันจะซ้ำซากไม่จบไม่สิ้น สำหรับบางอย่างที่แก้ไม่ได้เราก็จะปล่อยไว้ เวลาจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย ถ้าคลี่คลายไม่ได้ ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปรับมุมมองของเรา ทบทวนตัวเองบ่อยๆ ทบทวนว่าเราอยู่ ณ จุดไหน ทำอะไร เราหลุดออกนอกเป้าหมายหรือเอนเอียงไปทางอื่นมากไปรึเปล่า
***การจดบันทึกทุกอย่าง เราทำงานหลายอย่างและเวลาที่มีจำกัดของเรา เราจึงต้องจดทุกอย่าง ทุกสิ่ง อย่าคิดเลยว่าแค่นี้เราจะจำได้ มันไม่มีจริง เราจะลืม และเราจะเสียเวลามานั่งทบทวนและคิดใหม่ ซึ่งเราจะเปลืองเวลาไปกับตรงนั้นอีก อีกอย่างเราจะชอบจดคำพูด แรงบันดาลใจ หรือข้อคิด บทความ ที่เราชอบบลงในสมุดโน็ต มันคือความสุขอีกอย่างทางด้านจิตใจ มันทำให้รู้สึกดีขึ้น ในยามที่เราท้อแท้ สิ้นหวัง หวาดกลัว ไร้เรี่ยวแรงสมุดเล่มนี้จะเป็นเหมือนยา ที่เยียวยาจิตใจเรา ให้กลับสู่สภาวะปกติ ได้ง่าย
***ประสบการณ์ สำคัญมากถึงมากที่สุด อยากรู้ว่าเป็นไง เกิดอะไรขึ้น ต้องลงมือทำเอง ประสบการณ์ที่ได้จากผู้รู้ท่านอื่นก็ดี แต่ไม่ดีเท่าเจอกับตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานด้วยตัวเอง เราเริ่มจาก ศูนย์ ต้นทุนเราติดลบด้วยซ้ำ แต่เรามีความพยายาม ความอดทน เราเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เราคิด เราหาข้อมูล เรามองหาลู่ทาง ทางออก เราใช้เวลาทบทวน มานานก่อนจะมาเริ่มธุรกิจนี้ เราค่อยๆโต และเก็บเกี่ยวประสบการณ์การระหว่างทาง มันทำให้เรามั่นใจ กล้าตัดสินใจ กล้าเลือกหนทาง และกล้าปฏิเสธทุกสิ่งที่เป็นภัยที่อาจทำให้เราพลาดสิ่งดีๆในชีวิตไปได้ เราเรียนรู้ตลอดเวลา ชอบแก้ปัญหา ชอบเรียนรู้เราจะสนใจสิ่งแปลกใหม่ตลอด เราจะสนใจในคนที่แตกต่าง เราจะสนใจคนที่ทำในสิ่งที่เราไม่ได้ และเราจะชื่นชมเค้า และเก็บเอาเค้ามาเป็นแบบอย่างของเราในบางด้าน
***จุดยืน เราค่อนข้างมีจุดยืน จุดยืนเราถ้าเรายืนหยัดกับจุดยืนของเรา ทุกคนรอบข้างจะเกรงเรา ไม่กล้ามาวุ่นวายมากนักในเรื่องบางเรื่อง ที่เราซีเรียส เราจะลดปัญหากับคนรอบข้างได้ดี และจะเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของเราอีกด้วย คนจะมองเราแบบไหน ขึ้นอยู่กับจุดยืนของเรา จุดยืนจะสะท้อนตัวตนของเรา ในแบบที่เราเลือกที่จะเป็น
***ความสัมพันธ์ คู่ชีวิต ถ้าพูดตรงๆ เราไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เท่าไหร่เลย