(บทความ) การคิดการใหญ่ของ เอฟเวอร์ตัน

ตลอดอาชีพการคุมทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ มีเพียง 2 ฤดูกาลเท่านั้น ที่สโมสรที่เขาเป็นกุนซือ ไม่ได้เข้าร่วมรายการแข่งขันของยูฟ่า

ครั้งแรกคือซีซั่น 1995-96 ที่เริ่มต้นคุม เรจเจียน่า เป็นสโมสรแรก แล้วพาทีมเลื่อนชั้นจาก กัลโช่ เซเรีย บี ขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้ทันที

ครั้งที่สองก็คือฤดูกาลนี้ ที่ เอฟเวอร์ตัน ไม่ได้สิทธิ์ลงเล่นแม้แต่ถ้วย ยูโรปา ลีก จากการจบฤดูกาล 2019-20 ในพรีเมียร์ลีกแค่อันดับ 12

แม้ “พี่แจ้” จะมาคุมทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินตั้งแต่เดือนธันวาคมปีก่อน แต่ก่อนหน้านั้นเขาก็พา นาโปลี เข้าสู่รอบน็อคเอาต์ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ได้ก่อนโดนไล่ออกกลางคัน

ตลอดช่วง 2 ทศวรรษหลังสุด หากไม่นับงานล่าสุดที่มาคุมเอฟเวอร์ตัน อันเชล็อตติได้คุมแต่ทีมใหญ่ๆ ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ยูเวนตุส, เอซี มิลาน, เชลซี, เปแอสเช, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค มาจนถึง นาโปลี

หมายความว่าสโมสรที่คู่ควรกับโปรไฟล์เขาอย่างแท้จริง มันต้องเป็นทีมที่ได้ลงเตะเวทีระดับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เท่านั้น

ครั้งสุดท้ายที่สโมสรที่มี อันเชล็อตติ คุมทีม ไม่ได้สิทธิ์ลงแข่ง UCL คือฤดูกาล 1996-97 ที่ ปาร์ม่า ได้เล่นถ้วย ยูฟ่า คัพ แต่หลังจากนั้นทัพจัลโล่บลูที่มีเขาเป็นกุนซือ ก็ได้ไปแข่งถ้วยหูโตได้ในปี 1997

ตัดภาพกลับมาที่ปัจจุบัน อันเชล็อตติ ในวัย 61 ปียังคงเชื่อมั่นว่า ต้นสังกัดปัจจุบันอย่าง เอฟเวอร์ตัน มีศักยภาพมากพอที่จะท้าชิงพื้นที่ท็อปโฟร์พรีเมียร์ลีกกับบรรดาทีมใหญ่ๆ
___________________________

ในเดือนมีนาคม 2020 ก่อนที่พรีเมียร์ลีกจะหยุดยาวเพราะเชื้อโควิด-19 อันเชล็อตติ ไปให้สัมภาษณ์กับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ผ่านสื่ออย่าง ดิ เทเลกราฟ เอาไว้

เขาบอกกับอดีตตำนานกองหลังลิเวอร์พูลอย่างชัดเจนว่า “ในฤดูกาลหน้า เราจะต้องผ่านเข้าไปเล่น แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้ได้”

คาร์ราเกอร์ ถามสวนแบบไม่เกรงใจว่า “ดูจากระดับความแข็งแกร่งของการแข่งขัน มันเป็นไปได้จริงหรือ?”

อันเชล็อตติ ตอบกลับไปว่า “ผมมั่นใจว่าสโมสรแห่งนี้มีความทะเยอทะยานแบบนั้น เจ้าของทีมต้องการให้ทีมไปอยู่ในระดับท็อป นั่นคือสิ่งที่แน่นอน มันเป็นไอเดียที่ชัดเจนมาก”

“ผมไม่รู้ว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหน แต่มันจะใช้เวลาไม่นานหรอก”

“ความแข็งแกร่งของขุมกำลังเรามีการแข่งขันกันสูง ผมไม่รู้ว่าเป้าหมายในฤดูกาลแรกมันคืออะไร แต่ในฤดูกาลถัดไป เราจะต้องต่อสู้เพื่อท็อปโฟร์”

