คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ทำมาตั้ง 70-80% แล้ว ก็แค่ลุยต่อให้จบ เป็นเรื่องของความรับผิดชอบล้วนๆ คนที่เขาให้ทุน คนที่ร่วมวิจัย คนเหล่านี้
เหมือนร่วมหัวจมท้ายกับเรามาตลอด ถ้าทิ้งไปดื้อๆไม่ใช่แค่ตัวเราเสีย คนรอบข้างเราก็เสียตามไปด้วย ผลงานจะอาจไม่ดีเลิศ
ไม่เหมือนที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่ถ้างานเสร็จก็คือเสร็จ มีผลงาน ตรงข้ามถึงผลงานดีเลิศแค่ไหนถ้าไม่เสร็จก็แค่ขยะความคิด
ก้อนหนึ่งเท่านั้น
เป็นหัวหน้า เหตุการณ์มันจะพาให้ต้องเสียสละ ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ทุกข์กว่าคนอื่น ถึงจะมีประสบการณ์นำคนอื่นหรือเป็นที่ปรึกษา
คนอื่นเขาได้ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากปัญหาไม่ใช่ได้มาจากความสำเร็จ วันหนึ่งถ้าเราเติบโตขึ้นจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังว่าทำไมเราถึง
ทิ้งปัญหาไม่จัดการให้เด็ดขาดทั้งๆที่ก็สามารถทำได้
5 ปี ก่อนเคยรับงานวิจัยทางวิศวกรรมด้านหนึ่งที่มีคนไทยไม่กี่คนทำได้ ที่ปรึกษาให้ได้แค่คำแนะนำ ไม่มีตัวอย่างใดให้ศึกษา ด้นสดเอาเอง
ทำแบบล้มลุกคลุกคลานจนได้ทุนสนับสุนจากบริษัทแห่งหนึ่งแต่สุดท้ายส่งงานวิจัยไปแล้วหายเงียบบอกว่าผลวิจัยไม่ตรงกับวัตถุประสงค์
ต่อมางานวิจัยนั้นก็ถูกบริษัทเอาไปประกอบการประมูลงานๆหนึ่ง (เนื้อหาส่วนเทคนิตคือเนื้อหาเดียวกับงานวิจัยที่ผมทำ) สรุปคือทำฟรี
ไม่ได้เครดิท ไม่ได้เงินที่รับปากว่าจะให้ แต่ได้ประสบการณ์ ได้ความรู้ ได้บทเรียน ประสบการณ์ล้มเหลวนี้ถูกนำมาอ้างอิงการรับโครง
การต่างๆได้อีกมากมายในภายหลัง
3 ปีก่อน รับงานวิจัยทางวิศวกรรม + การแพทย์ คุยตกลงกับผู้ร่วมงานฝั่งการแพทย์ไว้ดิบดี ต่อมาบอกว่าหน่วยงานตนเองเปลี่ยน
นโยบายไม่อยากจะทำงานวิจัยร่วมต่อ ปล่อยผมทำงานวิจัยค้างกลางคันอยู่คนเดียว (เกือบจะสรุปผลวิจัยได้หมดแล้ว) ผมต้อง
กลับมาตัดเนื้อหางานวิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับการแพทย์ออกทั้งหมด (เหมือนทำใหม่) แล้วเขียนเนื้อหาในส่วนวิศวกรรมมาทำ THESIS
ลงเรียนโทใบที่สองแทน ผลจากการเรียนเพิ่มนี้ทำให้มีโอกาศได้รับงานโครงการจากภาครัฐหน่วยงานหนึ่ง จนวันนี้โครงการที่
ทำได้รับรางวัลระดับประเทศ
และครั้งหนึ่งได้มีโอกาศเป็นผู้แทนของหน่วยงานรัฐ ลงไปชายแดนใต้เพื่อพูดเรื่องการทำนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการที่ภาคใต้ฟัง
เชื่อไหมแทบทุกคนถามผมอยู่เรื่องเดียวคือเรื่อง การจัดการความเสี่ยงในองค์กร เขาบอกว่าผมพูดแนะนำได้เหมือนกับคนที่เคย