น้อยมากประสบการณ์ด้านนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ เราได้พบเจอกับความรู้สึกเช่นนี้กับใครคนหนึ่ง แต่ก็ต้องกลับมาเยียวยาตัวเองเหมือนเดิม เพราะเราคิดต่างกัน เค้าชอบคนที่สมบูรณ์แบบ ในแบบที่เราไม่ใช่ เราแค่อยากบอกว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเค้าเอง ความสัมพันธ์คือการพูดตรงๆ ไม่ใช่เงียบใส่และคิดไปเอง ว่าแบบนั้น แบบนี้ เราควรเลือกที่จะบอกว่าเราชอบ ไม่ชอบแบบไหน แล้วเราค่อยมาปรับจูนให้เข้ากัน คนสองคนอ่าใช้ชีวิตที่แตกต่างกันมมาตั้งหลายสิบปี จะให้มาชอบหรือไม่ชอบแบบเดียวกัน มันยากนะ เราคิดว่าความสัมพันธ์มันไม่ต้องพยายาม อันไหนเราปรับได้ก็ปรับ ไม่ได้ก็ไม่ต้องปรับ มันฝืนตัวเองไป ก็ไม่ปรับ ถ้าเราพยายามปรับมากๆ จนเสียตัวตนเราไป เราจะกลายเป็นคนไร้ค่า คุณค่าในตัวเราจะลดน้อยลง เราควรก้าวมาคนละหนึ่งก้าวเพื่อปรับจูนในบางเรื่องให้เข้าหากัน แค่ปรับจูนไม่ใช่เปลี่ยนแปลง พยายามจนเสียตัวตน ท้ายที่สุดแล้วเราจะเลือกคนที่ มีทัศนคติ และมุมมองที่คล้ายกับเรา รักและชอบในตัวตนของเรา แรกๆเค้าอาจชอบในรูปลักษณ์ แต่เวลารักให้เค้ารักในตัวตนของเราดีกว่า ดีที่สุดแล้ว...
#####อาจพิมวกวนไปวกวนมาไม่เคยโพสกระทู้ยาวๆแบบนี้เลยแต่ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกเสมออ่าเนาะ ^____^
การเปลี่ยนแปลงเพิ่งเริ่มต้นตอนอายุ 30
แทบจะเปลี่ยนแปลงไปถึง 80% จากช่วงชีวิตวัย 20กว่าของเรา ทัศนคติ และการเห็นคุณค่าของตัวเองเราได้จากการที่เราสูญเสียคนสำคัญที่สุดไป คนที่รักที่สุด คนที่ปกป้องเรา คนที่เราคิดว่าปลอดภัยและสบายใจที่สุดเมื่อมีเค้าอยู่ คนที่เป็นแบบอย่าง ต้นแบบ แนวทางในการดำเนินชีวิตของเรา เกือบทั้งหมด คือคุณพ่อของเราเอง ท่านเป็นคนที่มีจิตใจดี ยิ้มแย้ม ฉลาด รอบคอบ ใจกว้าง พ่อจะสอนให้มองมุมกว้าง เวลาคิดเราต้องคิดไป 2 step คิดนำคนอื่น คิดต่างจากคนอื่น และที่สำคัญ พ่อจะสอนให้มองทุกสิ่งรอบตัวและสิ่งที่เราทำอย่างมีคุณค่า ไม่ใช่มองว่าเราแค่ได้ผลประโยชน์อะไรแค่นั้น ให้มองว่าสิ่งนั้นให้คุณค่าอะไรกับเราดีกว่า สิ่งพวกนี้มันจะทำให้เรามองโลกในด้านแง่ดี รู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และรู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่ ถ้าในใจเราจะมีฮีโร่ในใจสักคน คนนั้นก็คือพ่อของเรา SuperDad ตั้งแต่พ่อเสียเราทำใจอยู่เกือบปี กว่าจะดีขึ้นมาหน่อย ตอนนี้ท่านเสียไปได้ 