นางในฝัน.........1

กระทู้สนทนา


              ความทรงจำของเราบางครั้งก็มักจะเล่นตลกกับเรา จนทำให้ไม่แน่ใจว่าอะไรคือความจริงหรือความฝัน จะแน่ใจอย่างไรว่าเมื่อวานเป็นความจริง เพราะไม่ว่าจะเป็นความจริง ความฝัน หรือความทรงจำ มันก็เป็นเพียงสิ่งไร้ตัวตน   เราจะรู้อย่างไรว่าชีวิตของเราที่ผ่านมา เป็นชีวิตจริง หรือเป็นเพียงความจำสังเคราะห์ ที่มีใคร หรืออะไร ใส่เข้ามาในหัวสมองเราเท่านั้น นั่นละ... สิ่งที่ผมไม่แน่ใจ เพราะเวลานี้ ความทรงจำของผมมันเลือนราง เหมือนอยู่ในหมอกควัน

              สิ่งที่พอจำได้คือ ผมอาศัยอยู่ชานเมือง ที่มีการโจมตีด้วยอาวุธบางอย่าง มันอาจจะเป็นระเบิดนิวตรอนควอนตัม หรืออะไรก็ไม่ทราบแน่ชัด ที่แน่ ๆ มันทำให้เกิดความผิดปกติอย่างใหญ่หลวง กับตัวเมืองและสิ่งมีชีวิต ผมไม่เคยเห็นผู้คนหรือสัตว์เลี้ยงบนถนนมานานแล้ว พวกเขาหายไป ส่วนผมที่รอดมาได้ คงเป็นเพราะอยู่ในห้องใต้ดิน ในขณะมีการโจมตี  

              มีความผิดปกติอันน่าพิศวงและชวนขนลุกเกิดขึ้น   ผมไม่สามารถออกจากเขตบ้านของตัวเองได้ ไม่ว่าจะด้านไหน ฟังดูมันเหลือเชื่อ แต่มันเป็นไปแล้ว  อาคารบ้านเรือนฝั่งตรงกันข้าม รวมทั้งบ้านด้านข้างและด้านหลัง ไร้ผู้คน สภาพบ้านแต่ละหลังเหมือนกันหมด ราวกับเอาบ้านไปเข้าเครื่องถ่ายเอกสาร ประตูหน้าต่างปิดสนิท เหมือนบ้านร้าง ผมพยายามนับครั้งไม่ถ้วนในการ เดิน วิ่ง คลาน ไปยังประตูรั้วหน้าบ้าน แต่พอเดินออกไป ถนนกว้างสองเลนหน้าบ้านและกำแพงรั้วถอยห่างออกไป ตามระยะการก้าวเดิน  

              บ้าดีไหมล่ะครับ...  ผมไม่มีวันเดินไปถึงประตูรั้วหน้าบ้านได้เลย แต่พอหันหลังกลับ เดินไม่กี่ก้าว ก็ถึงประตูบ้านตัวเองแล้ว  ส่วนด้านข้างก็เหมือนกัน  กำแพงรั้วบ้านสูงอยู่ห่างออกไปสามสี่เมตร แต่ผมก็ไม่สามารถเดินไปถึง พอขยับเข้าหา กำแพงรั้วก็ขยับหนีราวภาพหลอน  ลองขว้างก้อนหิน หรือวัตถุออกไป มันก็ลอยละลิ่วออกไปปกติ แต่กำแพงรั้วเป็นฝ่ายถอยออกไป พอก้อนหินหล่นถึงพื้น เจ้ากำแพงรั้วตัวดีค่อยถอยกลับมาที่เดิม โดยมีก้อนหินวางอยู่ข้างกำแพง  เอากับมันสิ...ทำให้ทั้งรู้สึกอยากบ้า และอยากหัวเราะในเวลาเดียวกัน ลองทุกวิธีเท่าที่นึกออกไป จนแน่ใจว่า ไม่มีทางออกจากบ้านไปได้ อวกาศขยายยืดยาวออกไปทุกครั้งของความเพียรพยายาม

