มีการกล่าวกันว่าเรือลำสุดท้ายที่ทราบว่าลักลอบขนทาสจากแอฟริกาไปยังสหรัฐอเมริกาถูกค้นพบหลังจากการสอบสวนเป็นเวลาหนึ่งปี ซากของ Clotilda ถูกพบที่ด้านล่างของแม่น้ำ Mobile ใน Alabama เรือลำดังกล่าวถูกใช้เพื่อลักลอบนำเชลยชาวแอฟริกันไปยังสหรัฐฯ โดยบรรทุกผู้ชายผู้หญิงและเด็ก 110 คนจากเบนินไปยังแอละแบมาในปี 1860
ทาสเหล่านี้เป็นกลุ่มคนสุดท้ายของชาวแอฟริกันประมาณ 389,000 คนที่ถูกส่งไปเป็นทาสในอเมริกาแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1600 ถึงปี 1860 ตามที่นักประวัติศาสตร์ระบุไว้ มันดำเนินการอย่างลับๆหลายทศวรรษหลังจากที่สภาคองเกรสสั่งห้ามนำเข้าทาสและตั้งใจให้จมลงในปี 1860 เพื่อปกปิดหลักฐานการใช้งาน
ซากเรือ Clotilda ถูกค้นพบโดยบริษัทโบราณคดี Search Inc ในแม่น้ำ Mobile River รัฐแอละบามา หลังจากการค้นหาอย่างไม่ลดละกว่าหนึ่งปี ซึ่งได้รับการขอเรียกร้องให้ช่วยโดยคณะกรรมการประวัติศาสตร์แอละแบมาในการตรวจสอบซากนี้ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติซึ่งรายงานการค้นพบดังกล่าวพบว่าขนาดและโครงสร้างของซากเรือนั้นตรงกับของ Clotilda และการค้นพบครั้งนี้เติมเต็มความฝันยาวนานหลายชั่วอายุคนให้บรรดาลูกหลานของทาสที่รอดชีวิตจากเรือลำดังกล่าว
โคลทิลดาเป็นหนึ่งในเรือไม่กี่ลำที่ถูกค้นพบ จากเรือนับพันที่ขนส่งทาสชาวแอฟริการาว 389,000 คนข้ามมหาสมุรแอตแลนติกไปยังสหรัฐฯ ในช่วงปี 1600 ถึง 1860 Fredrik Hiebert นักโบราณคดีประจำสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ซึ่งสนับสนุนการค้นหาในครั้งนี้ กล่าวว่า “การค้นพบโคลทิลดาเปิดเผยถึงบทที่หายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์ของอเมริกาขึ้นมาใหม่” “และการค้นพบครั้งนี้ยังเป็นชิ้นส่วนสำคัญสำหรับเรื่องราวของแอฟริกาทาวน์ (Africatown) ซึ่งเป็นเมืองที่ลูกหลานผู้ทรหดจากเรือค้าทาสลำสุดท้ายของอเมริกาสร้างขึ้น” ทั้งนี้เชลยที่ถูกนำมาบนเรือได้รับการปลดปล่อยในเวลาต่อมาและตั้งรกรากในชุมชนที่เรียกว่า "แอฟริกาทาวน์" ในสหรัฐอเมริกา
(ภาพถ่ายทางอากาศในปี 2018 นี้แสดงให้เห็นซากเรือ Cr.ภาพ: AP)
(ภาพวาดเรือโคลทิลดาบนที่กั้นน้ำคอนกรีตในแอฟริกาทาวน์ ซึ่งเป็นชุมชนใกล้โมบีลที่ก่อตั้งโดยทาสที่ถูกลักลอบพาเข้ามายังแอละแบมา และยังมีลูกหลานบางส่วนที่อาศัยอยู่ในชุมชนดังกล่าว) ภาพภ่ายโดย ELIAS WILLIAMS, NATIONAL GEOGRAPHIC
เรื่องราวเกี่ยวกับ Clotilda เริ่มขึ้นเมื่อ Timothy Meaher เจ้าของที่ดินและนักต่อเรือผู้ร่ำรวยใน Mobile พนันว่าเขาจะสามารถลักลอบนำทาสชาวแอฟริกามายังอ่าว Mobile Bay ได้โดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่รู้ เขาออกใบอนุญาตให้กัปตัน William Foster ต่อเรือลำดังกล่าว และนำไปซื้อเชลยที่ Ouidah ในประเทศเบนินในปัจจุบัน
Foster ได้เผาเรือทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานหลังจากที่เขาส่งทาสลงเรือล่องแม่น้ำ และ Clotilda ได้รักษาความลับเรื่องนี้ไว้นานหลายทศวรรษ ในขณะที่คนบางกลุ่มกล่าวว่าเรื่องน่าอับอายครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานของเรื่องนี้จากทั้งเจ้าของทาสและตัวทาสเอง โดย Sylviane Diouf นักประวัติศาสตร์ชื่อดังด้านการพลัดถิ่นของชาวแอฟริกา และผู้เขียนหนังสือ Dreams of Africa in Alabama ซึ่งบันทึกเรื่องราวของ Clotilda ระบุว่า มีการวาดภาพ สัมภาษณ์ หรือแม้แต่ถ่ายภาพทาสที่เรือลำนี้ขนส่งมา
นอกจากนี้ อดีตทาสที่เดินทางมากับเรือลำดังกล่าวเหล่านี้ไม่ได้กลับบ้านหลังสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ จบลงและมีการประกาศเลิกทาส แต่พวกเขาได้ตั้งชุมชนเล็กๆ ชื่อแอฟริกาทาวน์ในบริเวณนั้น และลูกหลานมากมายที่ยังอยู่ในบริเวณนั้นก็เติบโตมากับเรื่องราวของเรือลำนี้ โดย Lorna Woods หนึ่งในลูกหลานของทาสเหล่านั้นคาดว่าหากเจอหลักฐานของเรือลำนี้มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่
Mary Elliott ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสมิทโซเนียนด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน (Smithsonian National Museum of African American History and Culture) เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอกล่าวว่า “มีตัวอย่างของเรื่องที่บางคนปฏิเสธว่าไม่เคยเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการจลาจลระหว่างเชื้อชาติที่ทัลซาในปี 1921 เรื่องของเรือลำนี้ หรือแม้แต่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว แต่ในตอนนี้ โบราณคดี การวิจัยจดหมายเหตุ และวิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานกับความทรงจำที่ชุมชนมีร่วมกัน ทำให้คนเหล่านั้นปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ผู้คนในชุมชนเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษของพวกเขาอย่างสัมผัสได้ เพราะพวกเขารู้ว่านี่คือเรื่องจริง”
(แบบจำลองเรือทาส. พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์อเมริกันแห่งชาติ ภาพโดย Kenneth Lu CC โดย 2.0)
ในหลายปีที่ผ่านมาเคยมีการตามหา Clotilda หลายครั้ง แต่ต้องประสบความล้มเหลว เนื่องจากสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ Mobile-Tensaw เต็มไปด้วยทั้งหนอง ทะเลสาบ และลำธาร รวมทั้งซากเรือจำนวนมาก แต่เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 นักข่าวท้องถิ่นได้ค้นพบซากเรือไม้ขนาดใหญ่ผิดปกติ ทำให้ AHC จ้าง Search Inc ซึ่งเป็นบริษัททางโบราณคดีมาตรวจสอบซากเรือลำดังกล่าว แม้เรือลำดังกล่าวไม่ไช่ Clotilda แต่การค้นพบในครั้งนี้ได้ทำให้คนทั้งสหรัฐฯ เกิดความสนใจในเรือค้าทาสที่สาบสูญไปลำนี้ AHC จึงให้เงินทุนสำหรับการวิจัยเพิ่มเติม และร่วมมือกับสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และ Search Inc ในการค้นหาเรือลำดังกล่าว