3 ปี กว่าแล้ว ท่านคือความทรงจำและช่วงชีวิตที่ดีที่สุดของเรา ระหว่างระยะเวลาที่เราเยียวยาตัวเอง หนังสือคือเพื่อนที่ดีที่สุด เราไม่ค่อยพูดจากับใคร อ่านหนังสือ ฟังเพลงเศร้า ทำงาน กลับบ้าน ไม่สุงสิงหรือไปไหนมาไหน ถ้าไม่จำเป็น เราอ่านหนังสือ และคิดว่าเราจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยังไง ความคิดมันค่อยๆตกผนึก จากการอ่านมันซึมซับ เวลาดำเนินไป ความคิด ทัศนคติ ค่อยๆเปลี่ยนแปลงตาม นั้นคือจุดเริ่มต้นของการที่ชีวิตของเราเปลี่ยนไป 80% เราพยายามแยกออกมาเป็นด้านๆ เพื่อที่จะเข้าใจต่อการเรียบเรียง
*** ทัศนคติ มันทำให้การการมองโลก มองสิ่งรอบข้างให้น่าพึงพอใจมากขึ้น เราพึงพอใจในสิ่งที่มีมากขึ้น และอยากสร้างคุณค่าให้ตัวเองมากขึ้น เราสามารถมองเห็นคุณค่าของทุกสิ่ง รอบข้างมากขึ้น เราเข้าใจโลก เราเรียนรู้ที่จะอยู่ในโลกนี้ได้ง่ายขึ้น เราสามารถสร้างความสัมพันธ์กับคนทั่วไปได้ง่ายขึ้น จากเมื่อก่อนเราจะเป็นโกรธง่ายกับทุกสิ่ง เคียดแค้นกับทุกสิ่ง แต่เป็นคนที่ชอบตั้งคำถาม แต่จะเป็นคำถามในวงแคบ คำถามที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากการแค่เราไม่พอใจ ไม่ชอบใจ ไม่ถูกกับจริตของเรา ก็กลายเป็นว่าตั้งคำถาม คิดลบ และก็ไม่ชอบ ไม่ทำ แต่พอทัศนคติเปลี่ยน เราเรียนรู้เรามองในมุมมองที่แตกต่างจากเมื่อก่อน เราคิดต่าง เรามองในมุมเค้า มุมเรา เราก็จะตั้งคำถามเชิงลบนั้นน้อยลง จากที่เป็นคนโกรธง่ายในทุกเรื่องทุกคนที่คิดต่างจากเรา เราก็เปลี่ยนจากการโกรธ เป็นเรียนรู้ว่าทำไม เค้าถึงคิดแบบนี้ มุมมองเค้าเป็นเช่นไร หัดมองคน หัดอ่านใจคนบ้างในบางคราว
***การตั้งเป้าหมาย เมื่อก่อนเป็นคนไม่มีเป้าหมายอะไร คิดจะทำก็ทำ ทำให้มันผ่านไปวันๆ แต่พอเรามีมุมมองที่เปลี่ยน เราจะเริ่มตั้งเป้าหมายในชีวิตเรา มันทำให้เรารู้ว่าว่า เราพยายาม เราอดทนไปเพื่ออะไร เป้าหมายนั้นมีทั้งระยะสั้นและระยะยาว แต่เราชอบตั้งเป้าหมายระยะยาว เพราะการตั้งระยะยาวเราไปถึงมันได้ด้วยดอกผลของความอนทนและพยายาม อาจมีเซเป๋ออกข้างทางไปบ้าง หลงทางบ้าง แต่เราก็สามารถเดินอ้อมกลับมาทางเก่าได้ มันทำให้เรามีความหวัง คาดหวังกับเป้าหมาของเรา เชื่อเถอะถ้าเราอดทนและพยายาม ไม่ย่อท้อ เป้าหมายระยะยาวเราไปถึงแน่นอน สำหรับตัวเรา เรามีเป้าหมาย ระยะยาว ถึง 5-10 ปี บางคนบอกเราว่ามันยาวไป ใช่สำหรับคนที่มองใกล้ๆ ถ้าคุณลองพยายามมองในมุมไกลๆ คุณจะเห็นว่าเป้าหมายระยะยาวแบบนั้น มันทำให้คุณประสบความสำเร็จ และมั่นคง ยาวนานกว่าเป้าหมายระยะสั้นของเรา
***ความพยายาม พยายามแล้ว พยายามอีก พยายามเหอะ มันคุ้มกับความพยายามมาก แต่ราต้องมองว่าการพยายามของเรานั้น มันมีหนทางที่จะไปต่อให้ถึงเป้าหมายของเราได้รึเปล่า เชื่อหรือไม่เราพยายามมา 2-3ปี ในธุรกิจของเรา เราพยายามเรียนรู้ พยายามหาช่องทาง ทุกคนรอบข้างกลับมองว่าจะไปได้หรอ แต่เราไปได้ เราสามารถทำ 2ธุรกิจ และ งานประจำ อีก 1 งาน ได้ใน เวลา 24 ชม เท่ากับคนอื่น เราพยายามทุกอย่าง พยายามใส่ใจรายละเอียด เราทำทีเดียว แต่ทำให้ดีเลย ถึงแม้เราจะเป็นคนใจร้อน คิดเร็ว แต่เราจะชอบใส่ใจในรายละเอียดของงานที่ทำ เราอดทน คนอื่นนอน วันละ 8 ชม แต่เรานอน วันละ 6 ชม อาจมีบางวันงีบหลับช่วงกลางวัน ครั้งคราวบ้าง แต่เรามีวันหยุด 1 วันต่อวีค เราจะพักผ่อนจริงๆ พักผ่อนทั้งวัน ฟังเพลง จัดระเบียบชีวิตตัวเอง วางแผนในวีคถัดไป
***ความอดทน เราค่อนข้างมีความอดทน ในการทำงานหนัก ทำงานทั้งวัน บ่นบ้าง ท้อบ้าง แต่ก็กลับมาอดทนทุกครั้งที่มองไปที่เป้าหมายที่เราตั้งไว้ ดอกผลของความอดทนนั้นคุ้มค่าเสมอสำหรับเรา เหมือนเราลงแรงทุกวัน ขุดทุกวัน สักวันหนึ่งเราก็จะเจอกับปลายทางของเรา
ปัญหาสำหรับเรา มีเข้ามาทุกวันบางปัญหาแก้ได้เราก็ทันที แต่แก้ให้จบอย่าให้คารังคาซังนะ มันจะซ้ำซากไม่จบไม่สิ้น สำหรับบางอย่างที่แก้ไม่ได้เราก็จะปล่อยไว้ เวลาจะทำให้ทุกอย่างคลี่คลาย ถ้าคลี่คลายไม่ได้ ก็เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ปรับมุมมองของเรา ทบทวนตัวเองบ่อยๆ ทบทวนว่าเราอยู่ ณ จุดไหน ทำอะไร เราหลุดออกนอกเป้าหมายหรือเอนเอียงไปทางอื่นมากไปรึเปล่า
***การจดบันทึกทุกอย่าง เราทำงานหลายอย่างและเวลาที่มีจำกัดของเรา เราจึงต้องจดทุกอย่าง ทุกสิ่ง อย่าคิดเลยว่าแค่นี้เราจะจำได้ มันไม่มีจริง เราจะลืม และเราจะเสียเวลามานั่งทบทวนและคิดใหม่ ซึ่งเราจะเปลืองเวลาไปกับตรงนั้นอีก อีกอย่างเราจะชอบจดคำพูด แรงบันดาลใจ หรือข้อคิด บทความ ที่เราชอบบลงในสมุดโน็ต มันคือความสุขอีกอย่างทางด้านจิตใจ มันทำให้รู้สึกดีขึ้น ในยามที่เราท้อแท้ สิ้นหวัง หวาดกลัว ไร้เรี่ยวแรงสมุดเล่มนี้จะเป็นเหมือนยา ที่เยียวยาจิตใจเรา ให้กลับสู่สภาวะปกติ ได้ง่าย
***ประสบการณ์ สำคัญมากถึงมากที่สุด อยากรู้ว่าเป็นไง เกิดอะไรขึ้น ต้องลงมือทำเอง ประสบการณ์ที่ได้จากผู้รู้ท่านอื่นก็ดี แต่ไม่ดีเท่าเจอกับตัวเอง