สามีจะโมโหทุกครั้งที่เราแต่งตัวเซ็กซี่ออกนอกบ้าน (มันไม่ได้โป้ขนาดนั้น) สามีใครเป็นแบบนี้บ้างคะ

เรื่องของเรื่องคือวันก่อนเราจะไปออกกำลังกาย ฟิตเน็ตก็อยู่หน้าบ้าน เดินลงบ้านมาจะหยิบรองเท้ากีฬามาใส่ สามีเห็นเข้าพอดี  
เดินมาแย่งรองเท้ากีฬาเราไป เรามีรองเท้ากีฬาอยู่สามสี่คู่ เค้าหยิบไปทุกคู่ คู่ละข้าง และเดินไปปิดประตูไม่ยอมให้ออกบ้าน ถ้าเราไม่เปลี่ยนชุด  จนเราต้องไปเปลี่ยนชุด  แถมมีพูดปิดท้ายด้วยนะว่า ....ถ้าจะใส่รองเท้าคนละข้างไปวิ่งก็ตามสะบ้ายยย 555 คิดแล้วก็ขำ แต่ตอนนั้นเราไม่ขำนะคะ
ชุดที่เราใส่มันไม่ได้โป้ขนาดนั้นนะคะทุกคน ใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นที่ผู้หญิงทั่วไปเค้าใส่กันปกติครึ่งขา วันก่อนที่ใส่ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ ขึ้นเข่ามาหน่อยนึง 

ปกติเค้าจะคุยดีๆก่อนทำท่าทางตลกให้เราใจอ่อนยอมไปเปลี่ยนชุด ถ้าเราไม่ยอมเค้าก็จะโมโห โกรธเรา มามุขนี้ประจำเวลาเราแต่งตัวขึ้นมาและเราก็ต้องยอมทุกที แต่แต่งหน้าได้นะคะ แค่วันไหนแต่งนานเป็นพิเศษหรืออยากดูดีกว่าปกติเค้าจะมาด่อมๆมองๆ และพูดประชดประชันว่าเปลืองเครื่องสำอางอย่าแต่งเยอะ อย่าแต่งนานนักเลย  
เค้าเป็นแบบนี้ประจำ ไม่ว่าจะไปเที่ยว(ก็ไปกับเค้านั่นแหละ) ไปทำงาน ไปไหนก็แล้วแต่ จนเราคิดว่าเค้าเป็นโรคจิตป่ะเนี่ย ตอนนี้เสื้อผ้าเราไม่มีจะใส่อยู่แล้วเพราะถ้าตัวไหนที่เค้าคิดว่ามันโป้ เค้าจะแอบเอาเสื้อผ้าเราไปซ่อนไว้ แบบเนียนๆซ่อนทีละตัวสองตัวอ่ะค่ะ
พอเรานึกขึ้นได้อยากใส่ตัวนั้นก็หาไม่เจอแล้ว ล่าสุดก็พึ่งไปเจอชุดเดรสถุกยัดใส่ถุงไว้ที่หลังเครื่องซักผ้า 

