ในแง่พุทธศาสน์ อ.คนนี้กล่าวถูกต้องไหม ?

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
สังคมที่เท่าเทียมกันมีที่ไหน   
คนทุกคนล้วนเหลื่อมล้ำไม่เสมอภาคเท่าเทียมกันเลย
แต่เราอยู่ร่วมกันได้ ช่วยเหลือพึ่งพาอาศัยกันได้

การที่จะให้ทุกคนเท่าเทียมกันมันเป็นไปได้อย่างไร
จะต้องใช้ความฉลาดเท่าไร ถึงจะคิดแบบนั้นได้

ความเป็นจริงในจักรวาลนี้ไม่มีอะไรที่เท่ากันเหมือนกันเลย
ทุกสิ่งอย่างล้วนเหลื่อมล้ำแตกต่างกันบ้างไม่มากก็น้อย
แม้อนุภาคเล็กๆสองอนุภาคที่เหมือนและเท่ากันทุกประการยังไม่มีเลย
ความคิดเห็นที่ 8
" ในแง่พุทธศาสน์ อ.คนนี้กล่าวถูกต้องไหม ? "

คำตอบคือ ผิด
เพราะ
ในทางพุทธ จำแนกคนด้วยศีลและปัญญา
พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเรื่องนี้ต่อหน้าหัวหน้าพราหมณ์ใหญ่ในยุคนั้น (....ผมยังไม่มีเวลาค้นชื่อพระสูตรมาอ้าง...แต่เคยแสดงไว้หลายครั้งแล้ว )
ว่า
คุณสมบัติ 5 ประการคือ ชาติกำเนิด ร่ำรวยมั่งคั่ง รูปงาม ศีล ปัญญา
ตัดชาติกำเนิด ร่ำรวยมั่งคั่ง รูปงาม ออกได้
แต่
ตัดศีลและปัญญาออกไม่ได้
คนมีปัญญาจึงรักษาศีลได้
คนรักษาศีลได้จึงมีปัญญา
ศีลและปัญญาเกื้อกูลกัน
ศีลและปัญญาแยกคนให้ต่างกันหรือทำให้คนเสมอกัน
( ....ทั้งชาตินี้และชาติหน้า...พระสูตรอื่นเคยแสดงถึงสามีภรรยาที่จะได้พบกันทุกชาติ....ถ้าศีลและปัญญาเสมอกัน )

ดังนั้น
ตอบกระทู้ให้ชัดย้ำอีกที
ว่า
ในทางพุทธ สังคมแนวตั้งก็ผิด เพราะไม่ได้ใช้ศีลและปัญญาตัดสินคน
ในทางพุทธ สังคมแนวนอนก็ผิด เพราะไม่ได้ใช้ศีลและปัญญาตัดสินคน


ยุให้คนทำร้ายฆ่ากัน ยุให้คนปล้นคนต่างจากพวกตน ยุให้คนผิดกามมั่วในที่ชุมนุม ยุด้วยเรื่องเท็จเพื่อจูงผู้คนให้คล้อยตามตน มัวเมาผู้คน
นี่คืออาการของคนผิดศีล
ผิดศีลย่อมเป็นคนไม่มีปัญญา
ดังนั้นคนที่ทำเช่นข้างบน ในทางพุทธ คือคนต่ำช้าบาปหนาตกนรก ( ซ้าย กลาง ขวา ทำเช่นนี้คือผิดทางพุทธทั้งสิ้น )

ปฎิวัติฝรั่งเศส คศ 17xx
โกหกคนจนหิวโหย...ว่าหน้าคุกใหญ่ ( บาสตีล..มั๊ง ) จะมีการแจกขนมปัง.....คนจนจึงแห่ตามไปชุมนุมหน้าคุก/ ฝ่ายปฎิวัติก็ทำการใหญ่รบเลย
...ยึดอำนาจจากกษัตริย์ได้...ฝ่ายปฎิวัติก็กร่างเลย...ฆ่ากันเองด้วยกิโยติน..นองเลือดไม่สิ้นสุด....จนนโปเลียนนายทหารจากเกาะคอซิกาด้องมาปฎิวัติยึดอำนาจ....สุดท้าย นโปเลียนตั้งต้นเป็นจักรพรรดิ...สร้างชาติฝรั่งเศสให้ยิ่งใหญ่..กฎหมายนโปเลียนคือกฎหมายที่ดีที่สุดในโลกระบบหนึ่ง.....
( หลงใหลในฝรั่งเศสกันนัก....รู้จักฝรั่งเศสจริงๆกันบ้างไหม...ว่า..ผู้ทำลายฝรั่งเศสคือพวกล้มพระเจ้าหลุยส์ที่ 16...ผู้สร้างฝรั่งเศสให้ยิ่งใหญ๋คือจักรพรรดินโปเลียนซึ่งล้มนักปฎิวัติ....แม้นโปเลียนจะแพ้ที่วอเตอร์ลู...แต่ระบบจักรพรรดิก็ยังอยู่หลายปี....ถึงนโปเลียนที่ 3 เลยมั๊ง )ุ