ล้มลุกคลุกคลานด้วยตัวเอง เราเริ่มจาก ศูนย์ ต้นทุนเราติดลบด้วยซ้ำ แต่เรามีความพยายาม ความอดทน เราเชื่อมั่นว่าเราทำได้ เราคิด เราหาข้อมูล เรามองหาลู่ทาง ทางออก เราใช้เวลาทบทวน มานานก่อนจะมาเริ่มธุรกิจนี้ เราค่อยๆโต และเก็บเกี่ยวประสบการณ์การระหว่างทาง มันทำให้เรามั่นใจ กล้าตัดสินใจ กล้าเลือกหนทาง และกล้าปฏิเสธทุกสิ่งที่เป็นภัยที่อาจทำให้เราพลาดสิ่งดีๆในชีวิตไปได้ เราเรียนรู้ตลอดเวลา ชอบแก้ปัญหา ชอบเรียนรู้เราจะสนใจสิ่งแปลกใหม่ตลอด เราจะสนใจในคนที่แตกต่าง เราจะสนใจคนที่ทำในสิ่งที่เราไม่ได้ และเราจะชื่นชมเค้า และเก็บเอาเค้ามาเป็นแบบอย่างของเราในบางด้าน
***จุดยืน เราค่อนข้างมีจุดยืน จุดยืนเราถ้าเรายืนหยัดกับจุดยืนของเรา ทุกคนรอบข้างจะเกรงเรา ไม่กล้ามาวุ่นวายมากนักในเรื่องบางเรื่อง ที่เราซีเรียส เราจะลดปัญหากับคนรอบข้างได้ดี และจะเป็นการแสดงออกถึงตัวตนของเราอีกด้วย คนจะมองเราแบบไหน ขึ้นอยู่กับจุดยืนของเรา จุดยืนจะสะท้อนตัวตนของเรา ในแบบที่เราเลือกที่จะเป็น
***ความสัมพันธ์ คู่ชีวิต ถ้าพูดตรงๆ เราไม่มีประสบการณ์ด้านนี้เท่าไหร่เลย น้อยมากประสบการณ์ด้านนี้ แต่เมื่อไม่นานมานี้ เราได้พบเจอกับความรู้สึกเช่นนี้กับใครคนหนึ่ง แต่ก็ต้องกลับมาเยียวยาตัวเองเหมือนเดิม เพราะเราคิดต่างกัน เค้าชอบคนที่สมบูรณ์แบบ ในแบบที่เราไม่ใช่ เราแค่อยากบอกว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้กระทั่งตัวเค้าเอง ความสัมพันธ์คือการพูดตรงๆ ไม่ใช่เงียบใส่และคิดไปเอง ว่าแบบนั้น แบบนี้ เราควรเลือกที่จะบอกว่าเราชอบ ไม่ชอบแบบไหน แล้วเราค่อยมาปรับจูนให้เข้ากัน คนสองคนอ่าใช้ชีวิตที่แตกต่างกันมมาตั้งหลายสิบปี จะให้มาชอบหรือไม่ชอบแบบเดียวกัน มันยากนะ เราคิดว่าความสัมพันธ์มันไม่ต้องพยายาม อันไหนเราปรับได้ก็ปรับ ไม่ได้ก็ไม่ต้องปรับ มันฝืนตัวเองไป ก็ไม่ปรับ ถ้าเราพยายามปรับมากๆ จนเสียตัวตนเราไป เราจะกลายเป็นคนไร้ค่า คุณค่าในตัวเราจะลดน้อยลง เราควรก้าวมาคนละหนึ่งก้าวเพื่อปรับจูนในบางเรื่องให้เข้าหากัน แค่ปรับจูนไม่ใช่เปลี่ยนแปลง พยายามจนเสียตัวตน ท้ายที่สุดแล้วเราจะเลือกคนที่ มีทัศนคติ และมุมมองที่คล้ายกับเรา รักและชอบในตัวตนของเรา แรกๆเค้าอาจชอบในรูปลักษณ์ แต่เวลารักให้เค้ารักในตัวตนของเราดีกว่า ดีที่สุดแล้ว...
#####อาจพิมวกวนไปวกวนมาไม่เคยโพสกระทู้ยาวๆแบบนี้เลยแต่ทุกอย่างก็ต้องมีครั้งแรกเสมออ่าเนาะ ^____^