นางในฝัน.........2

กระทู้สนทนา


ความเดิม
ชายคนหนึ่ง พบว่าตัวเองอยู่ในเมืองเพียงลำพัง โดยที่ไม่สามารถออกมาจากบ้านของตัวเองได้ พร้อมความทรงจำและความรู้สึกบางอย่างขาดหาย เขาเริ่มฝันถึงหญิงสาวคนหนึ่ง ทำให้เขาลองวาดภาพของเธอคนนั้น แล้วบ้านฝั่งตรงกันข้าม ก็ปรากฏตัวคน ของหญิงสาวในฝันขึ้นมา

              และแล้วเมื่อถึงเวลาที่รอคอย ผมก็รีบล้มตัวลงบนเตียงนอน นาฬิกาติดผนังเป็นตัวบ่งชี้ว่าตรงเวลา สายตาจ้องมองดูภาพหญิงสาวบนผนังเพดาน เธอกำลังจ้องมองลงมาพร้อมด้วยรอยยิ้ม ความสุขอิ่มอาบใจ นี่กระมังเป็นความรู้สึกดี ๆ ที่เรียกว่ารัก  ผมรู้ใจตัวเองว่าหลงรักเธอเข้าให้แล้ว สมาธิเป็นสิ่งจำเป็น จะต้องมีสมาธิ...ถ้าเธอร่วงลงมาจากเพดาน เป็นดรีมตัวจริง คงจะดีไม่น้อย

             แล้วในที่สุด ผมก็หลับและฝันไป

บทที่แล้ว
https://pantip.com/topic/40150327

...

             จะด้วยเหตุบังเอิญ หรืออะไรก็ตาม ความฝันคืนนี้ไม่มีอสุรกาย หรือฝูงซอมบี้ปรากฏตัวให้สะท้านหัวใจ มีเพียงความวังเวงของถนนสายเหยียดยาว เป็นถนนที่ไม่คุ้นความรู้สึกเอาเสียเลย เพราะเป็นถนนกว้างขนาดสี่เลน อาคารบ้านเรือนเป็นหมู่ตึก สูงใหญ่หลากหลาย มองลดหลั่นไกลออกไป ทั้งอาคารพาณิชย์ อาคารที่อยู่อาศัย 

             ผมพบตัวเอง กำลังเดินอยู่บนบาทวิถีอย่างเรื่อยเปื่อย มีผู้คนเดินสวนทาง รวมทั้งยวดยานพาหนะวิ่งผ่านไปมาให้เห็นบ้าง แค่นั้นก็ทำให้รู้สึกว่า สถาพเมืองไม่ได้เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างมากนัก แม้ว่าร้านรวงต่าง ๆ จะปิดเงียบไร้ผู้คน

             ผู้หญิงคนหนึ่ง กำลังยืนนิ่งอยู่ป้ายรถเมล์ ฝั่งตรงกันข้าม มองปราดแรกก็รู้ว่าเป็นดรีม เธออยู่ในชุดลูกไม้กระโปรงยาวคลุมเข่า  ใช่จริง ๆ ด้วย ดูเหมือนว่าเธอจะมองเห็นผมด้วยเช่นกัน

             น่าแปลกว่าผมไม่ได้รีบร้อนวิ่งข้ามถนนตรงไปหา ยังคงยืนมองนิ่งอยู่เช่นนั้น  ไม่ใช่วางท่าอะไร แต่ผมกลัวว่า ขณะที่กำลังวิ่งข้ามถนน ดรีมจะสลายตัวไปเป็นอากาศธาตุ ทำไมความคิดแบบนี้เข้ามาอยู่ในหัวสมอง  กลัวว่าจะเป็นแบบภาพแสนสวยปรากฏเงาสะท้อนในผิวน้ำ พอโยนก้อนหินลงไป น้ำกระเพื่อมสั่นไหวภาพกระจายหายไป จากผลของการรบกวน

             นาทีนั้น การเคลื่อนไหวรอบข้างชะงักค้างคา มีเพียงภาพของดรีมที่ยังคงแสดงออกถึงความมีชีวิต เรือนผมของเธอปลิวสยาย สะบัดพลิ้วไปตามสายลม ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้ม แม้ว่าไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ก็มากพอจะทำให้ผมยืนมองค้างคาเช่นกัน

               ….