นักวิจัยเริ่มตรวจสอบหลักฐานปฐมภูมินับร้อยและวิเคราะห์บันทึกเกี่ยวกับเรือกว่า 2,000 ลำที่ปฏิบัติการในอ่าวเม็กซิโกในช่วงปลายทศวรรษที่ 1850 และพบว่า Clotilda เป็นหนึ่งในเรือเพียง 5 ลำที่ต่อในบริเวณอ่าวและมีประกัน ซึ่งเอกสารลงทะเบียนอธิบายลักษณะของเรือใบลำนี้อย่างละเอียด ทั้งในด้านวัสดุและขนาดมิติของเรือ ตั้งแต่ตัวยึดโลหะบนตัวเรือที่ทำจากเหล็กหล่อที่หลอมด้วยมือ ไม้ที่ใช้ทำเรือ ขนาดของไม้คานและระวาง และขนาดรวมถึงลักษณะของเซนเตอร์บอร์ด
เจมส์ เดลกาโด นักโบราณคดีทางทะเลแห่ง Search Inc กล่าวว่า Clotilda เป็นเรือที่ถูกสร้างมาเป็นพิเศษ และมีลักษณะไม่เหมือนเรือทั่วไป และ มีเรือใบที่ต่อในบริเวณอ่าวฯ เพียงลำเดียวที่ยาว 26 เมตร มีคานยาว 7 เมตร และมีระวางขนาด 2.1 เมตร ซึ่งเรือลำนี้ก็คือ Clotilda
เดลกาโดและ Stacye Hathorn นักโบราณคดีจากรัฐแอละแบมามุ่งการสำรวจไปยังบริเวณที่ไม่เคยมีการสำรวจในแม่น้ำโมบีลหลังพวกเขาวิจัยเกี่ยวกับสถานที่ที่โคลทิลดาอัปปางอยู่ นักประดาน้ำด้วยพร้อมอุปกรณ์หลากหลายชนิด เช่นเครื่องวัดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กสำหรับการตรวจจับโลหะ โซนาร์สแกนด้านข้างสำหรับการตรวจหาวัตถุบนก้นแม่น้ำ และเครื่องมือหาวัตถุที่ฝังอยู่ใต้ร่องน้ำอันขมุกขมัว ออกค้นหาจนพบสุสานเรืออัปปาง
(นักโบราณคดีค้นพบตะปู หมุด และสลักที่ใช้ยึดคาน (beam) และแผ่นไม้ (planking) ของโคลทิลดา ตัวยึดซึ่งหล่อด้วยมือเหล่านี้พบเจอได้ทั่วไปในเรือใบที่ต่อในโมบีล ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19) ภาพถ่ายโดย MARK THIESSEN, NATIONAL GEOGRAPHIC
(Frankie West นักนิติวิทยาศาสตร์ตรวจสอบตัวอย่างไม้จากระวางเรือ โดยหวังว่าเขาจะค้นพบ DNA จากเลือดหรือของเหลวในร่างกายของเหล่าเชลย)
(Authur Clarke วิศวกรประจำเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก วิเคราะห์ตะปูที่เก็บได้จากซากเรือ และพบว่ามันประกอบไปด้วยเหล็กบริสุทธิ์เกือบร้อยละ 99 ซึ่งตรงกับตัวยึดที่ใช้ในเรือที่ต่อในแอละแบมาในช่วงปี 1850) ภาพถ่ายโดย MARK THIESSEN, NATIONAL GEOGRAPHIC
ในบรรดาเรือที่ถูกค้นพบ มีเพียงลำเดียวที่พวกเขาเรียกว่า หมายเลข 5 (Target 5) ที่แตกต่างจากเรือลำอื่น และมีลักษณะเช่นเดียวกับที่มีการบันทึกไว้ ทั้งการออกแบบ ขนาด และวัสดุที่ใช้ ซากเรือดังกล่าวยังมีร่องรอยของการถูกเผาด้วย และมีหลักฐานว่าตัวเรือถูกหุ้มด้วยทองแดง อันเป็นลักษณะที่พบเห็นได้ทั่วไปในเรือเดินสมุทร ซึ่งเดลกาโดกล่าวว่ามันตรงกับบันทึกเกี่ยวกับโคลทิลดาทุกอย่าง และแม้จะไม่มีแผ่นชื่อหรือแผ่นจารึกอื่นๆ ที่ระบุอย่างแน่ชัดว่าเรืออัปปางลำนี้คือ Clotilda แต่หลักฐานหลายชิ้นทำให้ไม่ต้องสงสัย
(ของจำลองของระฆังเสรีภาพแห่งแอฟริกาทาวน์ ในลานของ Mobile County Training School
ตำนานท้องถิ่นกล่าวไว้ว่าระฆังดั้งเดิมมาจากเรือ )Clotilda ภาพถ่ายโดย ELIAS WILLIAMS, NATIONAL GEOGRAPHIC
เรื่องโดย JOEL K. BOURNE, JR.