ล้มเหลวจนไม่เหลืออะไร แต่ยังกลับมาได้ คล้ายกับสภาพที่พวกเขาต้องผเชิญอยู่
จากความล้มเหลวซ้ำๆในอดีต วันนี้กลับกลายเป็นคนที่ชำนาญเรื่องการจัดการความเสี่ยง ทุกอย่างจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ถ้าในอดีต
ผมล้มเหลวแล้วหยุดหรือยุติทุกอย่างลง
คนที่ล้มเหลว กับ คนที่ยอมแพ้ แตกต่างกันมากนะ โทมัส เอดิสัน เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
เหมือนร่วมหัวจมท้ายกับเรามาตลอด ถ้าทิ้งไปดื้อๆไม่ใช่แค่ตัวเราเสีย คนรอบข้างเราก็เสียตามไปด้วย ผลงานจะอาจไม่ดีเลิศ
ไม่เหมือนที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก แต่ถ้างานเสร็จก็คือเสร็จ มีผลงาน ตรงข้ามถึงผลงานดีเลิศแค่ไหนถ้าไม่เสร็จก็แค่ขยะความคิด
ก้อนหนึ่งเท่านั้น
เป็นหัวหน้า เหตุการณ์มันจะพาให้ต้องเสียสละ ต้องเหนื่อยกว่าคนอื่น ทุกข์กว่าคนอื่น ถึงจะมีประสบการณ์นำคนอื่นหรือเป็นที่ปรึกษา
คนอื่นเขาได้ สิ่งเหล่านี้ได้มาจากปัญหาไม่ใช่ได้มาจากความสำเร็จ วันหนึ่งถ้าเราเติบโตขึ้นจะได้ไม่ต้องมาเสียใจทีหลังว่าทำไมเราถึง
ทิ้งปัญหาไม่จัดการให้เด็ดขาดทั้งๆที่ก็สามารถทำได้
5 ปี ก่อนเคยรับงานวิจัยทางวิศวกรรมด้านหนึ่งที่มีคนไทยไม่กี่คนทำได้ ที่ปรึกษาให้ได้แค่คำแนะนำ ไม่มีตัวอย่างใดให้ศึกษา ด้นสดเอาเอง
ทำแบบล้มลุกคลุกคลานจนได้ทุนสนับสุนจากบริษัทแห่งหนึ่งแต่สุดท้ายส่งงานวิจัยไปแล้วหายเงียบบอกว่าผลวิจัยไม่ตรงกับวัตถุประสงค์
ต่อมางานวิจัยนั้นก็ถูกบริษัทเอาไปประกอบการประมูลงานๆหนึ่ง (เนื้อหาส่วนเทคนิตคือเนื้อหาเดียวกับงานวิจัยที่ผมทำ) สรุปคือทำฟรี
ไม่ได้เครดิท ไม่ได้เงินที่รับปากว่าจะให้ แต่ได้ประสบการณ์ ได้ความรู้ ได้บทเรียน ประสบการณ์ล้มเหลวนี้ถูกนำมาอ้างอิงการรับโครง
การต่างๆได้อีกมากมายในภายหลัง
3 ปีก่อน รับงานวิจัยทางวิศวกรรม + การแพทย์ คุยตกลงกับผู้ร่วมงานฝั่งการแพทย์ไว้ดิบดี ต่อมาบอกว่าหน่วยงานตนเองเปลี่ยน
นโยบายไม่อยากจะทำงานวิจัยร่วมต่อ ปล่อยผมทำงานวิจัยค้างกลางคันอยู่คนเดียว (เกือบจะสรุปผลวิจัยได้หมดแล้ว) ผมต้อง
กลับมาตัดเนื้อหางานวิจัยในส่วนที่เกี่ยวกับการแพทย์ออกทั้งหมด (เหมือนทำใหม่) แล้วเขียนเนื้อหาในส่วนวิศวกรรมมาทำ THESIS
ลงเรียนโทใบที่สองแทน ผลจากการเรียนเพิ่มนี้ทำให้มีโอกาศได้รับงานโครงการจากภาครัฐหน่วยงานหนึ่ง จนวันนี้โครงการที่
ทำได้รับรางวัลระดับประเทศ
และครั้งหนึ่งได้มีโอกาศเป็นผู้แทนของหน่วยงานรัฐ ลงไปชายแดนใต้เพื่อพูดเรื่องการทำนวัตกรรมให้กับผู้ประกอบการที่ภาคใต้ฟัง