              ทำไมไม่ไปหาเธอ  จะกลัวอะไร...  เสียงจิตสำนึกอีกด้านถาม

              และนั่นเองทำให้ผมมีความกล้า ก้าวเท้าข้ามทันที อย่าเพิ่งหายไปนะที่รัก
              …
 
              เสียงนาฬิกาปลุก ส่งเสียงลั่นความรู้สึก
 
              ผมตื่นขึ้นมาจากความฝัน นอนตั้งสติ ทำใจ สิ่งแรกที่มองเห็น คือภาพของ ดรีม บนเพดาน มองพลางนึกเสียดาย ในฝันถ้าผมยืนมองเธอนิ่งเฉยต่อไป คงได้อยู่กับดรีมนานกว่านี้ เสียงนาฬิกาคงไม่ตามเข้าไปกระชากตัวออกมาจากความฝัน เพราะเวลาจริงกับเวลาในความฝัน ไม่สัมพัทธ์และสัมพันธ์กัน  อาจเป็นเพราะผมเดินตรงไปหาเธอนั่นเอง ทำให้เกิดคลื่นของการรบกวน  คำว่า ‘ใช้ความสงบสยบการเคลื่อนไหว’  มีบทบาทถึงในความฝันเชียวหรือ? มองผ่านหน้าต่างออกไปยังหน้าต่างบ้านฝั่งตรงกันข้ามอย่างมีความหวัง ยังไม่มีอะไรเคลื่อนไหว

             “ที่รัก ผมไปทำธุระส่วนตัวก่อนนะ”  ผมบอกดรีมบนเพดาน ถือว่านั่นคือตัวแทนของนางในฝัน

             หลังจากทำงานบ้าน แต่งตัวตามกิจวัตรประจำวัน ผมก็ออกมาสนามหญ้าอย่างกระตือรือล้น ทำท่าทำทางออกกำลังกายไปตามมีตามเกิด ตามข้อบังคับภายในบ้าน สายตาคอยมองดูหน้าต่างบ้านฝั่งตรงกันข้าม เผื่อว่าจะมีอะไรปรากฏให้เห็นเป็นบุญตา ‘ไม่เห็นคน เห็นหลังคาบ้าน ก็รู้สึกมีความสุข’  ผมว่าหลายคนต้องเคยมีอาการแบบนี้บ้างละน่า

             เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที ดรีมก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าต่างบานนั้น ธอไม่ได้ค่อย ๆ เคลื่อนขึ้นมาจากกรอบหน้าต่าง อย่างวันวาน ดรีมโผล่ออกมามองโลกภายนอก ด้วยท่าทางค่อนข้างหวาดระแวง ไม่ติดว่ามีขอบหน้าต่าง ผมแน่ใจว่า จะต้องมองเห็นภาพของเธออย่างเต็มตัวแน่นอน มือทั้งสองของเธอวางขอบหน้าต่างจ้องมองไปมา เหมือนค้นหาอะไรสักอย่าง

             “ดรีม ผมอยู่ตรงนี้ คุณมองเห็นผมมั้ย...”   ผมร้องเสียงดัง ลองโบกไม้โบกมือให้ ตะโกนทักทาย ด้วยความตื่นเต้นดีใจ ไม่รู้ว่าเธอเป็นคนแปลกหน้าเลยสักนิด  ดรีมทำหน้าแปลกใจ แล้วสีหน้าก็ปรากฏรอยยิ้ม ยกมือขึ้นโบกเป็นสัญญาณตอบรับ เธอเผยออริมฝีปากทักทายโต้ตอบ แต่ไม่ได้ยินเสียงอะไรข้ามถนนมาสักนิด

             ดรีมมองเห็นผมแล้ว ! แต่เสียงไม่สามารถข้ามถนน !