Cr.
https://ngthai.com/history/22162/last-slave-ship-found/
Cr.
http://seronokkabar.blogspot.com/2019/05/clotilda-wreck-last-us-slave-ship-found.html / By Seronok Kabar
Cr.
https://en.wikipedia.org/wiki/Africatown
Cr.
https://www.thevintagenews.com/2019/05/25/last-known-slave-ship/
Cr.
https://www.nationalgeographic.com/culture/2019/05/clotilda-the-last-american-slave-ship-found-in-alabama/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
"Clotilda" เรือทาสลำสุดท้ายของสหรัฐถูกค้นพบ
ทาสเหล่านี้เป็นกลุ่มคนสุดท้ายของชาวแอฟริกันประมาณ 389,000 คนที่ถูกส่งไปเป็นทาสในอเมริกาแผ่นดินใหญ่ตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1600 ถึงปี 1860 ตามที่นักประวัติศาสตร์ระบุไว้ มันดำเนินการอย่างลับๆหลายทศวรรษหลังจากที่สภาคองเกรสสั่งห้ามนำเข้าทาสและตั้งใจให้จมลงในปี 1860 เพื่อปกปิดหลักฐานการใช้งาน
ซากเรือ Clotilda ถูกค้นพบโดยบริษัทโบราณคดี Search Inc ในแม่น้ำ Mobile River รัฐแอละบามา หลังจากการค้นหาอย่างไม่ลดละกว่าหนึ่งปี ซึ่งได้รับการขอเรียกร้องให้ช่วยโดยคณะกรรมการประวัติศาสตร์แอละแบมาในการตรวจสอบซากนี้ สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติซึ่งรายงานการค้นพบดังกล่าวพบว่าขนาดและโครงสร้างของซากเรือนั้นตรงกับของ Clotilda และการค้นพบครั้งนี้เติมเต็มความฝันยาวนานหลายชั่วอายุคนให้บรรดาลูกหลานของทาสที่รอดชีวิตจากเรือลำดังกล่าว
โคลทิลดาเป็นหนึ่งในเรือไม่กี่ลำที่ถูกค้นพบ จากเรือนับพันที่ขนส่งทาสชาวแอฟริการาว 389,000 คนข้ามมหาสมุรแอตแลนติกไปยังสหรัฐฯ ในช่วงปี 1600 ถึง 1860 Fredrik Hiebert นักโบราณคดีประจำสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ซึ่งสนับสนุนการค้นหาในครั้งนี้ กล่าวว่า “การค้นพบโคลทิลดาเปิดเผยถึงบทที่หายสาบสูญไปจากประวัติศาสตร์ของอเมริกาขึ้นมาใหม่” “และการค้นพบครั้งนี้ยังเป็นชิ้นส่วนสำคัญสำหรับเรื่องราวของแอฟริกาทาวน์ (Africatown) ซึ่งเป็นเมืองที่ลูกหลานผู้ทรหดจากเรือค้าทาสลำสุดท้ายของอเมริกาสร้างขึ้น” ทั้งนี้เชลยที่ถูกนำมาบนเรือได้รับการปลดปล่อยในเวลาต่อมาและตั้งรกรากในชุมชนที่เรียกว่า "แอฟริกาทาวน์" ในสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวเกี่ยวกับ Clotilda เริ่มขึ้นเมื่อ Timothy Meaher เจ้าของที่ดินและนักต่อเรือผู้ร่ำรวยใน Mobile พนันว่าเขาจะสามารถลักลอบนำทาสชาวแอฟริกามายังอ่าว Mobile Bay ได้โดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่รู้ เขาออกใบอนุญาตให้กัปตัน William Foster ต่อเรือลำดังกล่าว และนำไปซื้อเชลยที่ Ouidah ในประเทศเบนินในปัจจุบัน
Foster ได้เผาเรือทิ้งเพื่อทำลายหลักฐานหลังจากที่เขาส่งทาสลงเรือล่องแม่น้ำ และ Clotilda ได้รักษาความลับเรื่องนี้ไว้นานหลายทศวรรษ ในขณะที่คนบางกลุ่มกล่าวว่าเรื่องน่าอับอายครั้งนี้ไม่เคยเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีหลักฐานของเรื่องนี้จากทั้งเจ้าของทาสและตัวทาสเอง โดย Sylviane Diouf นักประวัติศาสตร์ชื่อดังด้านการพลัดถิ่นของชาวแอฟริกา และผู้เขียนหนังสือ Dreams of Africa in Alabama ซึ่งบันทึกเรื่องราวของ Clotilda ระบุว่า มีการวาดภาพ สัมภาษณ์ หรือแม้แต่ถ่ายภาพทาสที่เรือลำนี้ขนส่งมา