              อะไรบางอย่างต้องการไม่ให้ผมออกไปจากเขตบ้าน

              บ้านผีสิงเหรอ...ไม่ ไม่ใช่ ไม่มีผีชุดขาวรุ่มร่ามสักตัว เดินตัวหักผิดรูปออกมาให้ยลโฉม

              แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ก็มากพอจะทำให้ประสาทเสียได้แล้ว

              ยังเรื่องแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่งคือ  ผมไม่มีอาการหิวกระหายอาหารและน้ำเลย นั่นทำให้ผมอยู่ได้เป็นเวลานาน บางทีอาจติดแหงกอยู่อย่างนี้มาหลายปีแล้วก็เป็นได้  ผมเองก็จำไม่ได้ด้วยว่า เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้ได้อย่างไร เมื่อไร ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ จะรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังถูกจับยัดลงในเครื่องซักผ้า แล้วจับขึ้นไปแขวนบนราวตากผ้า นั่นทำให้ต้องเลิกคิดถึงเรื่องนี้ บางอย่างมันเจ็บปวด เราก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า พยายามจะไม่คิดถึงมัน

              คุณคงคิดว่าผมตายไปแล้ว แต่ไม่รู้ตัวว่าตาย ไม่ใช่ นั่นมันมุกเก่าของเรื่องเล่าเรื่องผีพื้นฐาน อันนี้ผมขอยืนยันอย่างมั่นใจเลยว่า ผมยังมีชีวิตอยู่อย่างไม่มีอะไรน่าสงสัย หัวใจและชีพจรของผมยังเต้นปกติ  จะเป็นผีเป็นวิญญาณได้อย่างไร น่าแปลกอีกอย่างคือ ร่างกายแทบไม่ตอบสนอง ต่อความเจ็บปวดร้อนหนาว  เมื่อทดลองหยิกตัวเองเต็มแรง ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมีเพียงเล็กน้อย ทำให้ผมใจชื้น ว่ายังมีความรู้สึกทางกายอยู่บ้าง  และอีกอย่างที่ทำให้รู้สึกดีคือ หูยังคงได้ยินเสียง สายตายังมองเห็นเป็นปกติ

              คงไม่ต้องอธิบายว่าคืนวันผ่านไปเงียบเหงาเพียงใด  ถ้ามีหมาแมวสักตัวผ่านมาเป็นเพื่อนบ้างก็ คงดีไม่น้อย แต่ในเมืองยังคงอ้างว้างเยือกเย็น ราวภาพวาดเก่าแก่ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง  อย่างไรก็ตาม ดวงอาทิตย์ยังคงขึ้นลงตามวันเวลา กลางคืนกลางวันหมุนเปลี่ยน ไม่ใช่โลกที่นิ่งสนิทเกินไป
เพื่อเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส ผมจึงแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็น ‘ผู้นำ’ เสียเลย ด้วยการสร้างรัฐธรรมนุญ กฏหมาย ข้อบังคับเฉพาะกิจ ขึ้นมาใช้ในบ้าน  เขียนกฏหมายมาตราต่าง ๆ ขึ้นในสมุด เพื่อเตือนตัวเอง ไม่ให้หลุดโลกเกินไป ผมจึงกลายเป็นจอมเผด็จการเต็มรูปแบบ กฏหมายข้อไหนทำแล้วรู้สึกไม่พอใจก็แก้ใหม่ได้ ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องกลัวรัฐประหาร อย่างน้อยผมก็ยังไม่บ้าพอที่จะลุกขึ้นมาปฏิวัติ ล้มล้างการปกครองของตัวเอง ต้องทำตัวเป็นพลเมืองดี เชื่อฟังกฏหมายของตัวเองเข้าไว้