สัญญาที่ เอฟเวอร์ตัน เซ็นกับกุนซือชาวอิตาเลียนเอาไว้ ตอนที่ให้เขาเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมถาวรแทนที่ มาร์โก ซิลวา เมื่อเดือนธันวาคมปีก่อนคือ 4 ปีครึ่ง

ครึ่งปีแรกผ่านไป ถือว่ามีสัญญาณที่ดี เขาพลิกสถานการณ์จากที่ มาร์โก ซิลวา พาทีมร่อแร่จะตกชั้น เป็นขึ้นมาจบอันดับกลางตาราง โดยพัฒนาฝีเท้านักเตะอย่าง ริชาร์ลิซอน และ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ให้มีความอันตรายขึ้นจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนฤดูกาลที่จะถึงนี้ คือซีซั่นแรกจากทั้งหมด 4 ฤดูกาลเต็มๆ ที่ อันเชล็อตติ จะได้คุมทีมทอฟฟี่สีน้ำเงินตั้งแต่ช่วงออกสตาร์ท

สิ่งที่เราได้เห็นชัดๆ แล้วก็คือ ความทะเยอทะยานในการยกระดับขุมกำลัง เพื่อเปลี่ยนสถานะจากทีมกลางตารางไปสู่การเป็นทีมที่พร้อมสู้เพื่อโควตาฟุตบอลยุโรปจริงๆ แม้จะเป็นซัมเมอร์ที่สโมสรเจอวิกฤติจากโควิด-19 และไม่ได้เข้าแข่งรายการของ ยูฟ่า ก็ตาม

การเซ็นสัญญาคว้า อัลลัน กองกลางตัวเก่งจาก นาโปลี และ ฮาเมส โรดริเกซ จาก เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัวรวมกันราวๆ 45 ล้านปอนด์ คือการประกาศจุดยืนว่าพวกเขาเอาจริงมากๆ กับการท้าทายทีมใหญ่

ล่าสุด ฟาบริซิโอ โรมาโน่ นักข่าวที่ได้รับความน่าเชื่อถือเรื่องประเด็นซื้อขายมากที่สุด ณ ชั่วโมงนี้ รายงานว่า ทีมทอฟฟี่กำลังจะคว้าตัว อับดูลาย ดูกูเร่ กองกลางตัวเก่งจาก วัตฟอร์ด มาเสริมทีม เพื่อให้ขุมกำลังเชิงลึกของทีมแกร่งขึ้นไปอีกด้วย
___________________________

หากย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน คงไม่มีเชื่อแน่ ถ้าจะบอกว่าดาวซัลโวสูงสุดฟุตบอลโลกอย่าง ฮาเมส โรดริเกซ ที่เพิ่งย้ายไป เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 71 ล้านปอนด์ จะยอมลดค่าเหนื่อยมหาศาลจากทีมราชันชุดขาว เพื่อไปเล่นกับ เอฟเวอร์ตัน ก่อนอายุครบ 30 ปี

แต่สิ่งนี้มันกลับเกิดขึ้นแล้วจริงๆ เพราะทีมทอฟฟี่มีกุนซือที่ชื่อ คาร์โล อันเชล็อตติ

สตาร์ดังทีมชาติโคลอมเบียวัย 29 กล่าวหลังจากชูเสื้อเบอร์ 19 เปิดตัวเป็นนักเตะใหม่แห่งถิ่น กูดิสัน พาร์ค ด้วยค่าตัวราวๆ 20 ล้านปอนด์ว่า “ผมเชื่อมั่นในตัวคาร์โล และทีมงานฝ่ายเทคนิคของเขา”

“เราสามารถบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ได้ และเหตุผลใหญ่ที่ผมเซ็นสัญญา ก็เพราะการมีอยู่ของ คาร์โล อันเชล็อตติ”

“ผมเคยมีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกับเขาก่อนหน้านี้กับ 2 สโมสร นั่นคือสาเหตุหลักที่ผมย้ายมาที่นี่”