ปกติสามีเค้าตามใจเราทุกเรื่องไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่เรื่องอะไรก็แล้วแต่ แต่เรื่องนี้เค้าไม่ยอมค่ะ
ถ้าถามเราว่าแล้วยอมสามีทุกครั้งไหม เราก็ต้องยอมค่ะ เพราะเคยทะเลาะกันเรื่องนี้จนเค้านั่งร้องไห้ยังไงก็ไม่ให้แต่งตัวโป้ออกนอกบ้าน  (โป้สำหรับเค้า) ถ้าอยากแต่งก็แต่งได้แต่เฉพาะตอนอยู่ที่บ้าน
แต่บางทีเราก็เสียอารมณ์ที่แบบ อุตส่าห์แต่งตัวมาแล้วแท้ๆ ทำให้เสียบรรยากาศทุกที จนบางทีไม่อยากไปเที่ยวละ เปลี่ยนผ้าแล้วนอนดูหนังอยู่บ้านยังจะดีกว่า  สามีบ้านไหนเป็นแบบนี้บ้างคะ???
PS.ก่อนหน้านี้ที่เรายังเป็นแฟนหรือเป็นคู่หมั้นกันอยู่ เราก็แต่งตัวสไตล์ของเราแบบนี้นะคะ จนแต่งงานกับเค้าแล้วนี่แหละ ทุกชุดที่เค้าคิดว่าโป้ เราไม่ได้ใส่มันอีกเลย
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 22
คนอื่นรวมถึงจขกท.อาจจะมองว่าสามีคุณน่ารัก แต่ผมมองว่าเค้าไม่ให้เกียรติคุณเลย นิสัยเป็นเด็กไม่รู้จักโตเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคารพสิทธิคนอื่น ผู้หญิงหรือภรรยาต้องมีสิทธิเลือกที่จะใส่ชุดที่เธอคิดว่าสวยใส่แล้วมั่นใจ นี่อะไรมีการเอาชุดคุณไปซ่อนอีก ไม่ไหวๆ
ความคิดเห็นที่ 46
ที่จริงมันเป็นเรื่องกาลเทศะน่ะค่ะ คำนึงถึงทั้งคนที่ไปด้วย เวลา สถานที่ และกิจกรรม แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าไปเล่นน้ำทะเลกับญาติผู้ใหญ่ยุคเบบี้บลูม (ชุดโชว์สัดส่วนทั้งหลายคือโป๊ทั้งหมด ยุคของเขา ชุดว่ายน้ำแบบสูทซึ่งปิดตั้งแต่คอลงมายันข้อมือถึงข้อเท้า ถือว่าอนาจาร)(แต่ยุคก่อนหน้าเขา ผู้หญิงเปลือยอกเดินไปจ่ายตลาดถือว่าปกติ) ยังไงก็ไม่มีทางใส่ทูพีซได้แน่ๆ

แต่หากคุณแน่ใจว่าคำว่าไม่โป๊ของเขามันเหนือระดับสามัญสำนึกของคนทั่วไป มีแนวโน้มว่าจะ "อยากเก็บไว้ดูคนเดียว"
อันนี้น่าจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลล่ะค่ะ นั่นคือเขาไม่ได้เห็นว่าคุณเป็นมนุษย์ผู้มีสิทธิ์จะทำอะไรกับร่างกายของตัวเองก็ได้ตามแต่สมควร แต่เห็นเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของเขา ถ้าเขาไม่อนุญาต คุณก็ไม่มีสิทธิ์ทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างกับร่างกายของตัวเอง เพราะร่างกายของคุณตกเป็นของเขาแล้ว

ผู้ชายไทยส่วนหนึ่งหรือส่วนใหญ่...หรือแทบทั้งหมด ถูกเลี้ยงดูมาในสังคมแบบ "ชายเป็นใหญ่"
ภรรยานั้นเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของสามี ถอยหลังไปสักร้อยปีก่อนนี่เองที่ประเทศไทยมีการอนุญาตให้สามีขายภรรยาหรือลูกสาวเพื่อชำระหนี้ได้ สามารถเลือกสามีหรือพี่น้องผู้หญิงให้แต่งงานกับคนที่ตนเห็นสมควรได้ ตบตีเมื่อฝ่ายหญิงไม่เชื่อฟังได้ และผู้หญิงก็ยอมรับเรื่องนี้อย่างว่านอนสอนง่าย แม้เจ็บช้ำน้ำใจแต่สุดท้ายก็ยอม นี่ก็ผ่านมาไม่ทันครบ 2 รุ่นเองค่ะ ถือว่าแนวคิดพวกนี้ยังมีอิทธิพลอยู่ แม้ไม่มากเท่าเมื่อก่อนก็ตาม
ตามวัฒนธรรม "ชายเป็นใหญ่" ข้อหนึ่งที่มองเห็นได้ชัดเจนคือ ฝ่ายชายจะ "รู้ว่าผู้หญิงควรหรือไม่ควรทำอะไร" เรียกว่ามีกรอบที่ฝ่ายหญิงต้องทำตามเขาอยู่ อย่างเช่นการแต่งตัวนี่เอง เพราะผู้ชายในลัทธินี้เชื่อว่าผู้หญิงเป็นสมบัติชิ้นหนึ่งของตน ประกอบกับเชื่อว่า ผู้หญิงแต่งตัวสวยก็เพื่อให้ผู้ชายดู ในเมื่อเขาไม่อนุญาตให้ใครดู ผู้หญิงจึงไม่ควรแต่งตัว หรือก็คือควรเป็นอีเพิ้งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นนั่นเอง สิทธิ์ในการชื่นชมความสวยของเธอจึงถือว่าเป็นเอกสิทธิ์ของเขาแต่เพียงผู้เดียว แล้วเขาก็บีบบังคับคุณด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ถ้าเป็นสมัยก่อนก็ลากมาตบตีสั่งสอนและประจานที่หน้าบ้านล่ะค่ะ ผู้ชายสมัยนี้ซึมซัมแล้วว่าตัวเองทำอย่างนั้นไม่ได้ ก็ต้องเลือกวิธีอื่นที่ซอฟต์กว่าแทน แต่คอนเซ็ปต์ยังเหมือนเดิม