นอกจากนี้ อดีตทาสที่เดินทางมากับเรือลำดังกล่าวเหล่านี้ไม่ได้กลับบ้านหลังสงครามกลางเมืองของสหรัฐฯ จบลงและมีการประกาศเลิกทาส แต่พวกเขาได้ตั้งชุมชนเล็กๆ ชื่อแอฟริกาทาวน์ในบริเวณนั้น และลูกหลานมากมายที่ยังอยู่ในบริเวณนั้นก็เติบโตมากับเรื่องราวของเรือลำนี้ โดย Lorna Woods หนึ่งในลูกหลานของทาสเหล่านั้นคาดว่าหากเจอหลักฐานของเรือลำนี้มันจะต้องเป็นเรื่องใหญ่
Mary Elliott ภัณฑารักษ์ประจำพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสมิทโซเนียนด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน (Smithsonian National Museum of African American History and Culture) เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เธอกล่าวว่า “มีตัวอย่างของเรื่องที่บางคนปฏิเสธว่าไม่เคยเกิดขึ้นมากมาย ทั้งการจลาจลระหว่างเชื้อชาติที่ทัลซาในปี 1921 เรื่องของเรือลำนี้ หรือแม้แต่เรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว แต่ในตอนนี้ โบราณคดี การวิจัยจดหมายเหตุ และวิทยาศาสตร์ที่ผสมผสานกับความทรงจำที่ชุมชนมีร่วมกัน ทำให้คนเหล่านั้นปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ผู้คนในชุมชนเชื่อมโยงกับบรรพบุรุษของพวกเขาอย่างสัมผัสได้ เพราะพวกเขารู้ว่านี่คือเรื่องจริง”
นักวิจัยเริ่มตรวจสอบหลักฐานปฐมภูมินับร้อยและวิเคราะห์บันทึกเกี่ยวกับเรือกว่า 2,000 ลำที่ปฏิบัติการในอ่าวเม็กซิโกในช่วงปลายทศวรรษที่ 1850 และพบว่า Clotilda เป็นหนึ่งในเรือเพียง 5 ลำที่ต่อในบริเวณอ่าวและมีประกัน ซึ่งเอกสารลงทะเบียนอธิบายลักษณะของเรือใบลำนี้อย่างละเอียด ทั้งในด้านวัสดุและขนาดมิติของเรือ ตั้งแต่ตัวยึดโลหะบนตัวเรือที่ทำจากเหล็กหล่อที่หลอมด้วยมือ ไม้ที่ใช้ทำเรือ ขนาดของไม้คานและระวาง และขนาดรวมถึงลักษณะของเซนเตอร์บอร์ด
เจมส์ เดลกาโด นักโบราณคดีทางทะเลแห่ง Search Inc กล่าวว่า Clotilda เป็นเรือที่ถูกสร้างมาเป็นพิเศษ และมีลักษณะไม่เหมือนเรือทั่วไป และ มีเรือใบที่ต่อในบริเวณอ่าวฯ เพียงลำเดียวที่ยาว 26 เมตร มีคานยาว 7 เมตร และมีระวางขนาด 2.1 เมตร ซึ่งเรือลำนี้ก็คือ Clotilda
เดลกาโดและ Stacye Hathorn นักโบราณคดีจากรัฐแอละแบมามุ่งการสำรวจไปยังบริเวณที่ไม่เคยมีการสำรวจในแม่น้ำโมบีลหลังพวกเขาวิจัยเกี่ยวกับสถานที่ที่โคลทิลดาอัปปางอยู่ นักประดาน้ำด้วยพร้อมอุปกรณ์หลากหลายชนิด เช่นเครื่องวัดความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กสำหรับการตรวจจับโลหะ โซนาร์สแกนด้านข้างสำหรับการตรวจหาวัตถุบนก้นแม่น้ำ และเครื่องมือหาวัตถุที่ฝังอยู่ใต้ร่องน้ำอันขมุกขมัว ออกค้นหาจนพบสุสานเรืออัปปาง
Cr.https://ngthai.com/history/22162/last-slave-ship-found/
Cr. http://seronokkabar.blogspot.com/2019/05/clotilda-wreck-last-us-slave-ship-found.html / By Seronok Kabar
Cr.https://en.wikipedia.org/wiki/Africatown
Cr.https://www.thevintagenews.com/2019/05/25/last-known-slave-ship/
Cr.https://www.nationalgeographic.com/culture/2019/05/clotilda-the-last-american-slave-ship-found-in-alabama/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)