สถิติระบุชัดเจน ว่าช่วงเวลาที่ ฮาเมส โรดริเกซ ระเบิดฟอร์มได้ดีที่สุดในการค้าแข้งที่ลีกใหญ่ของยุโรป คือซีซั่น 2014-15 ตอนที่ย้ายไปร่วมงานกับ อันเชล็อตติ ที่ เรอัล มาดริด เป็นฤดูกาลแรก

เขายิง 13 แอสซิสต์ 13 ใน ลา ลีกา จากการลงตัวจริง 29 นัด ถือว่ามีฟอร์มการเล่นเป็นรองเพียง 3 ประสาน “เอ็มเอสเอ็น” เมสซี่, ซัวเรซ, เนย์มาร์ แห่งบาร์เซโลน่า และสตาร์อันดับหนึ่งของ เรอัล มาดริด อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เท่านั้น

น่าเสียดายที่การโดนไล่ออกของ อันเชล็อตติ จากการที่ฤดูกาลดังกล่าว บาร์เซโลน่า เหมากวาดแชมป์ใหญ่ทุกรายการ ทำให้เส้นทางค้าแข้งของ ฮาเมส ค่อยๆ ลดความพีคลงเรื่อยๆ

ซีซั่น 2015-16 เขาโชคร้ายที่มีอาการบาดเจ็บกล้ามเนื้อฉีกขาดรบกวน ตอนที่ ราฟาเอล เบนิเตซ เป็นกุนซือ แล้วพอฟิตสมบูรณ์กลับมา ก็ไม่ใช่ผู้เล่นในสไตล์ที่ ซีเนดีน ซีดาน ชื่นชอบนัก

การที่ ซีดาน ปรับเปลี่ยนแท็กติกให้แดนกลางสมดุลขึ้น ด้วยการใช้มิดฟิลด์ตัวรับอย่าง คาเซมิโร่ เป็นแกนหลัก บวกกับมีนักเตะอย่าง ลูก้า โมดริช, โทนี่ โครส และ อีสโก้ เป็นทางเลือกในตำแหน่งตัวปั้นเกม ทำให้ ฮาเมส โรดริเกซ เจอความยากลำบากในการแย่งตำแหน่งตัวจริง

แม้แข้งจากแดนโคเคนจะสามารถโยกไปเล่นเป็นปีกได้ทั้ง 2 ข้าง แต่ผู้เล่นอย่าง ลูกัส บาซเกซ, มาร์โก อเซนซีโอ และไม่เว้นแม้แต่ แกเร็ธ เบล ก็ได้รับความเชื่อใจจาก ซีดาน มากกว่าอยู่ดี เพราะกุนซือชาวฝรั่งเศสให้ความสำคัญกับพละกำลังและความขยันของนักเตะตัวริมเส้น มากกว่าเทคนิค

ถ้าจะบอกว่าตราบใดที่ ซีเนดีน ซีดาน ยังเป็นกุนซือใหญ่ ความสำคัญของ ฮาเมส ในถิ่น ซานติอาโก้ เบร์นาเบว แทบไม่มี ก็คงไม่ผิดนัก



ฤดูกาล 2017-18 ถือว่า ฮาเมส โรดริเกซ กลับมาคืนชีพอีกครั้ง จากการไปเล่นให้ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยสัญญายืมตัว

คนที่ดึง ฮาเมส ไปเล่นกับทีมเสือใต้ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น คาร์โล อันเชล็อตติ เจ้าเก่านี่แหละ

ช่วงซัมเมอร์ 2017 โคตรทีมแห่งลีกเมืองเบียร์ จ่ายค่ายืมตัว 2 ปีให้กับ เรอัล มาดริด เป็นเงิน 13 ล้านยูโร แถมมีออปชั่นซื้อขาดในปี 2019 ด้วยค่าตัว 42 ล้านยูโรอีกด้วย

น่าเสียดายที่เขาได้ร่วมงานกับ อันเช่ ในถิ่น อัลลิอันซ์ อารีน่า เพียงไม่กี่เดือน เพราะกุนซือผู้เคยคว้าแชมป์ยุโรปได้ถึง 3 สมัย โดนบอร์ดบริหารเสือใต้ปลดกลางอากาศในเดือนกันยายน 2017