ในความจริงแล้ว ผู้หญิงเราก็อยากดูดีเมื่ออยู่ในที่สาธารณะตามกาลเทศะ และเอาจริงๆ เราแต่งตัวเพื่ออวดผู้หญิงด้วยกันด้วยซ้ำ เพราะผู้หญิงนี่แหละที่มองเจาะรายละเอียดการแต่งตัวของผู้หญิงด้วยกัน ผู้ชายจะไปรู้อะไร มองรวมๆ ว่าสวยหรือไม่สวยได้แค่นั้นแหละ ผู้หญิงแต่งหน้าแบบธรรมชาติหรือหน้าสดจริงๆ ยังแยกไม่ออกเลย

นอกจากมองเป็นทรัพย์สิน ทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ อีกประการหนึ่งคือเพื่อชดเชยปมด้อยอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เขาไม่มั่นใจว่าตัวเองมีดีพอ จึงหวงก้าง ไม่ต้องการให้ใครมาสนใจคุณ กลัวว่าคุณจะไปเลือกคนอื่นแทนเขา การบังคับให้คุณทำตัวโทรมจึงช่วยให้เขาคลายกังวลได้โดยที่เขาไม่ต้องกระดิกทำอะไร จริงอยู่ว่านี่อาจเรียกอย่างถนอมน้ำใจได้ว่า "เพราะรักจึงหวง" แต่ถ้ามองอีกแง่มุมหนึ่งแล้ว การหวงไม่ใช่ปัญหาของฝ่ายหญิง แต่เป็นเรื่องที่ฝ่ายชายควรแก้ไขตัวเอง มิใช่ตัวเองไม่สบายใจก็โยนภาระมาให้ผู้หญิงแก้ ผู้หญิงอึดอัดแต่ตัวเองไร้กังวล คำถามก็คือ มันสมเหตุสมผลตรงไหนที่ผู้หญิงต้องทำตัวอย่างที่ผู้ชายต้องการและทนอึดอัดอยู่ฝ่ายเดียว

การแต่งตัวที่ดีก็คือการแต่งตัวที่ถูกกาลเทศะ มันควรจะจบแค่ตรงนี้ค่ะ
โป๊หรือไม่โป๊ แยกแยะได้จากสายตาของเหล่าผู้คนที่จะได้เห็น ซึ่งก็เป็นส่วนหนึ่งของกาลเทศะอยู่แล้ว มิได้ขึ้นอยู่กับความเห็นของสามีเพียงผู้เดียว
แม้คุณจะแต่งงานแล้ว คุณก็มีสิทธิ์ที่จะสวยตามกาลเทศะ อีกอย่าง เรื่องการแต่งตัวไม่ได้อยู่ในข้อตกลงก่อนแต่งงาน จะมาเปลี่ยนทีหลังก็ดูไม่ยุติธรรมใช่หรือไม่ หากมันไม่ได้โป๊จนเกินงามหรือมองอย่างไรก็ดูรู้ว่าแต่งตัวไปอ่อยผู้ชาย คุณก็น่าจะใส่ได้ตามใจคุณ