             อาการขนลุกซู่วิ่งไปทั่วร่าง ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นความปลาบปลื้มปิติยินดีอย่างล้นเหลือ ในที่สุดความฝันส่วนหนึ่งก็เป็นจริง เราทั้งสองสามารถมองเห็นกันได้แล้ว ปัญหาคือเวลานี้ เราสามารถสื่อสารกันได้ด้วยภาพ แต่เสียงยังคงไม่สามารถสื่อสารกันได้  แค่นี้ก็วิเศษ ผมรู้สึกดีใจมากกว่าจะมัวเสียใจเรื่องเสียง ความรักมันจะต้องหาทางออกของมันจนได้ละน่า...เราสองยืนจ้องมองกัน แล้วยิ้มแบบเขิน ๆ

             เราพยายามสื่อสารกันด้วยภาษามือ แต่ไม่ค่อยได้เรื่อง เพราะผมเองก็ไม่ได้เรียนภาษามือมาก่อน ถ้าจะมีก็คือภาษาใจ แต่ภาษาใจยังสื่อออกไปไม่ได้เต็มที่ พอตั้งหลักได้เราทั้งสองฝ่ายจะสนุกกับการสื่อสารแบบไร้เสียง ทำความเข้าใจกันและกัน สนุกดีไม่น้อยเลยดีเดียว   เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ดรีมมองซ้ายมองขวา ทำกิริยาแปลก ๆ อย่างหวาดระแวง ก่อนหันหน้ามา ยิ้มพลางโบกมือทำท่าสั่งลา  เหมือนมีธุระมาแทรกกะทันหัน ชนิดตั้งตัวไม่ทัน

             แน่นอนว่าผมทำหน้าเสียดาย ตาละห้อย ให้เธอรับรู้ความในใจ   แล้วดรีมก็ถอยหายไปจากหน้าต่าง

             ไม่เป็นไร ผมปลอบใจตัวเอง ความคืบหน้าเกิดขึ้น อย่างน้อยการสื่อสารกับนางในฝันได้ แม้จะไม่เต็มร้อย ก็ถือว่าดีเกินคาด ขั้นตอนต่อไปจะต้องหาทาง ทำให้เราสองพูดกันรู้เรื่อง ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ผมเดินกลับมายังห้องนอน มองดูบนเพดาน
ภาพของดรีมหายไป

             เอาละสิ...หายไปได้อย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้แปลกใจมากนัก เพราะสถานที่แห่งนี้ มันมีอะไรแปลกพิลึกอยู่เสมอ มีอะไรมากมายหลายอย่าง  หายไปก็เขียนใหม่ได้ แต่ทันใดนั้น ความรู้สึกก็บอกกับตัวเองว่า ภาพฝัน ความทรงจำเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาของดรีม ไม่ได้ชัดเจนเหมือนวันวาน ถ้าจะให้เขียนใหม่อีกครั้ง เป็นเรื่องยากเสียแล้ว

             จะเป็นได้ไหมว่า ภาพในความทรงจำ ถือถ่ายโอนมาเป็นตัวตนของดรีม สู่โลกความเป็นจริง

             คิดไปคิดมา ก็มีความเป็นไปได้ ลองเรียบเรียงลำดับดู จากดรีมในฝัน มาเป็นภาพวาด จากภาพวาด มาเป็นดรีม ที่บ้านฝั่งตรงกันข้าม นึกเสียดายเหมือนกันว่าภาพในฝัน หม่นมัวเลือนรางลงไปเสียแล้ว แต่ไม่เป็นไร เพราะ มี ดรีม ปรากฏอยู่ในจักรวาลของผม  เธอเป็นคนธรรมดามีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่แค่ภาพวาด
             จะต้องหาทางสื่อสารกับเธอให้ได้  ....ไม่มีเสียง ก็ไม่ต้องใช้เสียง... ผมก็นึกอะไรขึ้นมาได้แบบหยั่งรู้โดยอัตโนมัติ ว่าดรีมจะไม่ปรากฏตัวอีก จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ จะด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่มันจะเป็นแบบนั้น