ปฎิวัติไทย มิย 2475
โกหกนักเรียนนายร้อย....ว่าจะซ้อมแถวที่หน้าพระรูปทรงม้า ....ไปชุมนุมแต่เช้า..คณะปฎิวัติก็อ่านแถลงการล้มเจ้า เปลี่ยนการปกครองไทย 2475...ในคณะเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีกลุ่มคนที่คัดค้านรัชการที่ 7 ที่จะทรงให้รัฐธรรมนูญประชาธิปไตยฉบับแรกตั้งแต่ต้นปี..../ ถ้าพวกนี้ไม่ค้านตั้งแต่ต้นปี ก็ไม่ต้องมีการปฎิวัติกลางปี

ล้มกษัตริย์พม่า คศ 18xx
โกหกทหารอังกฤษว่ากษัตริย์พม่าติดเหล้าหนัก...ให้มาบุกมัณฑะเลย์ช่วยคนพม่า../ จับกษัตริย์พม่าขึ้นเรือ...ทหารนำเหล้ามาให้ดื่ม...ท่านไม่ดื่มท่านรักษาศีล...นายทหารอังกฤษจึงรู้ว่าถูกหลอก ที่แท้นายทุนต้องการปล้นคลังหลวงพม่า...ทับทิมพม่าเม็ดใหญ่อังกฤษก็ปล้นไป

สรุป
ที่ใดไม่รักษาศีลมีแต่คนไร้ปัญญา ที่นั้นวุ่นวายกลียุคไม่สิ้นสุด
ที่ใดรักษาศีลมีแต่คนมีปัญญา ที่นั้นรุ่งเรืองไม่สิ้นสุด
แนวตั้งแนวนอน ไร้สาระทั้งนั้น
ความคิดเห็นที่ 5
คหสต.  Sotus ถ้าใช้อย่างแยบคายก็ไม่เลวร้ายจนยอมรับไม่ได้

โซตัส เป็นระบบการรับน้องในสถาบันอุดมศึกษาอย่างหนึ่ง ชื่อมาจากคำภาษาอังกฤษ 5 คำ ได้แก่
Seniority (ความอาวุโส)
Order (ระเบียบ)
Tradition (ประเพณี)
Unity (ความสามัคคี)  
Spirit (จิตวิญญาณ หรืออาจจะแปลได้ว่าความมีน้ำใจ)


ในทางพุทธ ความเป็นผู้ใหญ่มี 4 ลำดับ ดังมีอธิบายต่อไปนี้


- พจนานุกรมพุทธศาสตร์ เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ป. ปยุตฺโต

วุฒิ คือ ความเป็นผู้ใหญ่ ๓ อย่างที่นิยมพูดกันในภาษาไทยนั้น มาในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาและฎีกา ได้แก่
           ๑. ชาติวุฒิ ความเป็นผู้ใหญ่โดยชาติ คือเกิดในชาติกำเนิดฐานะอันสูง
           ๒. วัยวุฒิ ความเป็นผู้ใหญ่โดยวัย คือเกิดก่อน
           ๓. คุณวุฒิ ความเป็นผู้ใหญ่โดยคุณความดีหรือโดยคุณพิเศษที่ได้บรรลุ (ผลสำเร็จที่ดีงาม)
       (อนึ่งในคัมภีร์ท่านมิได้กล่าวถึงภาวะแต่กล่าวถึงบุคคล คือไม่กล่าวถึงวุฒิ แต่กล่าวถึง วุฑฒะ หรือวุฒ เป็นชาติวุฒ วัยวุฒ คุณวุฒ; นอกจากนั้น ในอรรถกถาแห่งสุตตนิบาต ท่านแบ่งเป็น ๔, โดยเพิ่มปัญญาวุฒ ผู้ใหญ่โดยปัญญาเข้ามาอีกอย่างเรียงลำดับตามความสำคัญในทางธรรม เมื่อเปลี่ยนวุฒ เป็น วุฒิ จะได้ดังนี้ ๑. ปัญญวุฒิ ๒. คุณวุฒิ ๓. ชาติวุฒิ ๔. วัยวุฒิ)