ในฐานะที่ฉันเป็นผู้หญิงคนหนึ่งและนิยมคบแต่กับเพื่อนสาวงาม (หัวเราะ) ฉันเคยจงใจวัดอัตราส่วนของผู้ชายที่เหล่เพื่อนของฉัน (ในเวอร์ชันสวยเต็มสูบ) ถ้าเป็นที่สาธารณะ ผู้ชายไม่ได้มองมากขนาดนั้นหรอกค่ะ เดินสวนกันสิบคน อาจจะแอบเหลือบมาสักคน แต่ถ้าไปร้านเหล้า อันนี้แหละมองจ้องกันแบบไม่เกรงใจและไม่กะพริบตาเลย แล้วยิ่งถ้าเดินกับแฟนในที่สาธารณะ ผู้ชายแทบจะไม่มองด้วยซ้ำ คุณจะลองท้าให้สามีสังเกตผู้ชายคนอื่นขณะเดินกับคุณในเวอร์ชันสมกาลเทศะก็ได้นะ แต่ฉันเกรงว่าเขาจะไม่สนใจมากกว่า เพราะคำสัมภาษณ์ของผู้ชายที่ฉันลองคุยมานับสิบคนจากหลายสังคม พวกเขายอมรับว่าไม่อยากให้ใส่ก็คือไม่อยากให้ใส่ ไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น คำว่าโป๊ก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ผู้ชายทุกคนล้วนไม่อยากให้ผู้หญิงที่ตัวเองจริงจังด้วยไปล่อตาล่อใจใคร แค่มองก็ไม่อยากให้มอง มีหลายคนจำใจไม่ห้ามเพราะเข้าใจว่ามันเป็นสิทธิ์ของแฟนที่จะแต่งตัวอย่างไรก็ได้ตามกาลเทศะ และมีหลายคนพอใจที่ให้แฟนมีเสรีที่จะสวยได้เต็มที่ (โป๊ได้ตามกาลเทศะ)
แต่มันจะเป็นปัญหาจริงถ้าฝ่ายหญิงเป็นพวกขยันบริหารเสน่ห์จัด รู้สึกดีที่ถูกชายอื่นมองอยู่แล้ว อันนี้ฝ่ายชายไม่แฮปปี้ค่ะ มันก็ต้องยอมรับว่ามีความแตกต่างกันระหว่างการแต่งตัวของคนแต่งงานแล้วกับคนโสด ไม่ใช่ว่าร่างกายของเราตกเป็นของเขาทั้งหมด แต่ประมาณครึ่งหนึ่งล่ะค่ะที่เขามีสิทธิ์มากะเกณฑ์การแต่งตัวของเรา มันหารกันคนละครึ่งกันทั้งหมดทุกแง่มุมนั่นแหละทั้งฝ่ายชายฝ่ายหญิง เพียงแต่ในสังคมนิยมลัทธิชายเป็นใหญ่แห่งนี้ ไม่มีใครมาประณามผู้ชายที่ใส่เสื้อแหวกโชว์อกหรือเปลือยท่อนบนว่าโป๊เปลือยไง ผู้หญิงก็มีโมเม้นต์เห็นแล้วน้ำเดินนั่นโน่นนี่เหมือนกัน ผู้ชายก็ภูมิใจ ถือว่าตัวเองมีเสน่ห์ มันน่าสงสัยมากว่าทำไมผู้ชายทำได้ แต่ผู้หญิงทำแล้วโดนมองไม่ดี