             เวลาที่เหลือ ผมหาอุปกรณ์เครื่องมือทางช่าง ซึ่งมีพร้อมอยู่ในห้องเก็บอุปกรณ์หลังบ้าน ราวกับว่าจะเตรียมพร้อม รอให้ใช้งานโดยเฉพาะ อยากได้อะไรก็สามารถหาได้ สร้างกรอบไม้ขนาดกว้างหนึ่งเมตร ยาวสองเมตรขึ้นมา ทำขาตั้ง ดูแล้วก็เหมือนกับอุปกรณ์ที่นักวาดภาพเขาใช้กัน  แต่ผมใช้กระดานไวท์บอร์ดแทนผ้า คุณคงเดาออกแล้วว่า เจ้าบอร์ดขาตั้งจะทำหน้าที่อะไร  ใช่แล้ว ผมจะเขียนข้อความให้เธออ่าน

             ด้วยระยะห่างของถนนสองเลน ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับการจ้องมองอ่านข้อความบนไวท์บอร์ด เท่านี้ก็จะสามารถส่งข้อความที่ต้องการให้ดรีมได้ ส่วนปากกาขนาดใหญ่ แปรงลบกระดาน สามารถหาได้จากห้องเก็บอุปกรณ์นั่นเอง ทุกอย่างมีพร้อม  จนอดนึกเล่น ๆ ไม่ได้ว่า ถ้ามีเวลา จะลองสร้างเครื่องบิน หรือไม่ก็บอลลูน ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า หลุดจากบ้านหลังนี้เสียที  แต่ผมไม่อยากหนีไปไหนเสียแล้ว จะให้หนีไปไหน ในเมื่อหัวใจ ความรัก อยู่บ้านฝั่งตรงกันข้ามนี่เอง ใครล่ะจะหนีหัวใจของตัวเองได้ ถึงหนีได้มันคงร้าวทรมานสุดแสน

             ช่วงบ่าย ผมลากเจ้าโต๊ะขาหยั่งไวท์บอร์ดออกมาหน้าบ้าน พยายามหาตำแหน่งวางให้อยู่ใกล้ถนนมากที่สุด สามารถมองจากบ้านหลังตรงกันข้ามได้ชัดเจน ที่เหลือก็คงต้องรอคอย  การคิดถึงใครสักคนโดยที่มีเวลาพบกันแบบจำกัดชวนให้ลำบากใจ  แต่มันก็ทำให้การ ‘พบกัน’ มีความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน  แล้วผมก็มายืนดูผลงานตัวเองใต้ต้นสนหน้าบ้านอย่างภาคภูมิใจ

             ถ้าจะมีอะไร ที่ทรงพลังต่อจิตใจมากที่สุด  สิ่งนั้นน่าจะเป็นความรัก พลังของความรักทำให้บ้านน่าเบื่อ กลับกลายเป็นบ้านสีชมพู เปลี่ยนความคิดไปโดยสิ้นเชิง ผมยอมอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป เท่าที่ใจต้องการ ตราบใดที่ยังมี นางในฝันปรากฏตัวให้เห็น ถึงรู้ว่า การมีความรักความผูกพัน จะนำมาซึ่งความเสียใจ เมื่อเกิดความสูญเสีย แต่ก็คุ้มค่าในการลงทุน ยอมเจ็บปวดเพราะความรัก ในอนาคตที่อาจเกิดขึ้น ดีกว่าจะเป็นเจ้าของหัวใจอันโดดเดี่ยว เพราะไร้รัก ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ จะต้องมีการลงทุนแลกเปลี่ยน คิดจะมีความรัก ก็ต้องเตรียมพื้นที่หัวใจไว้สำหรับความเจ็บปวดผิดหวัง  ไม่มีอะไรจะอยู่กับเราได้ตลอดไป