_______

อรรถกถา ขุททกนิกาย สุตตนิบาต

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรำพึงอยู่ว่า สารีบุตรบวชแล้วได้กึ่งเดือน ก็บรรลุสาวกบารมีญาณ เพราะเหตุไรจึงถามปุถุชนปัญหาอันเป็นอาทิกัมมิกะ จึงทรงทราบว่า พระสารีบุตรทูลถามปรารภสัทธิวิหาริก จึงไม่ได้ทรงจำแนกจารีตศีลที่พระสารีบุตรกล่าวด้วยคำถามเลย เมื่อจะทรงแสดงธรรมด้วยสามารถสัปปายะแก่ภิกษุนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า วุฑฺฒาปจายี ดังนี้เป็นต้น.
               วุฑฒบุคคลทั้งหลายในคำว่า วุฑฺฒาปจายี นั้นมี ๔ จำพวก คือ ปัญญาวุฑฒบุคคล ๑ คุณวุฑฒบุคคล ๑ ชาติวุฑฒบุคคล ๑ วัยวุฑฒบุคคล ๑.
               จริงอยู่ ภิกษุที่เป็นพหูสูต แม้โดยกำเนิดจะเป็นคนหนุ่มก็ตาม ก็ชื่อว่าปัญญาวุฑฒะได้ เพราะเป็นผู้เจริญแล้วด้วยปัญญา คือพาหุสัจจะในสำนัก (ในระหว่าง) แห่งภิกษุแก่ผู้มีการศึกษาน้อยทั้งหลาย ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลายเรียนอยู่ซึ่งพุทธวจนะในสำนักของภิกษุหนุ่มนั้น และหวังอยู่ซึ่งโอวาท การวินิจฉัยความและการแก้ปัญหาทั้งหลาย.
               อนึ่ง ภิกษุหนึ่งที่ถึงพร้อมด้วยอธิคม (บรรลุคุณวิเศษมีฌานและมรรคผลเป็นต้น) ชื่อว่าคุณวุฑฒะ ผู้เจริญโดยคุณ ด้วยว่าแม้ภิกษุแก่ทั้งหลายดำรงอยู่ในโอวาทของภิกษุหนุ่มนั้นแล้ว เจริญวิปัสสนาแล้ว ย่อมบรรลุอรหัตผลได้.
               อนึ่ง พระราชาผู้เป็นกษัตริย์แม้ทรงพระเยาว์ เป็นกษัตริย์ผู้ได้รับมุรธาภิเษกแล้ว หรือจะเป็นพราหมณ์ก็ตาม ก็เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ของชนที่เหลือ ชื่อว่าชาติวุฑฒะ ผู้เจริญโดยชาติ.
               ส่วนคนที่เกิดก่อนทุกจำพวก ชื่อว่าวัยวุฑฒะ ผู้เจริญโดยวัย.
               ในบรรดาวุฑฒบุคคล ๔ จำพวกเหล่านั้น เว้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียแล้ว ใครๆ ผู้จะเสมอด้วยพระสารีบุตรเถระในทางปัญญาย่อมไม่มี เพราะเหตุที่ท่านได้บรรลุสาวกบารมีญาณทั้งปวง พร้อมด้วยคุณทั้งหลายในเวลาครึ่งเดือน พระสารีบุตรนั้นแม้โดยชาติสกุล ก็อุบัติแล้วในสกุลพราหมณ์มหาศาล พระสารีบุตรนั้นแม้จะเสมอกันโดยวัยกับภิกษุนั้น (ผู้เป็นสหายของท่าน) ก็ชื่อว่าเจริญแล้วด้วยเหตุทั้ง ๓ ประการเหล่านี้.
               ส่วนในพระคาถานี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า วุฑฺฒาปจายี ทรงหมายเอาการที่พระสารีบุตรนั้นเป็นผู้เจริญแล้วด้วยปัญญาวุฒิและคุณวุฒิทั้งหลายนั่นเอง บุคคลจึงควรกระทำความยำเกรงต่อวุฑฒบุคคลทั้งหลายเช่นนั้น บุคคลพึงเป็นผู้ชื่อว่าไม่ริษยา เพราะปราศจากความริษยาในอิฏฐผลทั้งหลายมีลาภเป็นต้นของวุฑฒบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นนั่นแล เพราะฉะนั้น เนื้อความนี้จึงเป็นการอธิบายบทต้น.
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=326
ความคิดเห็นที่ 11
ถ้าเราศึกษาพระไตรปิฎกจนชัดเจนจริงๆ  จะพบได้ว่า ทั้งหลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มีรากอยู่ในเรื่องราวและหลักวินัยอยู่มากมาย  อย่างครั้งที่เซอร์คันนิงแฮมและ ศ.ริด เดวิส เกิดความอัศจรรย์มาแล้วเมื่อครั้ง เป็นผู้พิพากษาในศรีลังกา จนต้องกลับไปศึกษาปิฎกอย่างละเอียดและนำไปสู่การมีสัทธาต่อพระศาสนา สู่การค้นพบสถานที่สำคัญๆในอินเดีย ที่ถูกลืมในแผ่นดินอินเดียนับพันปี และเป็นจุดเริ่มของ สมาคมบาลีปกรณ์ ในลอนดอน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