อันที่จริงแล้ว ผู้ชายที่มากะเกณฑ์การแต่งตัวของแฟนก็มีแค่ 2 ประเภทนั่นแหละค่ะ
คือรักจึงหวงจริงๆ ทนทรมานกับความหวงของตัวเองไม่ไหวจึงมาลงที่ฝ่ายหญิง กับอีกประเภทคือรู้สึกเป็นเจ้าข้าวเจ้าของวัตถุชิ้นหนึ่งเฉยๆ
ในกรณีที่คุณแน่ใจว่าเขารัก ทางที่ดีควรจะคุยกันดีๆ คุณอาจช่วยแต่งตัวให้มิดชิดขึ้นได้ ไม่ใส่สปอร์ตบรากับกางเกงขาสั้นเสมอหูไปออกกำลังกาย แต่จะให้มิดจนเหลือแต่หัว มือ กับเท้า นี่ก็เกินไป เขาเองก็ควรพยายามเข้าใจและควบคุมตัวเองด้วย ไม่ใช่ให้มาหนักที่คุณฝ่ายเดียว
เขาไม่สบายใจแล้วคุณมีความผิดหรือ?
เพราะเขารักคุณและคุณก็รักเขา มันก็ควรมีสักทางที่ต่างก็ช่วยกันแบกปัญหา จะได้ไม่หนักอยู่ฝ่ายเดียวไม่ใช่หรือ?
ผู้ชายหลายคนเข้าใจว่าการแสดงความหึงหวงเท่ากับการแสดงความรัก พวกเขาก็น่ารักจริงนั่นแหละตอนหึงหวง...แต่มันก็มีขอบเขตไหม
เขาควรจะรู้ว่า ความอึดอัดนี่ไม่ใกล้เคียงคำว่าโรแมนติกเลยนะ ไม่ได้ทำให้ฝ่ายหญิงรู้สึกถึงความรักด้วย
แอบเอาเสื้อไปซ่อน แต่งตัวไม่ถูกใจก็ห้ามออกจากบ้าน ห้ามแต่งหน้านาน ไม่ได้ก็นั่งร้องไห้...คุณนี่เจอระดับสาหัสแล้วค่ะ เป็นรองก็แค่ถูกตบตีแล้ว
ร่างกายของร่างกายของคุณ เสื้อก็เสื้อคุณ ก่อนแต่งงานก็ไม่ได้ห้าม ในเมื่อคุณทำถูกกาลเทศะแล้ว ไม่เหลือเหตุผลอะไรให้เขามาห้ามคุณแท้ๆ
สิ่งที่คุณเจอเป็นการล่วงละเมิดชนิดหนึ่ง แต่เพราะไม่มีใครบาดเจ็บจึงไม่ค่อยมีใครมองว่าเป็นปัญหาใหญ่
แม้แต่คุณเองก็คงไม่คิดว่านี่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิ์ คุณแค่รู้สึกอึดอัด ได้กลิ่นเหมือนมีอะไรไม่ถูกต้องอยู่จางๆ
ก็อยากจะบอกว่า...นั่นแหละ กลิ่นของการถูกละเมิดค่ะ มันมีการละเมิดหลายระดับ และผู้หญิงเราจะรู้สึกว่ามันคือการละเมิดจริงๆ ในกรณีที่ถูกละเมิดขั้นร้ายแรงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เม้นต์นี้มาจากผู้หญิงในลัทธิเฟมินิสต์สุดโต่งค่ะ ^^" แม้แต่เฟมินิสต์จริงๆ ยังเบือนหน้า เพราะฉันจะเบนออกไปทางมองผู้ชายว่าต่ำกว่าผู้หญิงอยู่หน่อยๆ (หัวเราะ)(นี่มันไม่ดีนะคะ เท่าเทียมมันควรจะเท่าเทียมจริงๆ) เม้นต์นี้จะดูเยอะ ดูยาก เพราะฉันพยายามอธิบายแนวคิดที่ซ่อนอยู่หลังการกระทำ แม้เจ้าตัวจะทำไปโดยไม่รู้ตัวก็ตาม สามีของคุณจะไปตรงตามแนวไหนก็ลองสังเกตดูค่ะ ถ้าเขาทำเพราะรักก็แก้ไม่ยากหรอก แค่คุยกันก็พอ แต่ถ้ามาแนวชายเป็นใหญ่ มองว่าร่างกายของคุณเป็นสมบัติของเขา อันนี้ก็ต้องแก้ไปอีกทาง แค่คุยน่ะเอาไม่อยู่หรอกค่ะ

ก็ฟังหูไว้หูและลองพิจารณาดูนะคะ
ขอให้คุณโชคดีและมีความสุขค่ะ ^^
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่