              วันเวลาผ่านไปยาวนาน ทำให้คุ้นเคยกับอาณาเขตบ้านทุกตารางนิ้ว ชนิดหลับตาเดินได้ แม้กระทั่งบนหลังคายังเอาบันไดปีนขึ้นไปนั่งเล่นไม่รู้กี่ครั้ง มองไปด้านใดก็เหมือนกันหมด อาคารบ้านเรียงเป็นระเบียบเรียงรายไกลสุดสายตา  สิ่งบันเทิงอย่างเดียวในบ้าน คือเครื่องเล่นเพลงดิจิทัล ขนาดใหญ่ในห้องนั่งเล่น ดอกลำโพงสเตอริโอขนาดสิบนิ้ว ทำให้เสียงกระหึ่มไปทั้งห้อง ช่วยให้ไม่สติแตกไปก่อนเวลาอันควร ระบบน้ำประปา  

              ไฟฟ้าภายในบ้านยังคงมีให้ใช้ตลอด ทั้งที่ไม่ได้มีการจ่ายค่าบริการ ผมเคยเปิดน้ำทิ้งให้ไหลนองทั่วบ้าน แต่มันก็ไหลไปตามพื้นปูกระเบื้อง ก่อนลงท่อระบายน้ำนอกบ้านไปจนหมด  ไม่มีเจ้าหน้าที่หน้าไหนโผล่หน้ามาดูแล เครื่องเล่นมีระบบวิทยุ แต่ไม่สามารถรับสถานีใดได้ ส่วนทีวีจอใหญ่ขนาดห้าสิบนิ้วติดผนัง มันทำหน้าที่เป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ประดับห้อง  เพราะไม่มีสัญญาณทีวีช่องใดให้ดู   ไม่รู้ว่ามีมาทำซากอะไร เพลงในหน่วยความจำเครื่องเล่นดิจิทัล ถึงจะมีจำนวนหลายพันเพลง แต่พอนานเข้า มันก็เริ่มน่าเบื่อ เพราะการฟังซ้ำไปมา ไม่รู้กี่รอบ แทบร้องตามได้ทุกเพลง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีอะไรมากระแทกรูหู

              แม้ว่าจะเบื่อหน่ายเพียงใด ผมก็ยังพยายามจัดวิถีชีวิตให้เสมือนปกติ เข้านอนเวลาสี่ทุ่ม ตื่นนอนเวลาหกโมงเช้า ตามเสียงนาฬิกาปลุก อาบน้ำอาบท่า แต่งชุดวอร์ม ไปออกกำลังกาย รับแสงแดดเริงแรงบริเวณสนามหญ้าหน้าบ้าน ทำตัวให้เหมือนปกติว่ากำลังอยู่ในหมู่บ้านสุขสันต์ บางวันผมรู้สึกอยากบ้าขึ้นมาเฉย ๆ  ก็แหกปากร้องตะโกนสุดเสียง ชนิดที่ถ้าหมาหลงมาฟัง มันคงวิ่งหนี ด้วยความขวัญหนีดีฝ่อ

              ทำแล้วสะใจและปลดปล่อยพิลึก ก็อย่างว่าละครับ อยู่คนเดียวไม่เห็นต้องแคร์ใครนอกจากตัวเอง คุณคงแปลกใจสินะว่าผมเกิดบ้าอะไร แต่จะแปลกใจกว่านี้อีก ถ้ารู้ว่าพอแหกปากร้องเสร็จ ผมก็ทรุดตัวลงพื้นหญ้า เอ่ยปากขอโทษกับความว่างเปล่า ที่ทำให้ความเงียบเหงามันตกใจ (ว่าง ๆ คุณจะลองทำดูก็ได้ ถ้ามีโอกาสอ่านบันทึกฉบับนี้ ไม่สงวนลิขสิทธิ์)  