ยุคสมัยนี้การที่คนยุคใหม่จะเอาอันนี้ ไม่เอาอันนั้น โดยใช้ความรู้ที่ไม่รัดกุมพออันไม่สามารถมองเห็น หลายแง่มุมที่ตนมองไม่เห็นอีกมากมาย

แท้จริงแล้ว sotus(แท้ๆ) ไม่ได้เป็นรากเหง้าให้เกิดระบบอุปถัมภ์ (spoil system)   ถ้าสังเกตุดีๆในระบบอุปถัมภ์ จะเห็นสิ่งหนึ่งที่คู่กันมาคือระบบคอรัปชั่น.  ถ้าระบบอุปถัมภ์เต็มไปด้วยความชอบธรรมเมื่อไรคือไม่คอรัปชั่น. นั้นแหละจะเป็นสังคมอุดมปัญญา  จะมีเอกภาพมาก มีวินัยสู่กฎหมาย(rule of law) ที่เที่ยงธรรม. อันนำไปสู่ความเสมอภาค. และภารดรภาพในที่สุด.    ไม่ใช่การมาเรียกร้องให้เท่าเทียมแบบเลนินคืออุดมคติที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จริง

ความเห็นส่วนตัว ควรแก้สังฆมณฑลให้ซื่อตรงต่อวินัยอันเป็นเบ้าของสังคมก่อน ตราบใดที่พระสงฆ์ส่วนยังคอรัปชั่นต่อระบบวินัยของพระองค์อยู่ ประชาชนจะไม่มีทางอยู่เย็นเป็นสุขได้เลย

และที่สำคัญอีกประการหนึ่งในประวัติศาสตร์พุทธ  เมื่อไม่มีกษัตริย์ที่เป็นศาสนูปภัมถกเมื่อใด โอกาสที่จะสิ้นแผ่นดินธรรมมีสูงมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสากลจักรวาลนี้การจะหาพระบริสุทธิธรรมได้ยากอย่างยิ่ง จะมีหนึ่งในนั้นก็เมืองไทยโดยราชวงศ์จักรีนี้แหละที่รักษาไว้ หากไม่มีสถาบันกษัตริย์  ศาสนาก็อยู่ไม่ได้  ความเป็นชาติจะอยู่ยังไง

ฉะนั้นแต่โบราณถึงได้ผูกสามสถาบันหลักนี้ไว้เป็นเสาหลักของเราชาวไทย คือ  ชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์ สืบมา  ใครผู้ใดก็ตามที่ต้องการล้มล้าง ขอให้ทราบเงื่อนความสำคัญตรงนี้ไว้เสียก่อน เพราะการกระทำการใดๆที่เป็นการบ่อนทำลายสถาบันหลัก จะไม่เป็นผลดีต่อชีวิตคุณและคนรอบข้าง รวมถึงเมื่อตายเพราะกายแตกย่อมไปที่ไม่ดีแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่