เชื่อไหมแทบทุกคนถามผมอยู่เรื่องเดียวคือเรื่อง การจัดการความเสี่ยงในองค์กร เขาบอกว่าผมพูดแนะนำได้เหมือนกับคนที่เคย
ล้มเหลวจนไม่เหลืออะไร แต่ยังกลับมาได้ คล้ายกับสภาพที่พวกเขาต้องผเชิญอยู่
จากความล้มเหลวซ้ำๆในอดีต วันนี้กลับกลายเป็นคนที่ชำนาญเรื่องการจัดการความเสี่ยง ทุกอย่างจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ถ้าในอดีต
ผมล้มเหลวแล้วหยุดหรือยุติทุกอย่างลง
คนที่ล้มเหลว กับ คนที่ยอมแพ้ แตกต่างกันมากนะ โทมัส เอดิสัน เป็นตัวอย่างที่ดีในเรื่องนี้
แสดงความคิดเห็น
หมดไฟกับการเขียนงานวิจัย
ปิดแลปไปตั้งแต่สองปีแรก ช่วงทำแลปคือโอเคมาก เพราะเราทำได้ มีอุปสรรคบ้าง แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี
ตอนวิเคราะห์ข้อมูล ติดปัญหาสถิติตัวนึง เราทำไม่เป็น เราดองงานไว้เป็นปี ไปทำงานประจำอื่นๆไป คิดว่ารอได้ เดี๋ยวคงคิดออก
หลังจากดองไว้นานเกินไป คิดว่าไม่ได้แล้วต้องจัดการอะไรสักอย่างแล้ว
เราจึงไปจ้างคลินิกสถิติช่วยวิเคราะห์ เขาก็ไม่เข้าใจ concept (เพื่อนร่วมงานเคยเตือนแล้วว่าคลินิกนี้เขาไม่เก็ทงานแนวฝั่งเรา แต่เราไม่มีที่พึ่ง เลยลองดูสักตั้ง) ส่งผลวิเคราะห์ให้ผู้วิจัยร่วม (อดีตที่ปรึกษาตอนเราเรียน) ท่านบอกว่าไม่ถูกต้อง ท่านก็เลยวิเคราะห์ให้ ก็ได้ผลมา เราก็ผิดที่ไม่กล้าให้ท่านช่วยตั้งแต่แรก เพราะเราเกรงใจไม่เข้าเรื่อง
หลังจากนั้นเราก็ทำ manuscript กะว่าตีพิมพ์ภาษาไทยให้พอปิดทุนได้
ส่งให้ผู้วิจัยร่วม ท่านก็แนะนำ เราก็แก้ตามที่ท่านบอก
รอบล่าสุดท่านแนะนำให้รื้อเขียน discussion ใหม่หมด และปรับเป็น eng เพื่อเปลี่ยนวารสาร
เราแก้ไขไปประมาณ 70-80% แล้ว และก็หยุดค้างไว้แค่นั้นมาสี่เดือนแล้ว
วันหยุดสี่วันที่ผ่านมาเราตั้งใจมากว่าจะรีบปิดจ๊อบนี้ซะ เพราะมันดองมานานเหลือเกิน จนแหล่งทุนทวงงานแล้ว
แต่ปรากฏว่าเราไม่ทำ ใจไม่อยากทำ หมดไฟ ท้อ ทุกข์มาก อยากให้จบๆไปแต่มันไม่อยากทำ
อีกอย่างตอนนี้เราเปลี่ยน flied งานวิจัย (ด้วยเหตุจำเป็น) ไม่ได้ทำเรื่องแนวเดิม ไม่ได้ตามอ่านเรื่องแนวเดิมแล้ว
ตอนนี้เราเสียใจและผิดหวังในตัวเองมากที่ไม่มีความรับผิดชอบต่องาน ทำไม่สำเร็จ
ชีวิตตั้งแต่เรียนและทำงานมา ไม่เคยมีความรู้สึกหมดใจ ถอดใจ ท้อใจ เหมือนครั้งนี้เลย
เราไม่รู้จะก้าวข้ามผ่านอารมณ์และความรู้สึกตรงนี้ไปได้อย่างไร
พยายามบอกตัวเองว่า ท้อเป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร / เราทำได้ / สู้สู้ แต่ก็เห้ออออ ไฟในตัวก็ยังไม่ลุกโชนสักที
ใครเคยเป็นแบบเราหรือไม่เคยเป็นแบบเราก็ได้ค่ะ ช่วยแนะนำเราหน่อยนะคะ เราอยากทำให้สำเร็จค่ะ