              ฟังดูออกเพี้ยน ๆ ไปบ้าง  แต่มันก็ทำให้ผมรู้สึกว่า มีระบบยังคงมีวิถีแห่งความเป็นคนหลงเหลือ แม้จะหลุดโลกไปบ้าง ก็ต้องมีความเป็นอารยชน ผมแวะเข้าห้องครัว ก็แค่ดื่มน้ำบ้างพอเป็นพิธี ส่วนอาหารไม่ต้องทำ เพราะในตู้เย็นว่างเปล่า อาหารทุกชนิดหมดไปนานแล้ว อดนึกไม่ได้ว่าตัวเองสามารถอิ่มทิพย์ แบบเทวดา แต่ถ้าเป็นเทวดาก็ต้องมีนางฟ้าห้อมล้อม มีฤทธานุภาพ เหาะเหินเดินอากาศหายตัว ใบ้หวยได้ ไม่ใช่มาติดแหงก อยู่แบบนักโทษ ในบ้านของตัวเอง ถ้าจะเป็นเทวดาก็คงเป็นเทวดาหลงสวรรค์  แต่อย่างน้อยสภาพของผม ก็น่าจะดีกว่าพวกนักโทษในเรือนจำ ตรงที่ว่าผมมีอิสระ มีเสรีภาพ ไม่มีใครมาบังคับ ไม่มีการแบ่งชนชั้นเพราะอยู่คนเดียว จะว่าไปมันก็ไม่เลวร้ายนัก ถ้าทำใจยอมรับได้

              หลังจากซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน นั่งฟังเพลง ผมก็พาตัวเองอยู่กับการคิดหาทางออกจากบ้าน แม้ว่าจะรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่อย่างน้อยมันก็ทำให้ไม่อยู่ว่างจนเกินไป ความอ้างว้าง ความเงียบเหงา คือสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง  มันค่อย ๆ กัดกร่อนเข้าไปในจิตใจทีละน้อยอย่างเยียบเย็น ดังนั้น ผมจึงหาทางจัดการ ให้ร่างกายและวิญญาณ อยู่ด้วยกันอย่างประนีประนอม ไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดพังทลายไปเสียก่อน ซึ่งผมก็ไม่แน่ว่าจะอยู่ในสภาพนี้ได้นานเท่าไร

              เมื่อกลางคืนเวียนมาถึง บรรยากาศนอกตัวบ้านดูน่ากลัว เหมือนอยู่ในสุสาน อาคารบ้านเรือนเป็นเงาตะคุ่มในคืน มีแสงจันทร์คล้ายเป็นสุสานร้าง จนทำให้ไม่กล้ามอง ความกลัวเป็นผลทางใจ จึงไม่ได้เลือนรางไปเหมือนความเจ็บปวดทางกาย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า บ้านของผมเป็นเพียงบ้านหลังเดียว ที่มีแสงสว่างเวลาค่ำคืน ทำให้นึกถึงดวงดาวที่เหลือเพียงดวงเดียว ในอวกาศมืดมิดว่างเปล่ากว้างอนันต์ 

              ผมเปิดไฟบริเวณห้องนั่งเล่นเอาไว้  เปิดเพลงเบา ๆ เป็นเพื่อน หน้าต่างข้างห้องนอนก็ต้องปิดผ้าม่าน เพราะมองออกไปจะเห็นบ้านที่อยู่ด้านข้าง ทำให้เกิดความกลัวว่า จะมีผีโผล่มาหลอนจากบ้านหลังนั้น  ทั้งที่เวลากลางวัน ผมอยากให้มีใครสักคน เปิดหน้าต่างบ้านนั้น ออกมาให้เห็นหน้าบ้าง ความกลัวเป็นสิ่งที่ไร้เหตุผล มันจะต้องเป็นคำสั่งมากับดีเอนเอของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ส่วนประตูหน้าบ้านหลังบ้านล็อกแน่นหนา ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นจะต้องหวาดกลัวขโมยโจร จากนั้นผมก็ลงมือเขียนสมุดบันทึกประจำวัน  โคลงกลอน บทความ เขียนมันเรื่อยเปื่อยตามอารมณ์  แม้จะมีเรื่องซ้ำซากมากมาย ก็เพื่อไม่ให้ตัวเองฟุ้งซ่าน เขียนรำพันถึงผู้หญิงที่เคยรัก ซึ่งยังพอจำได้ราง ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่า เราแยกทางกันตอนไหน  บางทีการลาจากก็เป็นเรื่องง่ายมากกว่าการฝีนทนอยู่ คนเราจะต้องมีอะไรทำบ้าง เพื่อให้ชีวิตมีความหมายและความหวัง