             ขณะกำลังคิดอะไรเพลิน รู้สึกเหมือนมีเสียงรถยนต์กำลังวิ่งใกล้เข้ามา  ผมลืมตาโพลง  เมืองนี้ไม่เคยปรากฏรถยนต์ให้เห็น นี่เป็นครั้งแรกที่ถนนทำหน้าที่ของมัน  ผมเกือบวิ่งถลาไปยังประตูบ้าน ทั้งที่รู้ว่า รั้วมันจะต้องเลื่อนหนีอยู่ดีเมื่อเข้าไปใกล้

             มีรถยนต์ ก็ต้องมีคนขับ นี่อาจเป็นช่องทางในการหาข้อมูลเมืองลึกลับแห่งนี้ ความลับอาจถูกเปิดเผย หวังว่าคนพวกนั้นจะมองเข้ามาในบ้าน
ใช่ ...ตำรวจคันหนึ่งวิ่งมาหยุดที่หน้าบ้าน จงใจมากไปหรือเปล่าผมคิดในใจ  จะไว้ใจได้แค่ไหน ความทรงจำเก่าให้ความรู้สึกว่า พวกตำรวจบางทีก็น่ากลัว ถึงจะคิดแบบนั้น เท้าก็ก้าวตรงไปยังประตูแบบไม่รู้ตัว  คราวนี้ผมเดินไปถึงหน้าประตูอย่างไม่คาดฝัน รั้วบ้านไม่ได้เลื่อนหนี เหลือเชื่อที่สุด!

             ขณะกำลังปากตาค้าง กับการเดินไปถึงประตูรั้วเป็นครั้งแรก  นายตำรวจสองนายโผล่ออกมาจากประตูรถ  แว่นดำทรงนักบินสวมปิดทับใบหน้า ทำให้มองไม่เห็นนัยน์ตาพวกเขา  ผมรีบส่งเสียงเรียกทันที พวกตำรวจทำท่าได้ยิน  เดินตรงมา

             อ้าวได้ยินเสียงเรียกด้วย นี่ก็แปลกอีกละ  ความจริงผมควรจะตื่นเต้น แต่กลับรู้สึกเรียบเฉย  ถ้าเป็นหลายวันก่อน ผมคงอ้อนวอนให้พวกตำรวจพาหนีออกไปจากบ้าน แต่เวลานี้ผมมีนางในฝัน ถ้าหนีไปก็เท่ากับวิ่งหนีความฝันของตัวเอง ความสับสนทำให้ต้องเกาะลูกกรงประตูรั้วนิ่งอึ้ง

             “เฮ้ เห็นคนแปลกหน้าแถวนี้บ้างไหม”  นายตำรวจคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ จ้องหน้า ถามขึ้นด้วยเสียงราบเรียบ มือข้างขวาแตะซองปืนข้างเอว เพื่อนตำรวจอีกคนเดินไป ชะโงกมองเข้าไปยังบ้านตรงกันข้าม

             "หน้าผมแปลก พอจะเป็นคนแปลกหน้าไหมครับ คุณตำรวจ”  เปล่า...ผมไม่ได้ตั้งใจกวน เพราะหมายความตามนั้นจริง ๆ ผมไม่เคยเจอพวกตำรวจมาก่อน ก็ต้องจัดเป็นพวกคนแปลกหน้า

             “ไม่...ผมรู้จักคุณดี” นายตำรวจตอบ พลางเดินเข้ามาจนชิดประตูรั้ว “ส่วนคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่คุณ จัดเป็นคนแปลกหน้าทั้งหมด”

             เพิ่งเจอหน้ากัน บอกว่ารู้จัก มันยังไงชอบกลผมมองหน้านายตำรวจอย่างสงสัย แต่เขาก็ยืนนิ่ง ทำท่ามองที่ตัวบ้าน แต่ไม่ได้มีทีท่าจะบุกเข้ามา

             “เอ่อ คุณตำรวจบอกว่ารู้จักผม บอกหน่อยได้ไหมครับ ว่าผมเป็นใคร มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”

             <มีต่อ...>

.
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่