แม้เขาจะเป็นกำลังสำคัญในทีมของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส ที่คืนฟอร์มกลับมาคว้าแชมป์บุนเดสลีกาซีซั่น 2017-18 โดยที่ตัวสตาร์เด่นทีมชาติโคลอมเบียซัดไป 7 ประตู ทำแอสซิสต์อีก 11 ลูก แต่ในฤดูกาล 2018-19 เขาเจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนอีกครั้ง จนได้โอกาสลงตัวจริงเพียงครึ่งเดียว จากจำนวนเกมทั้งหมดทุกรายการ

ด้วยความที่นักเตะหนุ่มอย่าง แซร์ช นาบรี้ และ เลออน โกเร็ตซ์ก้า กำลังพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ ฮาเมส รู้ดีว่า เขาไม่ควรให้ บาเยิร์น ใช้ออปชั่นซื้อขาดมูลค่า 42 ล้านยูโรไปร่วมทีมในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว

ด้าน คาร์ล-ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้ ก็เผยว่า การใช้ออปชั่นซื้อขาดเพื่อหาทางขายทำกำไรให้ทีมอื่นต่อในช่วงซัมเมอร์ 2019 ไม่ใช่วิถีทางที่มีเกียรติสำหรับทีมอย่าง บาเยิร์น เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับเจตนาค้ามนุษย์
___________________________

ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลก่อน อันเชล็อตติ ไม่ปฏิเสธว่าอยากได้ ฮาเมส ไปร่วมงานอีกครั้งที่ นาโปลี

แต่เรื่องนั้นมันไม่เกิดขึ้น เพราะ เรอัล มาดริด ต้องการขายขาดให้ได้ราคาสูง ซึ่งนาโปลีไม่พร้อมสู้ราคา ขณะที่ข้อเสนอขอยืมตัว 1 ฤดูกาล ก็ไม่ใช่สิ่งที่ ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ต้องการ

สุดท้าย ฮาเมส ต้องยอมทนเป็นนักเตะตัวเลือกรองของ ซีเนดีน ซีดาน ที่กลับไปคุมราชันชุดขาวเป็นรอบที่สอง ก่อนที่อาการบาดเจ็บเรื้อรัง จะทำให้เจ้าตัวได้โอกาสลงสนามรวมทุกถ้วยเพียง 14 นัดในซีซั่นที่ผ่านมา และมีส่วนร่วมกับแชมป์ ลา ลีกา ฤดูกาลล่าสุดแค่โอกาสลงสนามในลีกเพียง 419 นาทีเท่านั้น

เมื่อบวกกับ เรอัล มาดริด มีนักเตะตัวรุกล้นทีมในเวลานี้ ทำให้การเจรจาคว้าตัวเขาออกมาจากถิ่น เบร์นาเบว ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
___________________________

ด้วยความที่ สตาร์วัย 29 ปีเจอปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วง 2 ซีซั่นหลัง จึงไม่แปลกที่มันจะมีเครื่องหมายคำถามว่า เขายังเป็นผู้เล่นที่มีคุณภาพระดับโลกอยู่หรือไม่?

นั่นคือเหตุผลว่าทำไม ถึงไม่มีทีมยักษ์ใหญ่โผล่เข้ามารุมแย่งตัวเขาเหมือนช่วงที่ บาเยิร์น ยอมจ่ายค่ายืมตัว 13 ล้านยูโรเมื่อ 2 ปีก่อน

แต่ความเป็นจริงก็คือชื่อของ ฮาเมส โรดริเกซ ยังคงขายได้ เขามีจำนวนผู้ติดตามในอินสตาแกรมสูงถึง 46.1 ล้านคน มากกว่านักเตะทุกคน และสโมสรทุกทีมของพรีเมียร์ลีกเสียอีก



อย่างน้อยเราจึงน่าจะรับประกันได้ว่า เอฟเวอร์ตันน่าจะมียอดขายชุดแข่งกระเตื้องขึ้นแน่ๆ แถมการเปิดตลาดในทวีปอเมริกาใต้ก็จะง่ายขึ้น จากการที่มีสตาร์เบอร์ต้นๆ แห่งแดนละตินอย่าง ฮาเมส มาอยู่ด้วย