              เมื่อนาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม ผมปิดไฟเข้านอน ภาวนาให้ตัวเองกระโจนเข้าสู่โลกแห่งความฝันโดยเร็ว  เพราะเป็นทางเดียวที่จะหลุดพ้นออกจากบ้าน ไม่ว่ามันจะเป็นฝันดีหรือฝันร้าย ผมเต็มใจที่จะฝัน สนุกสนานให้เต็มที่

              หลายครั้งฝันเห็นตัวเลขสีแดงฉานลอยไปมาให้เห็นอย่างเย้ายวนน่าหลงไหล (เสียดายว่าเมื่อตื่นขึ้นมาไม่มีล็อตเตอรี่ให้ซื้อ ถ้าเป็นสภาพปกติคงรวยเละไปแล้ว) เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพยายามนอนนิ่ง ๆ ในช่วงแรก  เก็บเกี่ยวความฝันเอาไว้ให้มากที่สุด แน่นอนว่าความฝันไม่ได้ชัดเจนตลอดไป มันมักจางหายไปตามเวลา แต่ผมก็สามารถฝันถึงสิ่งใหม่ ๆ ต่อไปได้ หลายครั้งที่ผมภาวนา ให้ตัวเองหลับฝันตลอดไป ไม่ต้องตื่นขึ้นมาเผชิญความจริงอันโหดร้าย  สุดท้ายผมก็ต้องตื่นขึ้นมาอยู่ดี กับเสียงกรีดร้องของนาฬิกา ใช่... ผมจงใจใช้คำว่า กรีดร้องของนาฬิกา ก็นี่มันเป็นบันทึกของผมเอง จะเขียนยังไงก็ได้  จะเขียนว่านาฬิกาสะอื้นไห้โหยหวน หรือร้องเพลงก็ได้  มันเรื่องของผม ถ้าคุณเป็นนักอ่านเคร่งครัดกฏเกณฑ์ ก็ผ่านไป

              เช้านั้นผมตื่นขึ้นมา ด้วยความรู้สึก ‘แปลก’ กว่าทุกครั้ง

              เมื่อคืน ฝันถึงผู้หญิงคนหนึ่ง  ภาพจดจำรายละเอียดอื่น ๆ ของความฝันไม่ได้ แต่จำรูปร่างหน้าตาของเธอได้อย่างชัดเจนที่สุด ราวกับว่าภาพของเธอตอกฝังลงในความทรงจำ เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูก  จนทำให้รู้สึกว่าน่าจะต้องจัดการอะไรสักอย่าง มีวิธีใดบ้างจะทำให้ภาพในฝันอยู่อย่างมั่นคงยั่งยืน  

              ผมเริ่มสงสัยว่า เป็นอาการขั้นต้นของอาการป่วยทางจิตหรือเปล่า คือการเริ่มจะสร้างเพื่อนในจินตนาการ แต่ถ้าสร้างได้ ถึงบ้าก็ยอม จะได้สร้างสาวสวยสักคนมาเป็นคนรักในจินตนาการ

              ช่างศีรษะมัน ยังมีเรื่องอื่นต้องคิดต้องทำ

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่