ส่วนเรื่องผลงานในสนาม ข้อมูลที่น่าไว้วางใจก็คือสถิติที่บอกว่า เขาคือนักเตะที่มักทำผลงานได้ดีเสมอ เมื่ออยู่ภายใต้การดูแลโดย อันเชล็อตติ และมีสภาพร่างกายฟิตสมบูรณ์

ข้อมูลจากเว็บ Whoscored.com เผยว่า ฮาเมส จะสร้างโอกาสได้เฉลี่ยอย่างน้อยนัดละ 3.1 ครั้ง และจะมีส่วนร่วมกับประตูทุกๆ 85.6 นาที หากได้เล่นในทีมที่มี อันเช่ เป็นกุนซือ
___________________________

ปัญหาของ เอฟเวอร์ตัน จากฤดูกาลล่าสุด คือขาดแคลนประตูและแอสซิสต์จากแดนกลาง

กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน นักเตะเจ้าของสถิติค่าตัวแพงที่สุดของสโมสร ผลงานไม่น่าไว้ใจ ทำได้แค่ 2 ประตู 3 แอสซิสต์ เท่านั้น ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2019-20

การเสริมตัวทำเกมรุกขนานแท้อย่าง ฮาเมส ทำให้เราอาจได้เห็น อันเชล็อตติ ปรับแท็กติกจากที่ใช้ 4-4-2 แบบฟุตบอลอังกฤษดั้งเดิม มาเป็นแผน “ต้นคริสต์มาส” 4-3-2-1 แบบที่เขาเคยพา เอซี มิลาน ยุครุ่งเรืองมาแล้วก็เป็นได้

แผงมิดฟิลด์ประกอบด้วย อัลลัน ยืนต่ำคอยเชื่อมเกมตรงกลางจากแนวลึก ขนาบข้างด้วย อันเดร โกเมส กับ อับดูลาย ดูกูเร่ โดยมีนักเตะอย่าง ฟาเบียน เดลฟ์ หรือ ทอม เดวิส คอยสลับสับเปลี่ยน

แผนกโจมตีมี ฮาเมส โรดริเกซ เป็นจอมทัพ เดินเกมรุกร่วมกับ ริชาร์ลิซอน โดยที่ ธีโอ วัลค็อตต์ กับ อเล็กซ์ อิโวบี้ เป็นกำลังเสริม

ส่วนหน้าเป้าเป็น โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน คือหัวหอกเบอร์หนึ่งของทีมในตอนนี้ โดยตัวสำรองประกอบด้วย เชงค์ โตซุน และ มอยเซ่ คีน ที่ต้องรอดูว่า อันเชล็อตติ จะเค้นศักยภาพมาท้าทายศูนย์หน้าดาวรุ่งชาวอังกฤษได้ดีแค่ไหน

ต้องไม่ลืมอีกว่า ฮาเมส สามารถเล่นเป็นปีกได้ทั้ง 2 ข้าง ทำให้รูปแบบเกมรุกของ เอฟเวอร์ตัน ในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง ต้องมีความหลากหลาย และมีทีเด็ดกว่าเดิมแน่ จากที่เน้นการโจมตีด้วยลูกครอสเป็นหลักในซีซั่นที่ผ่านมา

ถึงแม้การลุ้นติดท็อปโฟร์ของทีมนอกกลุ่ม “บิ๊กซิกซ์” จะเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าจะมีสโมสรไหน ที่พร้อมโผล่ขึ้นมาท้าทายทีมใหญ่ๆ ได้มากที่สุดสำหรับพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2020-21...

เอฟเวอร์ตัน ของ คาร์โล อันเชล็อตติ น่าจะเป็นทีมนั้น
___________________________
ติดตามบทความฟุตบอลดีๆ โดยไม่แบ่งแยกทีมเชียร์ได้ที่เพจ "เสียบสามเหลี่ยม" facebook.com/seabsamliam
หรือใน Blockdit ที่ https://www.blockdit.com/seabsamsliam
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่